ความไร้สัญชาติ (อังกฤษ: statelessness) เป็นข้อความคิดทางกฎหมายซึ่งพรรณนาถึงการที่บุคคลไม่มีสัญชาติ (nationality) ใด ๆ เลย กล่าวคือ สภาวะซึ่งบุคคลไม่เป็นที่รับรองว่าเกี่ยวข้องกับรัฐชาติรัฐใด ๆ เลย บุคคลเช่นนี้เรียก คนไร้สัญชาติ (stateless person)
ไร้สัญชาติ แบ่งเป็นสองลักษณะ คือ
เหตุผลที่บุคคลไร้สัญชาตินั้นมีอยู่มากมายทั่วโลก ปรกติแล้ว สัญชาติได้มาโดยหลักสองประการ คือ หลักดินแดน (jus soli) กับหลักสืบสายโลหิต (jus sanguinis) หลักดินแดนระบุว่า บุคคลเกิดในดินแดนของรัฐใด ย่อมได้สัญชาติของรัฐนั้น ส่วนหลักสืบสายโลหิตว่า บิดามารดาถือสัญชาติใด บุคคลย่อมถือสัญชาติตามนั้นด้วย ปัจจุบัน รัฐส่วนใหญ่ใช้หลักทั้งสองนี้ควบคู่กัน และการขัดกันของกฎหมายสัญชาติก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความไร้สัญชาติ เป็นต้นว่า แม้รัฐหลายรัฐจะเปิดให้บุคคลได้สัญชาติตามบุพการี ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเกิดที่ใดก็ตาม แต่หลายรัฐก็ยังไม่ยอมรับให้บุคคลได้สัญชาติจากมารดาซึ่งถือสัญชาติของตน ความขัดข้องนี้ส่งผลให้เกิดอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women) ซึ่งห้ามเลือกปฏิบัติในการให้สัญชาติเพราะเหตุแห่งเพศ
อีกเหตุหนึ่งของความไร้สัญชาติ คือ การสืบทอดของรัฐ (state succession) ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ปรากฏว่า บุคคลกลายเป็นไร้สัญชาติ เพราะรัฐที่ตนถือสัญชาตินั้นสิ้นสุดลงหรือตกอยู่ในความควบคุมของรัฐอื่น และไม่มีรัฐใหม่มาสืบทอดต่อ ตัวอย่างที่แจ้งชัด คือ คราวที่สหภาพโซเวียตและยูโกสลาเวียล่มสลาย
อนึ่ง ยังมีกรณีที่บุคคลสละสัญชาติของตนเองโดยสมัครใจ จึงเป็นเหตุให้บุคคลนั้นไร้สัญชาติ เช่น แกรี เดวิส (Garry Davis) ที่เรียกตนเองว่า "พลเมืองโลก" (world citizen) แต่ปรกติแล้ว กฎหมายของรัฐส่วนใหญ่ในโลกนี้จะยอมให้ราษฎรของตนสละสัญชาติตนก็ต่อเมื่อได้สัญชาติใหม่แล้ว
อีกเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความไร้สัญชาติ คือ กรณีที่บุคคลเป็นราษฎรของดินแดนซึ่งไม่เป็นรัฐ เป็นต้นว่า ดินแดนปาเลสไตน์ ซาฮาราตะวันตก และไซปรัสเหนือ
ความไร้สัญชาตินั้นบังเกิดขึ้นมายาวนานหลายร้อยปี แต่ประชาคมระหว่างประเทศเพิ่งใฝ่ใจแก้ไขเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มใน ค.ศ. 1954 เมื่อสหรัฐอเมริกาตกลงรับอนุสัญญาเกี่ยวกับสถานะของคนไร้สัญชาติ (Convention relating to the Status of Stateless Persons) ซึ่งวางกรอบการคุ้มครองคนไร้สัญชาติ เจ็ดปีให้หลัง คือ ค.ศ. 1961 จึงมีการทำอนุสัญญาว่าด้วยการลดความไร้สัญชาติ (Convention on the Reduction of Statelessness) ซึ่งประกอบด้วยข้อบทที่มุ่งหมายป้องกันและบรรเทาความไร้สัญชาติ ต่อมา ประชาคมระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาคได้ทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนอีกหลายฉบับเพื่อวางมาตรการพิเศษเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลไร้สัญชาติ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กกำหนดให้รัฐที่ผูกพันตนตามอนุสัญญานี้ต้องรับรองว่า เด็กทุกคนจะมีสัญชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก
อย่างไรก็ดี การไม่อาจพิสูจน์สัญชาติ เช่น เข้าเมืองโดยไม่มีเอกสาร (undocumented immigrant) ไม่นับว่าไร้สัญชาติ แต่การขาดหนังสือสำคัญบางอย่าง เช่น สูติบัตร อาจนำไปสู่ความไร้สัญชาติได้ บุคคลหลายล้านคนบนโลกนี้ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีหนังสือสำคัญ เป็นเหตุให้ระบุสัญชาติแน่นอนไม่ได้ และประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต เพราะมิรู้ที่จะแสวงหาความคุ้มครองโดยอาศัยความเป็นพลเมืองของรัฐใด
This article uses material from the Wikipedia ไทย article ความไร้สัญชาติ, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.