มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (อังกฤษ: University of Cambridge) เป็นสถาบันอุดมศึกษาขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่สองของสหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.
บทความเรื่อง มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น ถ้าคุณเป็นผู้เขียนเรื่องนี้หรือต้องการร่วมแก้ไข สามารถทำได้โดยกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน ดูรายละเอียดและวิธีการเขียนได้ที่ โครงการวิกิสถานศึกษา โดยเมื่อแก้ไขแล้วให้นำป้ายนี้ออกได้ |
1752">พ.ศ. 1752 โดยมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งก่อนหน้านั้นคือ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของโลกที่ยังเปิดดำเนินการอยู่อีกด้วย มหาวิทยาลัยก่อกำเนิดจากคณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งขัดแย้งกับชาวบ้านที่เมืองออกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริจด์และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมักได้รับการจัดอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับโดยสำนักต่าง ๆ จนมีการเรียกรวมกันว่า ออกซบริดจ์ ในปีพ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รั้งตำแหน่งอันดับที่หนึ่งในสหราชอาณาจักร และอันดับที่สองของโลก ในบรรดามหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด กล่าวคือ 121 รางวัล
ตราอาร์ม | |
ละติน: Universitas Cantabrigiensis | |
ชื่ออื่น | The Chancellor, Masters and Scholars of the University of Cambridge |
---|---|
คติพจน์ | ละติน: Hinc lucem et pocula sacra "[จาก]ที่แห่งนี้ [พวกเราจักได้รับ] แสงสว่างแห่งปัญญา และ วิชชาอันประเสริฐ" |
คติพจน์อังกฤษ | Literal: From here, light and sacred draughts. Non literal: From this place, we gain enlightenment and precious knowledge. |
ประเภท | รัฐ มหาวิทยาลัยวิจัย |
สถาปนา | ป. 1209 |
สังกัดวิชาการ |
|
ทุนทรัพย์ | £7.121 พันล้าน (รวมวิทยาลัย) |
งบประมาณ | £2.308 พันล้าน (ไม่รวมวิทยาลัย) |
อธิการบดี | The Lord Sainsbury of Turville |
รองอธิการบดี | Anthony Freeling |
อาจารย์ | 6,170 (2020) |
เจ้าหน้าที่ | 3,615 (ไม่รวมวิทยาลัย) |
ผู้ศึกษา | 24,450 (2020) |
ปริญญาตรี | 12,850 (2020) |
บัณฑิตศึกษา | 11,600 (2020) |
ที่ตั้ง | , อังกฤษ |
วิทยาเขต | เมืองมหาลัย 288 เฮกตาร์ (710 เอเคอร์) |
สี | เคมบริดจ์บลู |
เครือข่ายกีฬา | The Sporting Blue |
เว็บไซต์ | cam |
นิสิตและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย จะถูกจัดให้สังกัดแต่ละวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (College) จำนวนทั้งสิ้น 31 แห่ง โดยคละกันมาจากคณะวิชา (School) 6 คณะ โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งอาศัยบริหารงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ลักษณะการบริหารเช่นนี้มีให้เห็นในมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคนต์ และมหาวิทยาลัยเดอรัม อาคารต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารแทรกตัวตามร้านรวงในเมือง แทนที่จะเป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ของตนเองเช่นมหาวิทยาลัยยุคใหม่ อาคารเหล่านั้นบางหลังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มหาวิทยาลัยจัดให้มีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกที่สังกัดมหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีห้องสมุดขนาดใหญ่อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1209 ผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มคณาจารย์และนิสิตที่ย้ายมาจาก มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ตำนานกล่าวว่าเดิมทีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเกิดข้อพิพาทกับเมืองออกซฟอร์ดอย่างรุนแรง ด้วยสาเหตุที่มีโสเภณีนางหนึ่งถูกฆาตกรรม เมืองออกซฟอร์ดตัดสินแขวนคออาจารย์ซึ่งเป็นสมาชิกของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ด้วยเหตุที่สมัยก่อนมหาวิทยาลัยกับเมืองนั้นค่อนข้างมีอิสระต่อกัน ดังนั้นคณาจารย์ของออกซฟอร์ดจึงไม่พอใจการตัดสินของเมืองอย่างมากเพราะถือว่าการกระทำของอาจารย์ควรจะอยู่ภายใต้การตัดสินของมหาวิทยาลัย คณาจารย์กลุ่มหนึ่งจึงประท้วงโดยแยกตัวออกไปจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดบ้างก็ไปที่เมืองเรดิง บ้างก็ไปที่ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งริมฝั่ง แม่น้ำแคม แล้วรวมตัวกันสอนจนเกิดเป็นมหาวิทยาลัยขึ้นมา มหาวิทยาลัยมีคอลเลจ (College) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคณะอาศัย ซึ่งไม่เหมือนวิทยาลัยในความเข้าใจโดยทั่วไป ปีเตอร์เฮาส์ Peterhouse คือคอลเลจแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ซึ่งให้ความสะดวกด้านที่พักและกิจกรรมปฏิสัมพันธ์ในหมู่นิสิตและอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งระบบการเรียนการสอนของ ม. เคมบริดจ์และ ม.ออกซฟอร์ดใช้ระบบเดียวกัน นิสิตและครูอาจารย์ของสองมหาวิทยาลัยนี้เรียกรวม ๆ ว่า ออกซบริดจ์
ต่อมา ม.เคมบริดจ์ได้ขยายตัวและรับนิสิตเพิ่มขึ้นจึงมีการจัดตั้งคอลเลจเพิ่มขึ้น จนปัจจุบัน ม.เคมบริดจ์ประกอบด้วย 31 คอลเลจ ระบบคอลเลจนี้มีลักษณะคล้าย ระบบบ้านพักของนักเรียนในหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ คือ พอเข้าอาศัยที่ไหนแล้วก็ไม่เปลี่ยนและเป็นสมาชิกตลอดชีพ (ยกเว้นตอนเปลี่ยนระดับการศึกษา อาจขอเปลี่ยนได้) แม้นักเรียนจากแต่ละคอลเลจจะไปเรียนร่วมกันในคณะ/สาขาต่าง ๆ แต่จะมีระบบติวเฉพาะตัวหรือกลุ่มเล็ก ๆ (Supervision) ซึ่งจัดการโดยคอลเลจโดยตรง นักเรียนแต่ละคอลเลจจะแข่งขันกัน ทั้งด้านการเรียน และกิจกรรม ทุกคอลเลจจะมีประเพณีของตัวเอง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ของตัวเอง มีสีและสัญลักษณ์ของตัวเอง และ มีทรัพย์สินอาคารบ้านเรือนของตัวเอง (เช่น สระว่ายน้ำ สนามสควอช ที่ให้เช่าริมฝั่งแม่น้ำ Thame หอศิลป์ โบสถ์ อาคารธุรกิจ หุ้นในประเทศต่าง ๆ ฯลฯ) ดังนั้น คอลเลจของเคมบริดจ์หลาย ๆ แห่ง จึงมีฐานะร่ำรวย และชอบที่จะแข่งขันกันว่าใครจะให้ความสะดวกแก่เด็กตัวเองได้มากกว่ากัน หรือจ้างอาจารย์หรือ Fellow ที่มีชื่อเสียงมาเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้คอลเลจของตน อาจารย์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ส่วนใหญ่ก็จะมีคอลเลจสังกัด แต่เวลาสอน ก็สอนเด็กทุกวิทยาลัย ฐานะทางการเงินที่คล่องตัวของคอลเลจนี้จะตรงข้ามกับตัวมหาวิทยาลัย เพราะตัวมหาวิทยาลัยยังต้องพึ่งพางบประมาณจากรัฐเป็นหลัก
มหาวิทยาลัยแบ่งส่วนงานทางวิชาการออกเป็นทั้งสิ้น 6 คณะ (School) แต่ละคณะมีมีภาควิชา (Faculty) และสาขาวิชา (Department หรือ Division) ทั้งหมดนี้ให้บริการในด้านการเรียนการสอนและวิจัย คณะวิชาของมหาวิทยาลัยมีดังนี้
มหาวิทยาลัยแบ่งออกเป็น 31 คอลเลจ หรือวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (college) แต่ละวิทยาลัยจะมีหน้าที่หลักในการอำนวยความสะดวกที่พักและอาหารให้นิสิตทุกระดับ รวมทั้งจัดการเรียนการสอนเสริม ติวแบบตัวต่อตัวหรือกลุ่มเล็ก ๆ (Supervisions/ ส่วนทางออกซฟอร์ดเรียก Tutorials) กับรับนิสิตปริญญาตรีด้วย นิสิตทุกคนและอาจารย์ส่วนใหญ่จะมีวิทยาลัยสังกัด ภายในวิทยาลัยจะเป็นเขตที่พักอาศัยและพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันของนิสิต โดยคละกันมาจากแต่ละคณะวิชา ทั้งนี้บางคณะอาจจะเลือกนิสิตอย่างกว้าง ๆ กระจายไปในแต่ละสาขา เช่น วิทยาลัยเซนต์แคเทอรีน บางวิทยาลัยก็เลือกให้มีสาขาเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง เช่น วิทยาลัยเชอร์ชิลล์ จะเลือกนิสิตเน้นสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
ในจำนวน 31 วิทยาลัยนี้ มีวิทยาลัยเมอร์เรย์ เอ็ดเวิร์ด (Murray Edward College) วิทยาลัยนิวแนม (Newnham College) วิทยาลัยลูซี คาเวนดิช (Lucy Cavendish College) เป็นคณะหญิงล้วน ส่วนวิทยาลัยที่เหลือเป็นแบบสหศึกษา (รับทั้งนิสิตชายและหญิง) บางวิทยาลัยในจำนวนนี้เคยมีแต่เฉพาะนิสิตชาย ได้แก่ วิทยาลัยเชอร์ชิลล์ (Churchill College) วิทยาลัยแคลร์ และราชวิทยาลัยคิงส์ (King's College) ทั้งสามวิทยาลัยดังกล่าวเริ่มรับนิสิตหญิงในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งจากการนี้เอง 16 ปีต่อมา วิทยาลัยมอดลิน (Magdalene College) จึงได้เป็นวิทยาลัยชายล้วนแห่งสุดท้ายของมหาวิทยาลัย
วิทยาลัยนอกจากเป็นที่อาศัยศึกษาของนิสิตแล้ว ยังแสดงถึงทัศนะทางการเมืองและสังคมของนิสิตในวิทยาลัยนั้นด้วย อาทิ ราชวิทยาลัยคิงส์ นิสิตมักมีแนวคิดหัวก้าวหน้า (ตรงข้ามกับแนวคิดอนุรักษนิยม) วิทยาลัยโรบินสันและวิทยาลัยเชอร์ชิลล์ มีงานด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
วิทยาลัยแคลร์ฮอลล์ (Clare Hall) วิทยาลัยดาร์วิน (Darwin College) เป็นสองวิทยาลัยที่รับเฉพาะนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา นอกจากนี้ วิทยาลัยฮิวก์ฮอลล์ (Hugh Hall) วิทยาลัยลูซี คาเวนดิช วิทยาลัยเซนต์เอดมุนด์ (St Edmunds College) และวิทยาลัยวูล์ฟสัน จะรับเฉพาะนิสิตผู้ใหญ่ซึ่งมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทั้งนี้วิทยาลัยที่เหลือมีนโยบายรับนิสิตทุกคณะวิชา ทุกเพศ ทุกวัย
วิทยาลัยตรีนิตี้ (Trinity College) จัดเป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของระบบออกซบริดจ์ และได้รับการจัดอันดับทางวิชาการสุงที่สุดของเคมบริดจ์ติดต่อกันมาหลายปีกระทั่งปัจจุบัน มีศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลโนเบลสูงถึง 32 คน
ราชวิทยาลัยควีนส์ หรือ สมเด็จพระราชินีนาถราชวิทยาลัย หรือ ควีนส์คอลเลจ (Queens College) เป็นหนึ่งในบรรดาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของเคมบริดจ์ และเป็นหนึ่งในวิทยาลัยชั้นนำด้านวิชาการในระดับสูงสุดห้าอันดับแรกของเคมบริดจ์ มีศิษย์เก่าที่ชื่อเสียงทั้งเชื้อพระวงศ์, ขุนนาง, นักการศาสนา, นักการเมือง, นักดาราศาสตร์ และอื่น ๆ ก่อตั้งเมื่อปี 1444 โดยมาร์กาเรตแห่งอ็องฌู สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ราชวิทยาลัยควีนส์ เป็นวิทยาลัยเดียวของเคมบริดจ์ ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษหลายพระองค์ ทรงรับไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยปัจจุบัน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับ ราชวิทยาลัยควีนส์ ไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์เช่นกัน นอกจากนี้ราชวิทยาลัยควีนส์ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของสะพานคณิตศาสตร์ (Mathematical Bridge) ที่มีชื่อเสียงเพียงแห่งเดียวของเคมบริดจ์อีกด้วย
วิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนดค่าที่พัก ค่าอาหารแตกต่างกันไป โดยไม่ขึ้นกับทางมหาวิทยาลัย รวมทั้งมีเงินลงทุนเพื่อการศึกษาที่แตกต่างมากน้อยไปด้วย สำหรับเมืองไทยระบบ "เวียง" ของมหาวิทยาลัยพะเยา มีลักษณะร่วมบางประการ คล้ายกับระบบคอลเลจของออกซบริดจ์
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ยังคงเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยไม่กี่แห่งของสหราชอาณาจักร ที่ยังคงรักษาประเพณีการฝากตัวเป็นศิษย์และการรับเข้าสู่การเป็นสมาชิกของคอลเลจ (matriculation) ซึ่งแต่ละคอลเลจจะจัดพิธีนี้ขึ้นในช่วงก่อนเปิดการศึกษาในแต่ละปี โดยนิสิตทั้งระดับปริญญาตรีและนิสิตบัณฑิตศึกษาทุกคนต้องสวมเสื้อคลุม (gown) คล้ายในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เข้าร่วมกิจกรรมอันสำคัญนี้ ถึงจะถือว่า ได้เข้าสู่สมาชิกภาพของคอลเลจอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี สง่างาม อย่างสมบูรณ์ และสถานะภาพความเป็นสมาชิกอันทรงเกียรตินี้ จะติดตัวนิสิตไปตลอดชีวิต ยกเว้นจะมีการย้ายวิทยาลัยในช่วงเปลี่ยนระดับการศึกษา
รายนามวิทยาลัยในสังกัดมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีดังนี้
(ตัวเลขข้างท้าย คือปี ค.ศ. ที่ก่อตั้ง)
ในจำนวนวิทยาลัยทั้งหมดนี้ มี 3 วิทยาลัยที่รับเฉพาะนิสิตหญิงเท่านั้น (นิวแน่ม คอลเลจ, ลูซี่ คาเวนดิช คอลเลจ, และ เมอร์เรย์ เอ็ดเวิร์ดส์) และ 4 วิทยาลัยที่รับเฉพาะนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา (แคลร์ ฮอลล์, ดาร์วิน คอลเลจ, วูลฟ์สัน คอลเลจ, และ เซนท์ เอดมันด์ส คอลเลจ)
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้รับการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาจากหลายหน่วยงาน เช่น Complete, Guardian, Times/Sunday Times ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักรติดต่อกันหลายปี กระทั่งถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2562) และตามมาด้วยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่รั้งอันดับที่สอง
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นหนึ่งในหลาย ๆ สถาบันการศึกษาในโลกที่ได้รับการจับตามอง ระหว่างที่ประเทศโลกเสรีพยายามพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันประเทศ เมื่อเกิดภัยคุกคามจากเยอรมนี ซึ่งมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ ระหว่างนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีการเคลื่อนไหวทางวิชาการอย่างคึกคัก เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยเป็นจำนวนมหาศาล อาทิเช่น มหาวิทยาลัยปารีส มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยมอสโกสเตท มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล สถาบันเอ็มไอที ฯลฯ มหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงแข่งขันกันอยู่ในที บางทีก็มีการดึงเอาคณาจารย์จากกันไปโดยเพิ่มเงินเดือนให้สูงกว่าก็มี
เมื่อเทียบกับหลายมหาวิทยาลัยในโลก เคมบริดจ์ได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์อยู่มาก เพราะรากฐานทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้เข้มแข็งมาช้านาน ดังนั้น ตั้งแต่อดีตจวบจนยุคปัจจุบัน นอกจากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอังกฤษแล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในโลกลำดับที่ 2 (ถัดจากฮาวาร์ด) กล่าวคือมีถึง 121 รางวัล เพราะความมีชื่อเสียงในด้านการวิจัยนี้เอง ในระยะหลัง เคมบริดจ์ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนด้านเงินทุนจากหลายหน่วยงาน เช่น EPSRC และ Gates Foundation ทำให้เคมบริดจ์มีสถานะการเงินที่ดีกว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษอื่น ๆ หลายแห่ง
ที่จริงแล้ว มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่จัดตั้งสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย แต่บังเอิญว่างานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสมัยก่อนนั้น ยังไม่มีการนำไปใช้เชิงพาณิชย์เท่าใดนัก จึงขยายตัวสู้สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดซึ่งเกิดทีหลัง แต่มีปริมาณงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มากกว่าไม่ได้ แต่ระยะหลัง สำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างมาก เห็นได้จากปริมาณงานทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ซึ่งมีเพิ่มขึ้น
ในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยแบ่งเป็น: อันดับ 1 ของยุโรปในคะแนนรวม, เป็นอันดับ 1 ของโลกด้านวิทยาศาสตร์, เป็นอันดับ 6 ของโลกทางด้านเทคโนโลยี, อันดับ 2 ของโลกทางด้านชีวเวช, อันดับ 8 ของโลกด้านสังคมศาสตร์ และ อันดับ 3 ของโลกด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006), ปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007), และปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ให้มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 2 ของโลก
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ผลิตนักวิจัย ได้รางวัลโนเบล 121 รางวัล ซึ่งจัดว่ามากเป็นอันดับสองโลกรองจากฮาร์วาร์ด ซึ่งส่วนมากเป็นรางวัลด้านวิทยาศาสตร์ เพราะมหาวิทยาลัยเน้นหนักงานวิจัยทางนี้มากที่สุด อย่างไรก็ดีงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ก็มีความโดดเด่นระดับต้นของโลกเช่นกัน ศิษย์เก่าชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมาก
This article uses material from the Wikipedia ไทย article มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.