ในบริบททางการแพทย์ สุขภาพ และความฟิตของร่างกาย การลดน้ำหนัก หรือ น้ำหนักลด (อังกฤษ: weight loss) หมายถึงการลดน้ำหนัก/มวลกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพราะเสียน้ำ ลดไขมัน หรือมวลกายอื่น ๆ เช่น แร่ธาตุในกระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น และเนื้อเยื่ออื่น ๆ อาจเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะทุพโภชนาการ เพราะโรค เพราะพยายามแก้ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนไม่ว่าจะเป็นจริงหรือแค่คิดเอาเอง น้ำหนักที่ลดอย่าง อธิบายไม่ได้ และไม่ได้เกิดจากการลดอาหารหรือเพิ่มออกกำลังกาย อาจเป็นอาการโรคที่ต้องตรวจดู
น้ำหนักลด | |
---|---|
ภาพแสดงการลดน้ำหนัก |
การตั้งใจลดน้ำหนักอาจเพื่อปรับปรุงความฟิตร่างกายหรือสุขภาพ หรือเพื่อเปลี่ยนรูปร่าง สำหรับผู้ที่น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน การลดน้ำหนักอาจลดความเสี่ยงทางสุขภาพ เพิ่มความฟิตร่างกาย และชะลอการเกิดโรคเบาหวาน สำหรับผู้มีข้อเข่าเสื่อม อาจลดความเจ็บปวดและทำให้คล่องแคล่วขึ้น การลดน้ำหนักอาจลดความดันโลหิตสูง แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าลดอันตรายเหตุความดันสูงหรือไม่[ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง]
Weight loss is achieved by adopting a lifestyle in which fewer calories are consumed than are expended. น้ำหนักสามารถลดเมื่อมีพฤติกรรม/วิถีชีวิตที่บริโภคพลังงานน้อยกว่าที่ใช้แต่ละน คือ น้ำหนักจะลดก็ต่อเมื่อใช้พลังงานเพื่อทำงานหรือเพื่อเมแทบอลิซึมยิ่งกว่าที่ได้จากอาหารและสารอาหารอื่น ๆ ซึ่งทำให้เผาพลังงานที่เก็บสำรองไว้ไม่ว่าจะจากไขมันหรือกล้ามเนื้อ แล้วทำให้น้ำหนักค่อย ๆ ลด
สำหรับนักกีฬาที่ต้องการเล่นกีฬาให้ดีขึ้น หรือต้องผ่านพิกัดน้ำหนักในกีฬา การลดน้ำหนักอีกไม่แปลกแม้จะหนักในระดับดีสุดแล้ว ส่วนบุคคลอื่น ๆ อาจมีแรงจูงใจเพื่อลดน้ำหนักให้ได้รูปร่างที่ตนคิดว่าดูดีกว่า อย่างไรก็ดี การมีน้ำหนักน้อยเกินสัมพันธ์กับความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น อ่อนแอต่อการติดเชื้อ ภาวะกระดูกพรุน กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ร่างกายมีปัญหาควบคุมอุณหภูมิ และแม้แต่เสี่ยงตายสูงขึ้น
อาหารมีแคลอรีต่ำ (low-calorie diet) เป็นรูปแบบอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นอย่างสมดุล เพราะมีผลเสียน้อยมาก นักโภชนาการจึงมักแนะนำอาหารพวกนี้ นอกจากจะจำกัดแคลอรีที่บริโภค ก็ยังควบคุมการบริโภคสารอาหารหลัก ๆ (macronutrient) อีกด้วย ในบรรดาแคลอรีที่ควรบริโภคต่อวัน 55% ควรมาจากคาร์โบไฮเดรต, 15% จากโปรตีน และ 30% จากไขมันโดยไม่ควรมีไขมันอิ่มตัวเกิน 10% ของไขมันทั้งหมด[ต้องการอ้างอิง] ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบริโภคอาหารมีพลังงาน 1,200 แคลอรีต่อวัน ควรจะได้ 660 แคลอรีจากคาร์โบไฮเดรต 180 แคลอรีจากโปรตีน และ 360 แคลอรีจากไขมัน แต่ก็มีงานศึกษาบางงานที่แสดงว่า การเพิ่มบริโภคโปรตีนสามารถช่วยระงับความหิวที่มักเกิดเพราะลดแคลอรีในอาหารเพราะเพิ่มความรู้สึกอิ่ม
การจำกัดแคลอรีเช่นนี้มีประโยชน์ระยะยาวหลายอย่าง เมื่อทำพร้อมกับออกกำลังกายเพิ่มขึ้น อาหารมีแคลอรีต่ำเชื่อว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในระยะยาว ไม่เหมือนกับไดเอ็ตทำ ๆ หยุด ๆ ซึ่งอย่างดีก็ได้ผลระยะสั้น ๆ เท่านั้น การออกกำลังกายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของรูปแบบการทานอาหาร ดังนั้น วิธีการลดน้ำหนักซึ่งถูกสุขภาพที่สุดก็คือ การทานอาหารอย่างสมดุลประกอบกับการออกกำลังกายปานกลาง[ต้องการอ้างอิง] การเพิ่มน้ำหนักสัมพันธ์กับการทานไขมันมากเกิน เพิ่มทานน้ำตาล ทานคาร์โบไฮเดรตขัดสี/แปรรูปโดยทั่วไป และการดื่มแอลกอฮอล์[ต้องการอ้างอิง]
ความซึมเศร้า ความเครียด และความเบื่ออาจมีส่วนทำให้น้ำหนักเพิ่ม ในกรณีเหล่านี้ บุคคลอาจควรปรึกษาแพทย์ งานศึกษาปี 2010 พบว่า ผู้ไดเอ็ตที่หลับเต็มอิ่มช่วงกลางคืน ลดน้ำหนักได้เป็นสองเท่าของผู้ไดเอ็ตที่นอนไม่พอ
แม้จะมีสมมติฐานว่า อาหารเสริมเป็นวิตามินดีอาจช่วยลดน้ำหนัก แต่ผลงานศึกษาก็ไม่สนับสนุนสมมติฐานนี้ คนไดเอ็ตโดยมากจะได้น้ำหนักคืนในระยะยาว
ตามแนวทางแนะนำอาหารของคนอเมริกัน (Dietary Guidelines for Americans) คนที่ได้น้ำหนักถูกสุขภาพและรักษาไว้ได้ จะต้องระมัดระวังบริโภคแคลอรีตามที่ร่างกายจำเป็นเท่านั้น และเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ๆ (physically active) ตามองค์การบริการสุขภาพแห่งชาติแห่งสหราชอาณาจักร (NHS) บุคคลสามารถลดน้ำหนักได้ดีที่สุดโดยตรวจตราแคลอรีที่บริโภคแต่ละวันประกอบกับการออกกำลังกาย
วิธีการลดน้ำหนักที่ก้าวก่ายน้อยที่สุด และจึงแนะนำบ่อยที่สุด ก็คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารและเพิ่มออกกำลัง ปกติโดยการออกกำลังกาย องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ลดทานอาหารแปรรูปที่มีไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และเกลือสูง ลดแคลอรีที่ได้จากอาหาร และเพิ่มออกกำลัง
ยังแนะนำให้ทานใยอาหารเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อให้ถ่ายได้ดี วิธีลดน้ำหนักอื่น ๆ รวมทั้งการใช้ยาหรืออาหารเสริมที่ลดความอยากอาหาร ระงับการดูดซึมอาหาร หรือลดปริมาตรกระเพาะอาหาร การผ่าตัดลดความอ้วน (Bariatric surgery) อาจเป็นทางเลือกสำหรับโรคอ้วนรุนแรง การผ่าตัดที่สามัญก็คือ gastric bypass (การผ่าเลี่ยงกระเพาะอาหารเป็นบางส่วน) และ gastric banding (การผูกกระเพาะอาหาร) ทั้งสองอาจมีประสิทธิผลลดการนำพลังงานเข้าร่างกายเพราะลดขนาดกระเพาะ แต่ก็มีความเสี่ยงอย่างจำเพาะ ๆ เหมือนกับกาผ่าตัดอื่น ๆ ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
อาหารเสริมถึงแม้จะใช้อย่างกว้างขวาง แต่ก็พิจารณาว่าไม่ถูกสุขภาพเมื่อลดน้ำหนัก มีวางตลาดหลายอย่าง แต่น้อยอย่างมากมีประสิทธิผลระยะยาว
มีวิธีการสะกดจิต (virtual gastric band) ที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่า กระเพาะอาหารเล็กกว่าเป็นจริงและดังนั้น จึงช่วยลดปริมาณการทานอาหารแล้วให้ลดน้ำหนักได้ วิธีนี้อาจเสริมด้วยการรักษาความวิตกกังวลทางจิตวิทยาและด้วยการให้ฟังบันทึกเสียงเมื่อนอนหลับ (hypnopedia) มีงานวิจัยที่ตรวจสอบการสะกดจิตเพื่อแก้ปัญหาน้ำหนักเกินเป็นการรักษาทางเลือก งานศึกษาปี 1996 พบว่า การลดน้ำหนักด้วยการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นถ้าเสริมด้วยการสะกดจิต การรักษาด้วยการยอมรับและการให้สัญญา (ACT) ซึ่งใช้สติเพื่อลดน้ำหนักก็พบในปี 2010 ว่ามีประโยชน์ด้วย
เพื่อให้น้ำหนักลดอย่างถาวร การเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมก็ต้องถาวรด้วย การไดเอ็ตในระยะสั้น ๆ ไม่ปรากฏว่า ลดน้ำหนักได้หรือทำให้สุขภาพดีขึ้นในระยะยาว และอาจมีโทษด้วย
ในสหรัฐ มีผลิตภัณฑ์ที่วางตลาดเป็นจำนวนมากซึ่งอ้างว่าช่วยให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มีค่าใช้จ่ายน้อย ไว้วางใจได้ และเป็นทุกข์น้อยกว่า รวมทั้งหนังสือ ดีวีดี ซีดี ครีม น้ำมัน ยา แหวน ตุ้มหู เครื่องพันกาย เข็มขัด วัสดุอื่น ๆ ศูนย์ฟิตเหนส คลินิก โค้ชส่วนตัว กลุ่มสนับสนุนลดน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริม ในปี 2008 มีการใช้จ่าย 33,000-55,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 1.1-1.8 ล้านล้านบาท) สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการลดน้ำหนักโดยรวมวิธีการทางแพทย์และยาด้วย ศูนย์ลดน้ำหนักได้ส่วนแบ่งระหว่าง 6-12% ผู้บริโภคซื้ออาหารเสริมเพื่อช่วยลดน้ำหนักเกินกว่า 1,600 ล้านเหรียญต่อปี (ประมาณ 52,789 ล้านบาท) ความพยายามเพื่อไดเอ็ตของคนอเมริกัน 70% จะทำเอง
ในยุโรปตะวันตก การขายผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักโดยไม่รวมยาที่แพทย์ต้องออกใบสั่ง เกินกว่า 1,250 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 59,767 ล้านบาท) ในปี 2009
การลดน้ำหนักอย่างไม่ได้ตั้งใจอาจเกิดจากการเสียไขมัน เสียน้ำ เสียกล้ามเนื้อในร่างกาย หรือเสียสิ่งเหล่านี้รวม ๆ กัน ปกติจะพิจารณาว่าเป็นปัญหาทางการแพทย์ต่อเมื่อบุคคลเสียน้ำหนักอย่างน้อย 10% ภายใน 6 เดือน หรือ 5% ภายในเดือนที่ผ่านมา เกณฑ์วิธีอีกอย่างที่ใช้ประเมินน้ำหนักน้อยเกินก็คือ ดัชนีมวลกาย (BMI) อย่างไรก็ดี แม้น้ำหนักลดที่น้อยกว่านี้ก็อาจเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงสำหรับคนชราที่อ่อนแอ
น้ำหนักลดแบบไม่ได้ตั้งใจอาจเกิดเพราะได้พลังงานจากอาหารไม่พอเทียบกับความต้องการของร่างกาย (ปกติเรียกว่า ทุพโภชนาการ) แต่วิถีดำเนินของโรค การเปลี่ยนแปลงทางเมแทบอลิซึม ทางฮอร์โมน การใช้ยา การรักษาโรคอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงอาหารเนื่องจากโรคหรือการรักษา หรือความอยากอาหารน้อยดังที่สัมพันธ์กับโรคหรือการรักษาก็อาจทำให้น้ำหนักลดอย่างไม่ได้ตั้งใจได้เช่นกัน ปัญหาทางฮอร์โมนเช่น ไทรอยด์ถูกกระตุ้นมากเกินไป (hyperthyroidism) อาจทำให้น้ำหนักลดเช่นกัน การนำสารอาหารไปใช้ไม่ได้ดีอาจทำให้น้ำหนักลด ซึ่งอาจมีเหตุจากทางเดินอาหารทะลุ (fistulae) ท้องร่วง ปฏิกิริยาระหว่างยากับอาหาร การหมดเอนไซม์ และกล้ามเนื้อลีบ
น้ำหนักที่ลดลงเรื่อย ๆ อาจแย่ลงจนกลายเป็นภาวะผอมหนังหุ้มกระดูก (cachexia) ซึ่งต่างกับความอดอยากโดยส่วนหนึ่งก็คือเพราะมีปฏิกิริยาเป็นการอักเสบทั้งร่างกาย (systemic inflammatory response) และมีผลที่แย่กว่า
ในโรคที่ลุกลามระยะหลัง ๆ เมแทบอลิซึมของคนไข้อาจเปลี่ยนไป จึงทำให้น้ำหนักลดได้แม้จะได้อาหารพอโดยที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ ซึ่งอาจก่อภาวะ anorexia cachexia syndrome (ACS) ที่การได้อาหารหรืออาหารเสริมไม่น่าจะช่วย อาการเนื่องกับ ACS รวมทั้งการเสียน้ำหนักอย่างรุนแรงจากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จากไขมันร่างกาย ไม่อยากอาหาร อิ่มแม้หลังจากทานอาหารเพียงเล็กน้อย คลื่นไส้ กะปลกกะเปลี้ย ล้า การลดน้ำหนักมากอาจทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ขัดขวางการรักษาหรือการหายจากโรค ทำให้โรคแย่ลง และเป็นปัจจัยเสี่ยงให้มีอัตราการตายสูง
ทุพโภชนาการอาจมีผลต่อการทำงานของร่างกายทุก ๆ ส่วน เริ่มตั้งแต่ระดับเซลล์จนถึงกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนที่สุดรวมทั้ง
อนึ่ง ทุพโภชนาการอาจทำให้ขาดวิตามินหรือสารอาหารอื่น ๆ แล้วทำให้ไม่ค่อยขยับตัว ซึ่งก็อาจก่อปัญหาอื่น ๆ เช่น แผลกดทับ (pressure sore) น้ำหนักลดอย่างไม่ได้ตั้งใจอาจเป็นอาการที่นำไปสู่การวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง และโรคเบาหวานประเภทที่หนึ่ง
ในสหราชอาณาจักร ประชากรทั่วไป 5% จะมีน้ำหนักน้อยเกิน แต่ผู้ที่มีโรคปอด โรคทางเดินอาหาร หรือเพิ่งรับการผ่าตัดจะเป็นถึง 10% ตามข้อมูลจาก Malnutrition Universal Screening Tool ('MUST') ของสหราชอาณาจักร ซึ่งรวมเรื่องการเสียน้ำหนักโดยไม่ได้ตั้งใจ 10% ของประชากรอายุมากกว่า 65 ปีเสี่ยงต่อทุพโภชนาการ คนไข้ในโรงพยาบาลถึง 10-60% ก็เสี่ยงด้วย คนไข้ในสถาบันดูแลผู้ป่วยระยะยาวก็เช่นกัน
ทุพโภชนาการเนื่องกับโรคอาจจัดรวมในหมวด 4 หมวด
ปัญหา | เหตุ |
---|---|
ทานอาหารได้ไม่เต็มที่ | ความไม่อยากอาหารอาจเป็นอาการโดยตรงของโรค หรือโรคอาจทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อรับประทานอาหารหรือทำให้คลื่นไส้ อาจทำให้รู้สึกกลัวการกิน อาจเกิดจากความรู้สึกตัวที่แย่ลงหรือสับสน ปัญหาที่มือและแขน ปัญหาการกลืนและการเคี้ยว แพทย์อาจจำกัดอาหารเพื่อรักษาหรือเพื่อตรวจสอบโรค การขาดอาหารอาจเกิดจากความยากจน ปัญหาการไปซื้อของหรือทำอาหาร และอาหารคุณภาพไม่ดี |
การย่อยหรือการดูดซึมอาหารที่ไม่ดี | อาจเกิดจากปัญหาของระบบย่อยอาหาร |
ร่างกายมีความต้องการเปลี่ยนไป | การเปลี่ยนแปลงทางเมแทบอลิซึมอาจเกิดจากโรค การผ่าตัด หรือปัญหาที่อวัยวะต่าง ๆ |
การเสียสารอาหารเกิน | การเสียสารอาหารจากทางเดินอาหารอาจเกิดจากอาการต่าง ๆ เช่นอาเจียน ท้องร่วง ทางเดินอาหารทะลุ (fistulae) และ stoma อาจเสียสารอาหารเพราะวิธีการระบายต่าง ๆ รวมทั้งสายระบายที่แพทย์สอดจากจมูกถึงกระเพาะอาหาร (nasogastric tube) หรือเพราะกระบวนการอื่น ๆ เช่น ผิวหนังไหม้ที่มีน้ำเยิ้มออกจากผิว (skin exudate) |
ปัญหาการเสียน้ำหนักเพราะโรคโดยเฉพาะ ๆ รวมทั้ง
เบาหวานประเภท 1 หรือที่รู้จักกันว่า เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (insulin dependent diabetes mellitus - IDDM) นำไปสู่ปริมาณกลูโคสส่วนเกินและปริมาณอินซูลินในกระแสเลือดไม่เพียงพอ ภาวะนี้นำไปสู่การหลั่งไตรกลีเซอไรด์จากกล้ามเนื้อไขมันและแคแทบอลิซึมของกรดอะมิโนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ซึ่งนำไปสู่ทั้งการสูญเสียทั้งมวลไขมันและมวลเนื้อ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างสำคัญ โรคเบาหวานประเภท 1 ที่ไม่ได้รับการรักษาสามารถทำให้น้ำหนักลดได้
การรักษาทางการแพทย์อาจเป็นเหตุโดยตรงหรือโดยอ้อมให้น้ำหนักลด ซึ่งขัดประสิทธิผลการรักษาและการฟื้นสภาพ แล้วทำให้น้ำหนักลดลงอีก วนเป็นวัฏจักรที่ไม่ดี หลังจากการผ่าตัด คนไข้อาจเจ็บแล้วไม่อยากอาหาร ร่างกายจะตอบสนองโดยส่วนหนึ่งต่อการผ่าตัดโดยทุ่มแรงไปเพื่อรักษาแผล ซึ่งเพิ่มความต้องการพลังงาน แม้จะเปลี่ยนความต้องการสารอาหารโดยอ้อมโดยเฉพาะในช่วงฟื้นตัว แต่ความเปลี่ยนแปลงก็อาจกวนการฟื้นสภาพของแผลและของร่างกาย
การผ่าตัดสามารถมีผลต่อความต้องการอาหารโดยตรงถ้าหัตถการเปลี่ยนระบบย่อยอาหารอย่างถาวร การให้อาหารผ่านสายยางอาจจำเป็น แต่การไม่ให้อาหารทางปากเลยสำหรับการผ่าตัดทางเดินอาหารทุกอย่างไม่ปรากฏว่ามีประโยชน์ โดยนักวิชาการบางพวกเสนอว่ามันทำให้หายช้าลง[ต้องการการอัปเดต]
การให้อาหารหลังการผ่าตัดทางเดินอาหารตั้งแต่ระยะต้น ๆ เป็นส่วนของเกณฑ์วิธีที่เรียกว่า Enhanced Recovery After Surgery protocol ซึ่งรวมการให้อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate loading) ภายใน 24 ชม. ก่อนผ่าตัด แต่การให้อาหารก่อนหน้านั้นดูเหมือนจะไม่มีผลอย่างสำคัญ
ยาบางอย่างอาจเป็นเหตุให้น้ำหนักลด แต่บางอย่างก็ทำให้น้ำหนักเพิ่ม
สถานะทางสังคม เช่น ความยากจน การแยกอยู่คนเดียว หรือการไม่สามารถได้หรือทำอาหารที่ต้องการอาจทำให้น้ำหนักลดอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจสามัญเป็นพิเศษในคนชรา อาหารที่ได้อาจได้รับผลจากวัฒนธรรม ครอบครัว และความเชื่อ ฟันปลอมที่ใส่ไม่ดี ปัญหาเกี่ยวกับฟันและปากอื่น ๆ ก็อาจทำให้ได้อาหารไม่พอด้วย ความสิ้นหวัง ปัญหาสถานะทาสังคม การติดต่อกับคนอื่น ๆ ปัญหาทางจิตวิญญาณ และความเหนื่อยล้าอาจทำให้ซึมเศร้า ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการได้อาหารน้อยลง
ความเชื่อยอดนิยมเกี่ยวกับการลดน้ำหนักบางอย่างพบว่า มีผลไม่ตรงตามที่เชื่อ หรือแม้แต่ไม่ดีต่อสุขภาพ ตามนักวิชาการของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แนวคิดว่าเมแทบอลิซึมเป็นหัวใจของการลด/เพิ่มน้ำหนักเป็นจริงแค่บางส่วน เพราะแม้เมแทบอลิซึมจะมีผลต่อน้ำหนักก็จริง แต่ปัจจัยภายนอกเช่นอาหารและการออกกำลังกายก็มีผลเท่า ๆ กัน นักวิชาการยังชี้แจงว่า การเปลี่ยนอัตราเมแทบอลิซึมของตนเองได้ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อยุติอีกด้วย แผนไดเอ็ตในนิตยสารฟิตเหนสบ่อยครั้งเชื่อว่ามีประสิทธิผล แต่จริง ๆ อาจมีโทษเพราะจำกัดการบริโภคสารอาหารที่สำคัญโดยขึ้นอยู่กับบุคคล และอาจทำให้เข็ดไม่พยายามลดน้ำหนักอีก
โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค รวมทั้งเบาหวาน มะเร็ง โรคระบบหัวใจหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และโรคตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ดังนั้น การแก้ปัญหาสภาวะโรคอ้วนก็จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านั้น เช่น การลดน้ำหนัก 1 กก. พบว่าสัมพันธ์กับการลดความดันโลหิตประมาณ 1 มิลลิเมตรปรอท
การจำแนกโรค |
---|
This article uses material from the Wikipedia ไทย article น้ำหนักลด, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.