แมว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Felis catus) เป็นสปีชีส์สัตว์เลี้ยงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อขนาดเล็ก โดยเป็นแมวสปีชีส์เดียวในวงศ์เสือและแมว ที่ถูกปรับเป็นสัตว์เลี้ยง และมักเรียกเป็น แมวบ้าน เพื่อแยกมันจากสมาชิกที่อยู่ในป่า แมวเหล่านี้สามารถอาศัยเป็นแมวบ้าน, แมวฟาร์ม หรือแมวจรได้ แต่แมวประเภทหลังสุดมักอาศัยอยู่อย่างอิสระและหลีกเลี่ยงการติดต่อกับมนุษย์ มนุษย์ให้ค่ากับแมวบ้านในฐานะคู่หูและความสามารถในการฆ่าสัตว์ฟันแทะ สำนักจดทะเบียนแมว (cat registries) หลายแห่งยอมรับสายพันธุ์แมวประมาณ 60 สายพันธุ์
แมว | |
---|---|
แมวสายพันธุ์ต่าง ๆ | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
สัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอตา |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง |
ชั้น: | สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม |
อันดับ: | อันดับสัตว์กินเนื้อ |
อันดับย่อย: | เฟลิฟอเมีย |
วงศ์: | เสือและแมว |
วงศ์ย่อย: | วงศ์ย่อยแมว |
สกุล: | สกุลแมว ลินเนียส, 1758 |
สปีชีส์: | Felis catus |
ชื่อทวินาม | |
Felis catus ลินเนียส, 1758 | |
ชื่อพ้อง | |
|
แมวมีกายวิภาคคล้ายกับสปีชีส์วงศ์เสือและแมวอื่น ๆ มันมีร่างกายที่แข็งแรงยืดหยุ่น, ตอบสนองอย่างรวดเร็ว, ฟันและเล็บคมที่สามารถซ่อนได้เพื่อล่าเหยื่อขนาดเล็ก มุมมองกลางคืนกับการรับรู้กลิ่นที่ผ่านการพัฒนา และการสื่อสารของแมว เช่น การส่งเสียงอย่างเหมียว (meow), เพอร์ (purr), รัว (trill), ฟ่อ (hiss), คำราม (growl) และร้องคราง (grunt) เช่นเดียวกันกับภาษากายเฉพาะของแมว แมวเป็นนักล่าที่มักกระฉับกระเฉงที่สุดในตอนเช้าและค่ำ (crepuscular) ซึ่งแม้จะเป็นนักล่าผู้โดดเดี่ยวแต่ก็ยังเป็นสัตว์สังคม มันสามารถได้ยินเสียงความถี่ที่เบาหรือดังกว่าที่หูมนุษย์ได้ยิน เช่นเสียงที่หนูและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอื่น ๆ ทำ แมวยังสามารถหลั่งและรับรู้ถึงฟีโรโมนด้วย
แมวบ้านเพศเมียมักออกลูกประมาณ 2 - 5 ตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง แมวบ้านสามารถเลี้ยงและจัดแสดงในงานต่าง ๆ ได้ การควบคุมประชากรแมวสามารถทำได้ผ่านการทำหมัน แต่การขยายพันธุ์และการทิ้งสัตว์เลี้ยงก่อให้เกิดแมวจรจำนวนมากทั่วโลก ซึ่งมีส่วนต่อการสูญพันธุ์ของสปีชีส์ของนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมด
แมวถูกปรับเป็นสัตว์เลี้ยงครั้งแรกในตะวันออกใกล้ช่วงประมาณ 7,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นที่เชื่อกันมานานแล้วว่าการเลี้ยงแมวเริ่มขึ้นในอียิปต์โบราณตั้งแต่ประมาณ 3,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยแมวได้รับการเคารพนับถือ ข้อมูลเมื่อ 2021[update] มีการประมาณการว่ามีแมวที่มีเจ้าของประมาณ 220 ล้านตัว และแมวจร 480 ล้านตัวทั่วโลก ข้อมูลเมื่อ 2017[update] แมวบ้านเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมอันดับสองในสหรัฐ โดยมีแมวที่มีเจ้าของ 95.6 ล้านตัว และประมาณ 42 ล้านครัวเรือนมีแมวอย่างน้อยหนึ่งตัว และ ข้อมูลเมื่อ 2020[update] ผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรร้อยละ 26 มีแมวเลี้ยง โดยมีประชากรแมวเลี้ยงประมาณ 10.9 ล้านตัว
โดยทั่วไปมีการแบ่งพันธุ์แมวออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ แมวขนยาว (longhaired cat) และ แมวขนสั้น (shorthaired cats) การแบ่งพันธุ์ด้วยวิธีนี้ทำให้จำแนกแมวออกได้ตามลักษณะพันธุ์ที่จำเพาะต่าง ๆ กัน การจัดจำแนกแมวในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีการกำหนดมาตรฐานของพันธุ์แมวที่เป็นที่ยอมรับกัน ทั้งนี้ลักษณะมาตรฐานของพันธุ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ การใช้ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แสดงถึงลักษณะของพันธุ์ที่จำเพาะมีความแตกต่างกันระหว่างในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และมีบางพันธุ์มีการจัดจำแนกเฉพาะต่างหากในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
แมวในโลกนี้มีมากมายหลายพันธุ์ โดยเฉพาะแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงไม่นับรวมสัตว์ตระกูลแมว พวกเสือ แมวดาว แมวป่า หรือสิงโต แมวเลี้ยงหรือที่เราเรียกว่า Domestic cat นั้นมีวิวัฒนาการมาจากแมวป่าในธรรมชาติจากหลายภูมิภาคของโลก ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แตกต่างกันที่เรียกกันทุกวันนี้ เช่น เปอร์เซีย แมวสยาม แมวบาหลี แมวอะบิสซิเนีย และแมวโซมาลี นั้น แสดงถึงถิ่นกำเนิดที่แสดงถึงภูมิศาสตร์ที่เขาถือกำเนิดมา ในการจัดนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษเมื่อปีคริสศักราช 1871 ถือเป็นการเริ่มต้นในการนำเสนอพันธุ์แมวในระดับนานาชาติ ทำให้ผู้สนใจในแมวมีความตื่นตัว แต่การแสดงในครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นแมวเปอร์เซียและแมวขนสั้นเป็นหลัก
แมวมีความคุ้นเคยและเลี้ยงได้ง่าย สรีรวิทยาของแมวได้รับการศึกษาโดยเฉพาะ โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินเนื้ออื่น ๆ แต่จากลักษณะที่ผิดแปลกออกไปหลายอย่าง อาจจะทำให้เชื่อว่าเชื้อสายแมว มาจากสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย เช่นแมวสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงมาก มนุษย์โดยทั่วไปเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดผิวเมื่อมีอุณหภูมิประมาณ 38° ซ. (100° ฟ.) แต่แมวเริ่มแสดงความรู้สึกไม่สบายผิวของพวกมันเมื่ออุณหภูมิถึงราว 52° ซ. (126° ฟ.) และสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 56° ซ. (133° ฟ.) ถ้าแมวยังคงเข้าถึงน้ำได้
แมวเก็บรักษาความร้อนโดยการลดการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวและระบายความร้อนโดยการระเหยผ่านปากของพวกมัน แมวมีความสามารถที่จะขับเหงื่อที่ต่อมอยู่ในอุ้งเท้า และจะหอบเพื่อบรรเทาความร้อนที่อุณหภูมิสูงมากเท่านั้น (แต่อาจหอบเมื่อเครียด) อุณหภูมิร่างกายของแมวไม่ได้แตกต่างกันตลอดทั้งวัน อาจสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะมีความกระตือรือร้น ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มูลแมวจะแห้งและปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูงซึ่งทั้งสองอย่างแสดงถึงการปรับตัวที่ช่วยให้แมวเก็บน้ำได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไตของแมวมีประสิทธิภาพเพื่อให้แมวสามารถอยู่รอดได้หากกินอาหารเฉพาะประเภทเนื้อสัตว์โดยที่ไม่ต้องกินน้ำเพิ่มเติม และยังสามารถได้รับน้ำจากการดื่มน้ำทะเล
แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ สรีรวิทยาของพวกมันมีการพัฒนาในการย่อยเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและในทางตรงกันข้ามแมวมีปัญหาในการย่อยพืช ในขณะที่สัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ เช่นหนูซึ่งต้องการโปรตีนในอาหารประมาณ 4% แต่แมวจะต้องการโปรตีนประมาณ 20% ในอาหาร แมวจะผิดปกติถ้าขาดอาร์จินีนและการกินอาหารที่ขาดอาร์จินีนเป็นสาเหตุของอาการน้ำหนักลดและอาจถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว อีกคุณสมบัติที่ผิดปกติคือการที่แมวไม่สามารถผลิตทอรีน การขาดทอรีนก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพในจอประสาทตาของแมวทำให้ตาบอดถาวร แมวจะกินเหยื่อของพวกมันทั้งหมดเพราะจะได้รับแร่ธาตุโดยการย่อยกระดูกสัตว์ ดังนั้นอาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเดียวอาจก่อให้เกิดการขาดแคลเซียม
ระบบทางเดินอาหารของแมวถูกปรับให้เข้ากับการกินเนื้อสัตว์ ดังนั้นระบบทางเดินอาหารของแมวสั้นกว่าของสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ และแมวมีระดับเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตอยู่ในระดับต่ำ นี่จึงจำกัดความสามารถของแมวที่จะย่อยสารอาหารจากพืชอย่างมาก เช่นเดียวกับกรดไขมันบางอย่างที่แมวมีความสามารถในการย่อยจำกัด แม้สรีรวิทยาของแมวจะมุ่งเน้นไปทางอาหารที่เป็นเนื้อ แต่ก็มีอาหารแมวมังสวิรัติทำการตลาดมีการเสริมสังเคราะห์สารเคมีทอรีนและสารอาหารอื่น ๆ ในความพยายามที่จะผลิตอาหารที่สมบูรณ์แบบ แต่บางส่วนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงล้มเหลวในการให้สารอาหารที่จำเป็นทั้งหมดต่อแมว และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไม่มีส่วนประกอบจากสัตว์ก่อให้เกิดการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
แมวจะกินหญ้าเป็นครั้งคราว สันนิษฐานว่าใช้หญ้าเป็นแหล่งของกรดโฟลิก หรือใช้ในการเป็นแหล่งใยอาหาร
จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันสมิธโซเนียนพบว่า แมวเป็นสัตว์ที่เป็นภัยคุกคามต่อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อย่างยิ่ง โดยในสหรัฐอเมริกาแมวได้ฆ่านกไปถึงปีละ 2,000–4,000 ล้านตัวต่อปี ทั้งแมวที่มีเจ้าของ หรือแมวจร ส่วนในออสเตรเลียปีละ 70 ล้านตัวต่อปี และอังกฤษ 27 ล้านตัวต่อปี รวมแล้วทั่วโลกประมาณ 7,000–20,000 ล้านตัวต่อปี โดยในรอบ 500 ปีที่ผ่านมา แมวได้ทำให้สัตว์ชนิดต่าง ๆ ทั้ง นก, สัตว์ปีก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก, สัตว์ฟันแทะ, สัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกสูญพันธุ์ไปแล้วถึง 430 ชนิด เนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณนักล่า บางทีล่าหรือฆ่าเพราะความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้นำมากินหรือเป็นอาหาร
ปัจจุบันมีแมวพันธุ์ต่าง ๆ มากกว่า 30 พันธุ์ทั่วโลก แม้ว่ามนุษย์เพิ่งเริ่มผสมพันธุ์แมวเพื่อเลือกลักษณะเด่นเมื่อเพียงร้อยกว่าปีมานี้เท่านั้น แมวแต่ละพันธุ์มีลักษณะต่างกันมากทั้งสีและความยาวขน ในขณะที่แมวพันธุ์เม็กซิกันมีรูปร่างเปลือยเปล่าแทบไม่มีขน แมวเพอร์เซียกลับมีขนฟูฟ่อง
เชื่อว่าแมวบ้านสืบเชื้อสายมาจากแมวป่าอาฟริกา (African Wildcat-- Felis silvestris silvestris) ส่วนแมวป่า (Felis chaus) ที่มีอยู่ในเมืองไทย หรือแมวพอลลาส (Felis manul) พบว่าไม่มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับแมวบ้านแต่อย่างใด อียิปต์คือชาติแรกที่นำแมวมาเป็นสัตว์เลี้ยงเมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว แมวในยุคนั้นถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เคียงคู่กับศาสนาเลยทีเดียว เช่นเดียวกับวัวที่ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู
แมวบ้านเป็นสัตว์หากินกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แมวบ้านอาจดูเหมือนกับเป็นสัตว์ที่นอนตลอดทั้งวัน แต่ความเป็นจริงแมวจะหลับ ๆ ตื่น ๆ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ สลับกัน มันตื่นขึ้นมาเพื่อจะสำรวจเสียงหรือสิ่งแปลกปลอมรอบตัว หากไม่มีอะไรน่าสนใจก็จะหลับต่อ แม้ในขณะที่หลับหูของแมวก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่จะพลิกหันไปหันมาอยู่เสมอเพื่อดักฟังเสียงแปลกปลอมเช่นเสียงความถี่สูงซึ่งอาจจะเป็นเสียงของเหยื่อ หูของแมวสามารถฟังเสียงความถี่สูงกว่าที่มนุษย์ได้ยินมาก
ผู้ที่เลี้ยงแมวบ้านอาจเคยสังเกตว่าแมวชอบที่จะถูและกลิ้งเกลือกตัวกับสิ่งของหรือพื้นที่มีกลิ่นแรง แล้วกลิ่นนั้นก็จะติดกับตัวแมวบ้านไปด้วย พฤติกรรมเช่นนี้เชื่อว่าเป็นสัญชาติญาณที่ติดมาจากธรรมชาติ เพราะกลิ่นภายนอกจะกลบกลิ่นของตัวเอง ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ในการล่าเหยื่อ แม้ว่าแมวบ้านไม่จำเป็นต้องหาอาหารเองเพราะมีคนให้อาหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าแมวจะล่าเหยื่อเองไม่ได้ แมวยังล่าสัตว์รอบ ๆ บ้านหลายชนิด เช่น หนู กระรอก ตุ่น หนูผี กระต่าย ค้างคาว รวมถึงนกอีกหลายชนิดเช่น นกกระจอก นกกิ้งโครง นกกางเขน นกพิราบ ไก่ นกกระทา หรืออาจจะกินแมลง และ ปลา ด้วยก็ได้ บางครั้งแมวอาจกินหญ้าหรือพืชใบเขียวบางชนิด พฤติกรรมที่แมวกินพืชเชื่อว่าอาจเป็นความต้องการแร่ธาตุหรือวิตามินบางชนิดที่ไม่มีอยู่ในอาหารปกติของมัน
แมวอาจกลืนขนจากลำตัวของมันเองเข้าไปในกระเพาะจนขนรวมกันเป็นก้อนอยู่ในกระเพาะ สิ่งนี้อาจเป็นเจตนาของมันเองเพื่อให้ก้อนขนเข้าไปบุหรือป้องกันกระเพาะจากเศษกระดูกอันแหลมคมจากสารพัดเหยื่อที่มันกินเข้าไป
แมวบ้านเป็นสัตว์ที่อยู่โดยลำพังเป็นส่วนใหญ่ แต่แมวก็มีสังคมในหมู่แมวที่อยู่ในท้องที่เดียวกัน แมวแต่ละตัวมีการจัดลำดับชนชั้นในสังคมแมว ในสถานที่ ๆ มีอาหารหรือเหยื่อให้กินมาก แมวอาจรวมตัวกันเป็นชุมชนแมวขนาดใหญ่และมีสัมพันธ์ที่ดีถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน แมวในสังคมหนึ่งจะรู้จักมักคุ้นกันโดยมักอาศัยการจำแนกกลิ่น เช่นกลิ่นของปัสสาวะ หรือกลิ่นจากต่อมกลิ่นที่แมวถูกเข้ากับสิ่งของต่าง ๆ
เมื่อตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์ มันจะปล่อยกลิ่นและส่งเสียงร้องบ่งบอกถึงภาวะเป็นสัดของมัน ในช่วงนี้มันจะยอมให้ตัวผู้เข้าใกล้เพื่อผสมพันธุ์ได้ แมวตัวผู้ที่คุ้นเคยจะเข้ามาผสมพันธุ์ได้ทันที แต่สำหรับแมวตัวผู้ต่างถิ่นตอนแรกจะถูกขับไล่ออกไม่ให้เข้าใกล้ได้ง่ายดายนัก มันจะต้องตาม "ตื๊อ" อยู่สักพักตัวเมียจึงยอมให้เข้าใกล้ได้
แมวตัวเมียจะเป็นสัดปีละประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งจะยาวนานประมาณ 3 วัน แต่ถ้าในช่วงวันแรก ๆ ที่ติดสัดไม่ได้ผสมพันธุ์ ระยะเวลาการติดสัดก็อาจจะยาวนานกว่านี้ ตัวเมียตั้งท้องนานประมาณ 63-66 วัน ออกลูกปีละประมาณ 2 ครอก มีลูกรวมกัน 1-8 ตัว แต่ส่วนใหญ่จะประมาณ 3-5 ตัว แม่แมวจะออกลูกตามโพรงไม้ โคนต้นไม้ กองหลืบหิน พุ่มทึบ ลัง หรือแม้แต่กล่องกระดาษ โดยแมวชอบออกลูกในสถานที่เงียบๆปลอดภัย และไม่ถูกรบกวน
ลูกแมวแรกเกิดหนักประมาณ 85-110 กรัม ตาจะเปิดได้ภายในเวลา 7-20 วัน และเริ่มเดินได้เมื่ออายุ 9 ถึง 15 วัน ลูกแมวเริ่มกินอาหารแข็งได้เมื่ออายุ 4 สัปดาห์และหย่านมเมื่ออายุ 8-10 สัปดาห์ พออายุได้ 6 เดือนก็สามารถแยกจากแม่และหากินเองได้แล้ว เมื่อแมวหนุ่มสาวมีอายุได้ 10-12 เดือน ก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ พร้อมที่จะผสมพันธุ์และให้กำเนิดลูกรุ่นต่อไป
This article uses material from the Wikipedia ไทย article แมว, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.