สงครามกลางเมืองรัสเซีย (7 พฤศจิกายน ค.ศ.
1917 — 16 มิถุนายน ค.ศ. 1923) เป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่ต่อสู้กันหลายฝ่ายในพื้นที่จักรวรรดิรัสเซียเดิม ซึ่งเหตุการณ์เริ่มต้นจากการล้มล้างอำนาจรัฐบาลชั่วคราวรัสเซียที่เป็นประชาธิปไตยสังคมนิยมในระหว่างการปฏิวัติเดือนตุลาคม โดยมีหลายฝ่ายที่ประสงค์จะแย่งชิงอำนาจเพื่อกำหนดอนาคตทางการเมืองของรัสเซีย ผลที่ตามมาจากความขัดแย้งนี้นำไปสู่การก่อตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียและสหภาพโซเวียตในภายหลังในพื้นที่ส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิ สงครามกลางเมืองถือเป็นจุดสิ้นสุดของการปฏิวัติรัสเซียและเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในคริสต์ศวรรษที่ 20
สงครามกลางเมืองรัสเซีย | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การปฏิวัติรัสเซีย | |||||||||
ตามเข็มนาฬิกาจากบน: ทหารแห่งกองทัพดอน; กองพันทหารราบรัสเซียขาวในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920; ทหารแห่งกองทัพทหารม้าที่ 1; เลออน ทรอตสกี ใน ค.ศ. 1918; การแขวนคอคนงานในเยคาเตรีโนสลัฟโดยออสเตรีย | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
รัฐบอลเชวิคอื่น:
|
อื่น ๆ:
ผู้ถือคตินิยมการแยกตัวออก: ฝ่ายมหาอำนาจกลาง:
กองกำลังอื่น ๆ:
| ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
วลาดีมีร์ เลนิน วลาดีมีร์ วอลสกี มารียา สปีรีโดโนวา นือกือฟอร์ ฮรือฮอริว † แนสตอร์ มัคนอ สเตปัน เปตรีเชนโก …และคนอื่น ๆ | อะเลคซันดร์ เคเรนสกี ยูแซฟ ปิวซุดสกี เค.จี.อี. มันเนอร์เฮม ซือมอน แปตลูรา …และคนอื่น ๆ | ||||||||
กำลัง | |||||||||
|
กองกำลังท้องถิ่น:
อื่น ๆ:
อื่น ๆ:
อื่น ๆ:
|
ระบอบราชาธิปไตยรัสเซียยุติลงหลังการสละราชสมบัติของซาร์นีโคไลที่ 2 ในระหว่างการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ และประเทศเข้าสู่สถานะรัฐทวิอำนาจ ซึ่งความตึงเครียดของอำนาจควบคู่สิ้นสุดลงเมื่อเกิดการปฏิวัติเดือนตุลาคมที่นำโดยบอลเชวิค โดยได้ล้มล้างอำนาจของรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐรัสเซียใหม่ บอลเชวิคเข้ายึดอำนาจโดยไม่ได้รับการรับรองในระดับสากลและสถานการณ์ภายในประเทศจุดประกายให้เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งสองกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดประกอบด้วย กองทัพแดงที่ต่อสู้เพื่อการก่อตั้งรัฐสังคมนิยมซึ่งนำโดยบอลเชวิคของวลาดีมีร์ เลนิน และกองกำลังพันธมิตรอย่างหลวม ๆ ที่เรียกขานกันว่ากองทัพขาว ซึ่งเป็นแนวหลักของฝ่ายการเมืองที่ต่อต้านบอลเชวิคทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสังคมนิยมที่ขัดแย้งกับบอลเชวิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอนาธิปไตยยูเครนมัคนอวช์ชีนาและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติฝ่ายซ้าย เช่นเดียวกันกับกองทัพเขียวซึ่งไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ใด ๆ ต่อต้านบอลเชวิค ขบวนการขาว และการแทรกแซงของต่างชาติ มีทั้งหมดสิบสามชาติที่เข้าแทรกแซงประเทศเพื่อต่อต้านกองทัพแดง โดยที่โดดเด่นคือการแทรกแซงของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งมีเป้าประสงค์หลักคือการสร้างแนวรบด้านตะวันออกของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกครั้ง สามชาติมหาอำนาจกลางได้เข้าแทรกแซงรัสเซียเช่นกัน เพื่อคานกับการแทรกแซงของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยมีเป้าประสงค์หลักในการรักษาดินแดนที่พวกเขาได้รับในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ที่ลงนามกับรัสเซียโซเวียต
ในช่วงแรกของสงคราม บอลเชวิคสามารถรวมอำนาจควบคุมเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิ การลงนามในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเป็นการสงบศึกอย่างเร่งด่วนกับจักรวรรดิเยอรมัน ส่งผลให้รัสเซียถูกยึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่ในระหว่างความโกลาหลจากการปฏิวัติ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 หน่วยทหารเชโกสโลวักในรัสเซียกระทำการกบฏในไซบีเรีย ซึ่งการตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มเข้าแทรกแซงรัสเซียเหนือและไซบีเรีย และได้รวมกับกองกำลังอื่นในการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวแห่งรัสเซียทั้งปวง ทำให้บอลเชวิคสูญเสียการควบคุมดินแดนเหลือเพียงพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียยุโรปและบางส่วนของเอเชียกลาง ใน ค.ศ. 1919 กองทัพขาวดำเนินการรุกหลายแนวรบจากฝั่งตะวันออกในเดือนมีนาคม จากฝั่งใต้ในเดือนกรกฎาคม และฝั่งตะวันตกในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม การรุกของกองทัพขาวถูกตอบโต้จากการรุกกลับแนวรบด้านตะวันออก การรุกกลับแนวรบด้านใต้ และความพ่ายแพ้ของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ
ในระหว่าง ค.ศ. 1919 กองทัพขาวถอยทัพและในช่วงเริ่มต้น ค.ศ. 1920 ได้ปราชัยทั้งหมดสามแนวรบ แม้ว่าบอลเชวิคจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ขอบเขตของรัฐรัสเซียนั้นลดลง อันเนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่รัสเซียจำนวนมากถือโอกาสขณะประเทศระส่ำระสายผลักดันการประกาศเอกราชของชาติตนเอง ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 ระหว่างสงครามโปแลนด์–โซเวียต ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพรีกา ซึ่งแบ่งแยกดินแดนพิพาทในเบลารุสและยูเครนระหว่างสาธารณรัฐโปแลนด์กับรัสเซียโซเวียต ทางการโซเวียตพยายามที่จะรวมประเทศเอกราชทั้งหมดที่แยกตัวออกจากอดีตจักรวรรดิอีกครั้ง แต่ก็ประสบผลสำเร็จเพียงบางส่วนเท่านั้น เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย และลิทัวเนียสามารถขับไล่การบุกครองของโซเวียตได้สำเร็จ ในขณะที่ยูเครน เบลารุส (อันเป็นผลมาจากสงครามโปแลนด์–โซเวียต) อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน และจอร์เจียถูกยึดครองโดยกองทัพแดง ในระหว่าง ค.ศ. 1921 รัสเซียโซเวียตสามารถพิชิตขบวนการชาตินิยมยูเครนและยึดครองคอเคซัส แม้ว่ายังมีการก่อการกำเริบต่อต้านบอลเชวิคในเอเชียกลางที่ดำเนินไปจนกระทั่งปลายทศวรรษ 1920
กองทัพภายใต้การบัญชาการของอะเลคซันดร์ คอลชัคถูกบีบบังคับให้ล่าถอยกำลังไปทางตะวันออก กองทัพแดงรุกหน้าต่อไปทางตะวันออก แม้จะพบการต้อต้านในชีตา ยาคุต และมองโกเลีย ในแนวรบทางใต้ กองทัพแดงสามารถแยกกองทัพดอนกับกองทัพอาสาสมัครและบีบบังคับให้อพยพไปยังโนโวรอสซีสค์ในเดือนมีนาคม และไปยังไครเมียในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1920 หลังจากนั้นมีการต่อต้านบอลเชวิคเป็นระยะ ๆ เป็นเวลาหลายปีกระทั่งการล่มสลายของกองทัพขาวในยาคูเตียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 แต่ขบวนการบาสมาชิในเอเชียกลางและดินแดนฮาบารอฟสค์ยังคงดำเนินต่อกระทั่ง ค.ศ. 1934 สงครามกลางเมืองรัสเซียสร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติเป็นอย่างมาก โดยมีผู้เสียชีวิตจากสงครามประมาณ 7 ถึง 12 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพลเมืองทั้งสิ้น
kgb cheka executions probably numbered as many as 250,000.
This article uses material from the Wikipedia ไทย article สงครามกลางเมืองรัสเซีย, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.