พรีเมียร์ลีก

พรีเมียร์ลีก (อังกฤษ: Premier League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับสูงสุดของระบบลีกฟุตบอลอังกฤษ โดยแข่งขันกัน 20 สโมสร มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้นกับอิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอล) ฤดูกาลการแข่งขันเริ่มต้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม แต่ละทีมลงเล่นทั้งหมด 38 นัดจากการพบกันเหย้าและเยือน โดยนัดการแข่งขันส่วนใหญ่มักจะแข่งขันในช่วงบ่ายวันเสาร์และวันอาทิตย์ (เวลาท้องถิ่น)

พรีเมียร์ลีก
พรีเมียร์ลีก
ก่อตั้ง20 กุมภาพันธ์ 1992; 32 ปีก่อน (1992-02-20)
ประเทศพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สมาพันธ์ยูฟ่า
จำนวนทีม20
ระดับในพีระมิด1
ตกชั้นสู่อีเอฟแอลแชมเปียนชิป
ถ้วยระดับประเทศ
ถ้วยระดับลีกอีเอฟแอลคัพ
ถ้วยระดับนานาชาติ
ทีมชนะเลิศปัจจุบันแมนเชสเตอร์ซิตี
(2022–23)
ชนะเลิศมากที่สุดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13 สมัย)
ผู้ลงเล่นมากที่สุดแกเร็ท แบร์รี (653)
ผู้ทำประตูสูงสุดแอลัน เชียเรอร์ (260)
หุ้นส่วนโทรทัศน์
เว็บไซต์premierleague.com
ปัจจุบัน: พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023–24

การแข่งขันก่อตั้งในชื่อ เอฟเอพรีเมียร์ลีก (อังกฤษ: FA Premier League) เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 หลังการตัดสินใจของสโมสรใน ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน ที่ต้องการจะแยกตัวออกจาก อิงกลิชฟุตบอลลีก ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1888 เพื่อรับผลประโยชน์จากสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์โดย สกาย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ถึง 2020 มูลค่าของข้อตกลงสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ รวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 3.1 พันล้านปอนด์ต่อปี โดยสกายและบีทีกรุปได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดในประเทศ 128 นัดและ 32 นัด ตามลำดับ พรีเมียร์ลีกเป็นบริษัทที่ผู้บริหารระดับสูง ริชาร์ด มาสเตอร์ส มีหน้าที่บริหารจัดการ ในขณะที่สโมสรสมาชิกทำหน้าที่เป็นผู้ถือหุ้น สโมสรได้รับรายได้จากเงินส่วนกลางจำนวน 2.4 พันล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–17 และอีก 343 ล้านปอนด์จ่ายให้กับสโมสรใน อิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอล)

พรีเมียร์ลีกเป็นลีกกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยมีการถ่ายทอดสดใน 212 ดินแดน ไปยังบ้าน 643 ล้านหลังและคาดว่ามีผู้ชมโทรทัศน์ 4.7 พันล้านคน มีผู้ชมในสนามเฉลี่ย 38,181 คน ในฤดูกาล 2018–19 เป็นรองแค่ บุนเดิสลีกา ซึ่งมีผู้ชมในสนามเฉลี่ยที่ 43,500 คน และมีผู้ชมในสนามสะสมในทุกนัดการแข่งขันที่ 14,508,981 คน ซึ่งสูงที่สุดมากกว่าลีกอื่น ๆ โดยเกือบทุกสนามมีผู้ชมเกือบเต็มความจุของสนาม พรีเมียร์ลีกมีค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าเป็นอันดับที่หนึ่ง โดยค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าคือการนำผลงานการแข่งขันในยุโรปจำนวนห้าฤดูกาลก่อนมาคำนวณ ณ ปี ค.ศ. 2021 สโมสรจากลีกสูงสุดของอังกฤษชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก/ยูโรเปียนคัพ เป็นอันดับสอง รองจากลีกสูงสุดของสเปน โดยมี 6 สโมสรจากอังกฤษคว้าถ้วยยุโรปทั้งหมด 15 ใบ

มี 51 สโมสรที่เคยแข่งขันในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 โดยแบ่งเป็นสโมสรจากอังกฤษ 49 สโมสรและสโมสรจากเวลส์ 2 สโมสร มี 7 สโมสรจากทั้งหมดที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (6), เชลซี (5), อาร์เซนอล (3), แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1), เลสเตอร์ซิตี (1) และ ลิเวอร์พูล (1) มีเพียงสองสโมสรเท่านั้นที่เคยชนะเลิศพรีเมียร์ลีกสามสมัยติดต่อกัน (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและแมนเชสเตอร์ซิตี) ในขณะที่มีเพียงหกสโมสรเท่านั้นที่ยังคงอยู่และยังไม่เคยตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก ได้แก่ อาร์เซนอล, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและทอตนัมฮอตสเปอร์

ประวัติ

ต้นกำเนิด

เมื่อทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 สโมสรจากอังกฤษประสบความสำเร็จอย่างมากในยุโรป แต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของฟุตบอลอังกฤษ เนื่องจากสนามกีฬาเสื่อมสภาพ, ผู้สนับสนุนต้องทนกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่ดี, เต็มไปด้วยฮูลิแกนและสโมสรอังกฤษถูกแบนจากการแข่งขันในยุโรปเป็นเวลาห้าปีหลังจากภัยพิบัติเฮย์เซลในปี ค.ศ. 1985 ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน เป็นการแข่งขันระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 การแข่งขันดังกล่าวเป็นรอง เซเรียอาของอิตาลีและลาลิกาของสเปน ในแง่ของผู้ชมและรายได้และผู้เล่นชั้นนำของอังกฤษหลายคนย้ายไปเล่นในต่างประเทศ

ภายในช่วงเปลี่ยนทศวรรษ 1990 แนวโน้มขาลงเริ่มกลับตัว เมื่อ ฟุตบอลโลก 1990 อังกฤษเข้ารอบรองชนะเลิศ, ยูฟ่า ซึ่งเป็นคณะปกครองของฟุตบอลยุโรป ยกเลิกการแบนห้าปีสำหรับสโมสรอังกฤษในการแข่งขันระดับยุโรปในปี ค.ศ. 1990 ทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ในปี ค.ศ. 1991 รายงานเทย์เลอร์ เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของสนามกีฬา ซึ่งเสนอให้มีการปรับปรุงราคาแพงเพื่อสร้างสนามกีฬาแบบที่นั่งได้ทั้งหมดหลังภัยพิบัติฮิลส์โบโร ได้รับการตีพิมพ์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1990

ในช่วงทศวรรษ 1980 สโมสรชั้นนำในอังกฤษได้เริ่มแปรสภาพเป็นธุรกิจร่วมทุน โดยใช้หลักการทางการค้าในการบริหารสโมสรเพื่อเพิ่มรายได้ให้สูงสุด มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, เออร์วิง สกอเลอร์ จาก ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ เดวิด เดน จาก อาร์เซนอล เป็นหนึ่งในผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ความจำเป็นทางการค้านำไปสู่สโมสรชั้นนำที่ต้องการเพิ่มอำนาจและรายได้: สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันขู่ว่าจะแยกตัวออกจากฟุตบอลลีก และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถเพิ่มอำนาจการลงคะแนนและรับการจัดการทางการเงินที่ดีขึ้นได้ ส่วนแบ่งร้อยละ 50 ของรายได้โทรทัศน์และการสนับสนุนทั้งหมดในปี ค.ศ. 1986 พวกเขาเรียกร้องให้บริษัทโทรทัศน์จ่ายเงินมากขึ้นสำหรับการรายงานข่าวการแข่งขันฟุตบอล และรายได้จากโทรทัศน์ก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้น ฟุตบอลลีกได้รับ 6.3 ล้านปอนด์สำหรับข้อตกลงสองปีในปี ค.ศ. 1986 แต่ในปี ค.ศ. 1988 ในข้อตกลงที่ตกลงกับ ไอทีวี ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 44 ล้านปอนด์ในช่วงสี่ปีโดยสโมสรชั้นนำรับเงินสดร้อยละ 75 สกอเลอร์ซึ่งมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงทางโทรทัศน์ระบุว่า แต่ละสโมสรในเฟิสต์ดิวิชัน ได้รับเงินเพียง 25,000 ปอนด์ต่อปีจากสิทธิ์ทางโทรทัศน์ก่อนปี ค.ศ. 1986 หลังการเจรจาในปี ค.ศ. 1986 สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันได้รับเงินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50,000 ปอนด์ จากนั้นเพิ่มอีกเป็น 600,000 ปอนด์ในปี ค.ศ. 1988 การเจรจาในปี ค.ศ. 1988 ดำเนินไปภายใต้การคุกคามของ 10 สโมสรที่จะจากไปเพื่อก่อตั้ง "ซูเปอร์ลีก" แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเกลี้ยกล่อมให้อยู่ต่อ โดยที่สโมสรชั้นนำรับส่วนแบ่งจากข้อตกลงนี้ การเจรจายังทำให้สโมสรใหญ่ ๆ เชื่อมั่นว่าเพื่อให้ได้คะแนนโหวตเพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องนำทีมในเฟิสต์ดิวิชันทั้งหมดไปด้วย แทนที่จะเป็น "ซูเปอร์ลีก" ที่มีขนาดเล็กกว่า ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 สโมสรใหญ่ได้พิจารณาที่จะแยกทางกันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่พวกเขาต้องระดมทุนเพื่อปรับปรุงสนามกีฬาตามที่รายงานเทย์เลอร์เสนอ

เมื่อปี ค.ศ. 1990 เกร็ก ไดค์ กรรมการผู้จัดการของ ลอนดอนวีกเอนเทเลวิชัน (แอลดับเบิลยูที) ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนสโมสรฟุตบอล "บิกไฟว์" ในอังกฤษ (แมนเชอร์เตอร์ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, ทอตนัมฮอตสเปอร์, เอฟเวอร์ตันและอาร์เซนอล) การประชุมครั้งนี้เป็นการปูทางให้สโมสรแยกตัวออกจากเดอะฟุตบอลลีก ไดค์เชื่อว่าแอลดับเบิลยูทีจะมีกำไรมากขึ้น หากมีเพียงสโมสรขนาดใหญ่ในประเทศเท่านั้นที่ได้รับการนำเสนอทางโทรทัศน์ระดับชาติและต้องการพิสูจน์ว่าสโมสรจะสนใจในส่วนแบ่งเงินสิทธิ์ทางโทรทัศน์ที่มากขึ้นหรือไม่ สโมสรทั้งห้าเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะและตัดสินใจที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ลีกจะไม่มีความน่าเชื่อถือหากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมฟุตบอล ดังนั้น เดวิด เดน จากอาร์เซนอล จึงได้มีการพูดคุยเพื่อดูว่าเอฟเอเปิดรับแนวคิดนี้หรือไม่ เอฟเอไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับฟุตบอลลีกในขณะนั้น และคิดว่ามันเป็นหนทางที่จะทำให้ตำแหน่งของฟุตบอลลีกอ่อนแอลง เอฟเอได้เผยแพร่รายงาน พิมพ์เขียวเพื่ออนาคตของฟุตบอล ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 ซึ่งสนับสนุนแผนสำหรับพรีเมียร์ลีก โดยเอฟเอมีอำนาจสูงสุดที่จะดูแลลีกที่แยกตัวออกมา

การก่อตั้ง (ทศวรรษ 1990)

ทศวรรษ 1990 ช่วงการก่อตั้งและการครอบงำของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคแรก
ฤดูกาล ชนะเลิศ รองชนะเลิศ
1992–93 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แอสตันวิลลา
1993–94 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แบล็กเบิร์นโรเวอส์
1994–95 แบล็กเบิร์นโรเวอส์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1995–96 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
1996–97 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
1997–98 อาร์เซนอล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล
1999–2000 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล
  ดับเบิลแชมป์
  เทรเบิลแชมป์

เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1990–1991 มีการนำข้อเสนอสำหรับการจัดตั้งลีกใหม่ที่จะนำเงินมาสู่เกมการแข่งขันโดยรวมมากขึ้น ข้อตกลงสำหรับสมาชิกผู้ก่อตั้ง ลงนามเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1991 โดยสโมสรชั้นนำและได้กำหนดหลักการพื้นฐานสำหรับการก่อตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก ดิวิชันสูงสุดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่จะต้องได้รับอิสรภาพทางการค้าจากสมาคมฟุตบอลและฟุตบอลลีก โดยให้ใบอนุญาตเอฟเอพรีเมียร์ลีกในการเจรจาข้อตกลงการออกอากาศและการสนับสนุนของตนเอง ข้อตกลงที่ให้ไว้ในขณะนั้นคือรายได้เสริมจะช่วยให้สโมสรจากอังกฤษสามารถแข่งขันกับทีมต่าง ๆ ทั่วยุโรปได้ แม้ว่าไดค์จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างพรีเมียร์ลีก แต่เขาและไอทีวี (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอลดับเบิลยูที) แพ้การประมูลสิทธิ์ในการออกอากาศ บีสกายบี ชนะการประมูลด้วยการเสนอราคา 304 ล้านปอนด์ในระยะเวลาห้าปี กับ บีบีซี ได้รับรางวัลแพ็คเกจไฮไลต์ที่ออกอากาศใน แมตช์ออฟเดอะเดย์

สโมสรในเฟิสต์ดิวิชันลาออกจากสมาคมฟุตบอลในปี ค.ศ. 1992 และเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมของปีเดียวกัน เอฟเอพรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทจำกัด โดยทำงานในสำนักงานที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมฟุตบอลในขณะนั้นที่ประตูแลงคาสเตอร์ สมาชิกเปิดตัว 22 สโมสรของพรีเมียร์ลีกใหม่ ได้แก่

การก่อตั้งพรีเมียร์ลีกหมายถึงการแยกตัวของฟุตบอลลีกอายุ 104 ปีที่แข่งขันกันมาจนถึงตอนนั้นด้วยสี่ดิวิชัน พรีเมียร์ลีกจะดำเนินการแข่งขันเป็นดิวิชันเดียวและฟุตบอลลีกอีกสามดิวิชัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน จำนวนทีมที่เข้าแข่งขันในลีกสูงสุด และการเลื่อนชั้นและการตกชั้นระหว่างพรีเมียร์ลีกและเฟิสต์ดิวิชันใหม่ยังคงเท่าเดิมกับเฟิสต์ดิวิชันและเซคันด์ดิวิชันเก่าที่มีสามทีมตกชั้นจากลีกและสามทีมเลื่อนชั้น

ลีกจัดการแข่งขันแรกในฤดูกาล 1992–93 ประกอบด้วย 22 สโมสร (ลดลงเหลือ 20 ในฤดูกาล 1995–96) ประตูแรกของพรีเมียร์ลีกโดย ไบรอัน ดีน จาก เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด ชนะ 2–1 ในการแข่งขันพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลูตันทาวน์, นอตส์เคาน์ตีและเวสต์แฮมยูไนเต็ด คือสามทีมที่ตกชั้นจากเฟิสต์ดิวิชันเก่าเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1991–92 และไม่ได้มีส่วนร่วมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลแรก

ยุค "ท็อปโฟร์" (ทศวรรษ 2000)

ผลการแข่งขันของทีม 'ท็อปโพร์' ในช่วงทศวรรษ 2000
ฤดูกาล ARS CHE LIV MUN
2000–01 2 6 3 1
2001–02 1 6 2 3
2002–03 2 4 5 1
2003–04 1 2 4 3
2004–05 2 1 5 3
2005–06 4 1 3 2
2006–07 4 2 3 1
2007–08 3 2 4 1
2008–09 4 3 2 1
2009–10 3 1 7 2
ท็อปโฟร์ 10 8 7 10
จาก 10
  แชมป์ลีก
  แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
  แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือกรอบที่สาม / รอบเพลย์ออฟ
  แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือกรอบที่หนึ่ง
  ยูฟ่าคัพ / ยูโรปาลีก

เมื่อทศวรรษ 2000 เห็นการครอบงำของสโมสรที่เรียกว่า "ท็อปโฟร์" ประกอบด้วย อาร์เซนอล, เชลซี, ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทั้งสี่ทีมจบในสิบอันดับแรกของตารางคะแนนอยู่หลายครั้งในทศวรรษนี้ จึงรับประกันการเข้าไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีเพียงสี่สโมสรเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ารอบการแข่งขันดังกล่าวได้ในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ลีดส์ยูไนเต็ด (2000–01), นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2001–02 และ 2002–03), เอฟเวอร์ตัน (2004–05) และ ทอตนัมฮอตสเปอร์ (2009–10) – แต่ละทีมครอบครองจุดสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีก ยกเว้นนิวคาสเซิลในฤดูกาล 2002–03 ที่จบที่สาม

หลังฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลได้รับฉายา "ดิอินวินซิเบิลส์" เนื่องจากเป็นสโมสรแรกที่แข่งขันในพรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้เกมใดเลย และเป็นครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก

เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 เควิน คีแกน กล่าวว่าการครอบงำของ "ท็อปโฟร์" คุกคามดิวิชัน: "ลีกนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการเป็นหนึ่งในลีกที่น่าเบื่อแต่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก" ริชาร์ด สคูดามอร์ หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงของพรีเมียร์ลีกกล่าวแก้ต่างว่า: "มีการแย่งชิงกันมากมายในพรีเมียร์ลีก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ตรงกลางหรือด้านล่างที่ทำให้มันน่าสนใจ"

ระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2012 มีสโมสรจากพรีเมียร์ลีกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเจ็ดจากแปดครั้ง โดยมีเพียงสโมสร "ท็อปโฟร์" ที่ไปถึงรอบดังกล่าว ได้แก่ ลิเวอร์พูล (2005), แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2008) และ เชลซี (2012) ชนะการแข่งขันในช่วงเวลานี้ ขณะที่ อาร์เซนอล (2006), ลิเวอร์พูล (2007), เชลซี (2008) และ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2009 และ 2011) แพ้รอบชิงชนะเลิศทั้งหมด ลีดส์ยูไนเต็ดเป็นทีมเดียวที่ไม่ใช่ท็อปโฟร์ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีกใน ฤดูกาล 2000–01 มีสามทีมจากพรีเมียร์ลีกที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2006-07, 2007-08 และ 2008-09 เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นห้าครั้ง (เช่นเดียวกับ เซเรียอา ใน 2002-03 และ ลาลิกา ใน 1999-2000)

นอกจากนี้ ระหว่างฤดูกาล 1999–2000 และ 2009–10 มีทีมจากพรีเมียร์ลีกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่าคัพหรือยูโรปาลีก มีเพียง ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ชนะเลิศรายการนี้ใน 2001 ขณะที่ อาร์เซนอล (2000), มิดเดิลส์เบรอ (2006) และ ฟูลัม (2010) แพ้รอบชิงชนะเลิศทั้งหมด

แม้ว่าการครอบงำของกลุ่ม "ท็อปโฟร์" จะลดลงในระดับหนึ่งหลังจากช่วงเวลานี้ด้วยการมาของแมนเชสเตอร์ซิตีและทอตนัม แต่ในแง่ของคะแนนพรีเมียร์ลีกตลอดกาลนั้นยังคงมีระยะห่างที่ชัดเจน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018–19 – ฤดูกาลที่ 27 ของพรีเมียร์ลีก – ลิเวอร์พูล ซึ่งอยู่อันดับที่สี่ในตารางคะแนนตลอดกาล มีแต้มนำหน้าทีมต่อไปอย่างทอตนัมฮอตสเปอร์มากกว่า 250 แต้ม พวกเขายังเป็นทีมเดียวที่รักษาค่าเฉลี่ยการชนะได้มากกว่าร้อยละ 50 ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในพรีเมียร์ลีก

การอุบัติของ "บิกซิกซ์" (ทศวรรษ 2010)

ผลการแข่งขันของ 'บิกซิกซ์' ในช่วงทศวรรษ 2010
ฤดูกาล ARS CHE LIV MCI MUN TOT
2010–11 4 2 6 3 1 5
2011–12 3 6 8 1 2 4
2012–13 4 3 7 2 1 5
2013–14 4 3 2 1 7 6
2014–15 3 1 6 2 4 5
2015–16 2 10 8 4 5 3
2016–17 5 1 4 3 6 2
2017–18 6 5 4 1 2 3
2018–19 5 3 2 1 6 4
2019–20 8 4 1 2 3 6
ท็อปโฟร์ 6 7 5 10 6 5
ท็อปซิกซ์ 9 9 7 10 9 10
จาก 10
  แชมป์ลีก
  แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
  แชมเปียนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ
  ยูโรปาลีก

หลังปี ค.ศ. 2009 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ "ท็อปโฟร์" โดยมี ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ แมนเชสเตอร์ซิตี แข่งขันจบสี่อันดับแรกเป็นประจำ ทำให้จาก "ท็อปโฟร์" กลายเป็น "บิกซิกซ์" ใน ฤดูกาล 2009–10 ทอตนัมจบอันดับสี่และกลายเป็นทีมแรกที่จบอันดับในท็อปโฟร์ ตั้งแต่ เอฟเวอร์ตัน ทำไว้เมื่อห้าปีก่อน การวิพากษ์วิจารณ์ช่องว่างระหว่างกลุ่ม "สโมสรใหญ่" ชั้นนำและสโมสรส่วนใหญ่ของพรีเมียร์ลีกยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากความสามารถในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสโมสรอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ซิตี เป็นแชมป์ลีกใน ฤดูกาล 2011–12 กลายเป็นสโมสรแรกนอกเหนือจาก "บิกโฟร์" ที่ชนะเลิศตั้งแต่ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ ใน ฤดูกาล 1994–95 นอกจากนี้ใน ฤดูกาล 2011–12 ยังเห็นสองสโมสรของ "ท็อปโฟร์" (เชลซีและลิเวอร์พูล) จบนอกสี่อันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาลนั้น

สำหรับการแข่งขันในลีก สโมสรที่จบสี่อันดับแรกสามารถเข้าไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น แม้ว่าจะมาจากฐานที่แคบของหกสโมสร ในห้าฤดูกาลหลังฤดูกาล 2011–12 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต่างพบว่าพวกเขาอยู่นอกสี่อันดับแรกสามครั้ง ในขณะที่เชลซีจบอันดับที่ 10 ในฤดูกาล 2015–16 อาร์เซนอลจบอันดับที่ 5 ในฤดูกาล 2016–17 หยุดสถิติการจบท็อปโฟร์ 20 ครั้งติดต่อกัน

ในฤดูกาล 2015–16 เลสเตอร์ซิตี ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ไปแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเป็นครั้งแรกที่สโมสรที่ไม่ใช่บิกซิกซ์นับตั้งแต่เอฟเวอร์ตันในปี ค.ศ. 2005 จบในสี่อันดับแรก

นอกสนาม "บิกซิกส์" ใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเงินที่สำคัญ โดยสโมสรเหล่านี้โต้เถียงว่าพวกเขาควรได้รับส่วนแบ่งรายได้มากขึ้นเนื่องจากสโมสรของพวกเขาเติบโตขึ้นทั่วโลกและพวกเขาตั้งเป้าที่จะเล่นฟุตบอลที่น่าดึงดูด ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าโครงสร้างรายได้ที่คุ้มทุนในพรีเมียร์ลีกช่วยรักษาลีกการแข่งขันซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคต ในฤดูกาล 2016–17 รายงานดีลอยต์ฟุตบอลมันนีลีก แสดงความเหลื่อมล้ำทางการเงินระหว่าง "บิกซิกซ์" และสโมสรในลีกที่เหลือ ทุกสโมสรของ "บิกซิกซ์" มีรายได้มากกว่า 350 ล้านยูโร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีรายได้มากที่สุดในลีกอยู่ที่ 676.3 ล้านยูโร เลสเตอร์ซิตี เป็นสโมสรที่ใกล้เคียงกับ "บิกซิกซ์" มากที่สุดในแง่ของรายได้ โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 271. ล้านยูโร ในฤดูกาลดังกล่าว ได้รับความช่วยเหลือจากการมีส่วนร่วมในแชมเปียนส์ลีก เวสต์แฮมมีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับแปด ซึ่งไม่ได้เล่นในการแข่งขันระดับยุโรป โดยมีรายได้ 213.3 ล้านยูโร เกือบครึ่งหนึ่งของสโมสรที่มีรายได้มากเป็นอันดับห้าคือลิเวอร์พูล (424.2 ล้านยูโร) รายได้ส่วนใหญ่ของสโมสรในขณะนั้นมาจากข้อตกลงการออกอากาศทางโทรทัศน์ โดยสโมสรที่ใหญ่ที่สุดแต่ละแห่งรับจากข้อตกลงดังกล่าวตั้งแต่ 150 ล้านปอนด์ถึงเกือบ 200 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2016–17 ในรายงานของดีลอยต์เมื่อปี ค.ศ. 2019 ทุกสโมสรของ "บิกซิกซ์" อยู่ในสิบอันดับแรกของสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

ทศวรรษ 2020

ผลการแข่งขันของ 'บิกซิกซ์' ในช่วงทศวรรษ 2020
ฤดูกาล ARS CHE LIV MCI MUN TOT
2020–21 8 4 3 1 2 7
2021–22 5 3 2 1 6 4
2022–23 2 12 5 1 3 8
ท็อปโฟร์ 1 2 2 3 2 1
ท็อปซิกซ์ 2 2 3 3 3 1
จาก 2
  แชมป์ลีก
  แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
  ยูโรปาลีก
  ยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก

ผู้ช่วยผู้ตัดสินวิดีโอ ถูกนำมาใช้ในลีกตั้งแต่ ฤดูกาล 2019–20

พรอเจกต์บิกพิกเจอร์ ได้รับการประกาศเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 โดยอธิบายถึงแผนการที่จะรวมสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกกับ อิงกลิชฟุตบอลลีก เสนอโดย แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล สโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีก แผนการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้นำพรีเมียร์ลีกและ กรมดิจิทัล, วัฒนธรรม, สื่อและการกีฬา ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2021 การแข่งขันหยุดชั่วคราวในระหว่างนัดที่เลสเตอร์ซิตีพบกับคริสตัลพาเลซ เพื่อให้ผู้เล่น เวสลีย์ โฟฟานาและแชกู กูยาเต เพื่อพักไปละศีลอด เชื่อกันว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่การแข่งขันหยุดชั่วคราวเพื่อให้ผู้เล่นมุสลิมกินและดื่มหลังจากพระอาทิตย์ตกดินตามกฎของความเชื่อ

ฤดูกาล 2022–23 จะเป็นฤดูกาลแรกที่มีพักเป็นเวลาหกสัปดาห์ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ค.ศ. 2022 เพื่อให้ ฟุตบอลโลกฤดูหนาวครั้งแรก กับการกลับมาของนัดการแข่งขันในวันเปิดกล่องของขวัญ ผู้เล่นพรีเมียร์ลีกตัดสินใจคุกเข่าเฉพาะ "ช่วงเวลาสำคัญ" ที่เลือกไว้ แทนที่จะเป็นกิจวัตรก่อนการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนยันว่าจะ "ยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการขจัดอคติทางเชื้อชาติ"

พรีเมียร์ลีกสรุปผลการสอบสวนในระยะเวลา 4 ปี เกี่ยวกับแมนเชสเตอร์ซิตี โดยกล่าวว่าสโมสรละเมิดกฎมากกว่า 100 ครั้งในช่วง 9 ปีแรกภายใต้เจ้าของสโมสรจากอาบูดาบี ข้อกล่าวหาดังกล่าวประกอบด้วยการละเมิดกฎทางการเงิน 80 ข้อระหว่างปี 2009-2018 และข้อกล่าวหามากกว่า 30 ข้อที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในการให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของพรีเมียร์ลีก ตามที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรระบุ สถานเอกอัครทูตอังกฤษ ณ อาบูดาบี และกระทรวงการต่างประเทศ,เครือจักรภพและการพัฒนา (FCDO) ในลอนดอน ได้หารือเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของพรีเมียร์ลีกต่อซิตี อย่างไรก็ตาม ทางการอังกฤษปฏิเสธที่จะเปิดเผยจดหมายดังกล่าว โดยระบุว่าอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีของสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ในการแข่งขันระหว่างทอตนัมฮอตสเปอร์และลิเวอร์พูล ดาร์เรน อิงแลนด์ ผู้ตัดสินวิดีโอ (VAR) ของพรีเมียร์ลีก มีความผิดพลาดในการแทรกแซงการตัดสินที่ระงับการทำประตูของ ลุยส์ ดิอัซ ที่ถูกต้องตามกฎ ทำให้ลิเวอร์พูลแพ้การแข่งขัน 2–1 และสมาคมผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PGMOL) ยอมรับว่าการตัดสินล้ำหน้านั้นเป็น "ข้อผิดพลาดของมนุษย์ที่มีนัยสำคัญ" มีการเปิดเผยว่าอิงแลนด์และผู้ช่วยผู้ตัดสินวิดีโอ แดน คุก ใช้เวลาโดยสารเที่ยวบิน 8 ชั่วโมงกลับจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันก่อน เจ้าหน้าที่ PGMOL กลุ่มหนึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อดูแลการแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลชาร์จาห์และสโมสรฟุตบอลอัลอิน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของ PGMOL ที่จะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของการแข่งขันชั้นนำ เข้ารับงานที่มีกำไรในยูเออีโปร-ลีก แม้ว่าเอมิเรตส์จะเป็นเจ้าของสโมสรในพรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีก็ตาม

จำนวนครั้งที่สโมสรจบหกอันดับแรกในช่วงทศวรรษ 2020
สโมสร จบหกอันดับแรก
ลิเวอร์พูล 3 ครั้ง
แมนเชสเตอร์ซิตี 3 ครั้ง
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3 ครั้ง
อาร์เซนอล 2 ครั้ง
เชลซี 2 ครั้ง
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 1 ครั้ง
เลสเตอร์ซิตี 1 ครั้ง
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 1 ครั้ง
เวสต์แฮมยูไนเต็ด 1 ครั้ง
ทอตนัมฮอตสเปอร์ 1 ครั้ง

โครงสร้างองค์กร

สมาคมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก จำกัด (อังกฤษ: The Football Association Premier League Ltd (FAPL)) ดำเนินการในฐานะองค์กรและเป็นเจ้าของโดย 20 สโมสรสมาชิก แต่ละสโมสรเป็น ผู้ถือหุ้น และมีสโมสรละหนึ่งเสียงในประเด็นต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎและสัญญา สโมสรจะเลือกประธาน, ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการบริหารเพื่อดูแลการดำเนินงานประจำวันของลีก สมาคมฟุตบอลไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานแบบวันต่อวันของพรีเมียร์ลีก แต่มีอำนาจยับยั้งในฐานะผู้ถือหุ้นพิเศษระหว่างการเลือกตั้งประธานและหัวหน้าผู้บริหารและเมื่อกฎใหม่ถูกนำมาใช้โดยลีก

ผู้บริหารสูงสุดคนปัจจุบันคือ ริชาร์ด มาสเตอร์ โดยได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 และประธานคือแกรี ฮอฟฟ์แมน ได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 ทั้งสองคนสืบทอดตำแหน่งต่อจาก ริชาร์ด สคูดามอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรวมกันเป็น "ประธานกรรมการบริหาร" ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 จนถึงเกษียณอายุในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019

พรีเมียร์ลีกส่งตัวแทนไปยังสมาคมสโมสรยุโรปของยูฟ่า จำนวนสโมสรและสโมสรที่เลือกเองตามค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า สำหรับฤดูกาล 2012–13 พรีเมียร์ลีกมีตัวแทน 10 สโมสรในสมาคม ได้แก่ อาร์เซนอล, แอสตันวิลลา, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, ฟูลัม, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ซิตี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, นิวคาสเซิลยูไนเต็ดและทอตนัมฮอตสเปอร์ สมาคมสโมสรยุโรปมีหน้าที่เลือกสมาชิกสามคนเข้าสู่คณะกรรมการการแข่งขันสโมสรของยูฟ่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของการแข่งขันยูฟ่า เช่น แชมเปียนส์ลีกและยูฟ่ายูโรปาลีก

วิจารณ์การปกครอง

พรีเมียร์ลีกต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวิธีการปกครองเนื่องจากขาดความโปร่งใสและภาระรับผิดชอบ

หลังพรีเมียร์ลีกพยายามหยุดยั้งการเข้าซื้อกิจการนิวคาสเซิลยูไนเต็ดโดยสมาคมที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนรวมเพื่อการลงทุนสาธารณะ ผ่านการทดสอบของเจ้าของและกรรมการของลีก, ส.ส. หลายคน, แฟน ๆ ของนิวคาสเซิลยูไนเต็ดและผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อตกลง ประณามพรีเมียร์ลีกเนื่องจากขาดความโปร่งใสและภาระรับผิดชอบตลอดกระบวนการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 อแมนดา สเตฟลีย์ สมาชิกกลุ่มสมาคมแห่งพีซีพีแคปิทัลพาร์ตเนอร์ส กล่าวว่า "แฟน ๆ สมควรได้รับความโปร่งใสอย่างแท้จริงจากหน่วยงานกำกับดูแลในทุกกระบวนการ - เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบ พวกเขา (พรีเมียร์ลีก) กำลังทำหน้าที่เหมือนหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่มีระบบความรับผิดชอบแบบเดียวกัน"

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 ส.ส. เทรซีย์ เคราช์ – ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการบริหารฟุตบอลของสหราชอาณาจักรที่นำโดยแฟนบอล - ประกาศในผลการพิจารณาชั่วคราวของการพิจารณาว่าพรีเมียร์ลีกได้ "สูญเสียความไว้วางใจและความมั่นใจ" ของแฟน ๆ การตรวจสอบยังแนะนำให้สร้างหน่วยงานกำกับดูแลอิสระใหม่เพื่อดูแลเรื่องต่าง ๆ เช่น การเข้าซื้อกิจการของสโมสร

ริชาร์ด มาสเตอร์ หัวหน้าผู้บริหารของพรีเมียร์ลีก ได้กล่าวก่อนหน้านี้ถึงการบังคับใช้หน่วยงานกำกับดูแลอิสระ โดยกล่าวในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ว่า "ผมไม่คิดว่าหน่วยงานกำกับดูแลอิสระคือคำตอบสำหรับคำถาม ผมจะปกป้องบทบาทของพรีเมียร์ลีกในฐานะผู้กำกับดูแลสโมสรของลีกตลอด 30 ปีที่ผ่านมา"

รูปแบบการแข่งขัน

[พรีเมียร์ลีก] ยากมากและแตกต่างออกไป ถ้าคุณเปรียบเทียบลีกนี้กับลีกอื่น มันเหมือนกับการเล่นกีฬาอื่น

อันโตนีโอ กอนเต, เกี่ยวกับการแข่งขันของพรีเมียร์ลีก

การแข่งขัน

มีสโมสรร่วมกันแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 20 ทีม ในช่วงระหว่างฤดูกาล (ตั้งแต่สิงหาคมถึงพฤษภาคม) โดยแต่ละทีมจะพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด ทีมจะถูกจัดอันดับโดยเรียงจาก คะแนน, ผลประตูได้เสียและผลประตูรวม หากยังคงเท่ากันทีมจะถือว่าครองตำแหน่งเดียวกัน หากว่ายังเสมอกันเพื่อตกชั้นสู่การแข่งขันลีกแชมเปียนชิปหรือการคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น ๆ ผลเฮดทูเฮดระหว่างทีมที่เสมอกันจะถูกนำมาพิจารณา (คะแนนที่ทำได้ในการแข่งขันระหว่างทีม ตามด้วยประตูเยือนในการแข่งขันเหล่านั้น) หากทั้งสองทีมยังคงเสมอกัน จะมีการแข่งขันเพลย์ออฟที่สนามกลางเพื่อตัดสินอันดับ

การเลื่อนชั้นและการตกชั้น

มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้น ระหว่าง พรีเมียร์ลีก และ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป โดยสามทีมที่ได้อันดับต่ำสุดในพรีเมียร์ลีก จะต้องตกชั้นไปเล่นใน แชมเปียนชิป และ ทีมที่อันดับสูงที่สุดสองทีมในแชมเปียนชิปจะเลื่อนชั้นไป พรีเมียร์ลีก พร้อมกับอีกหนึ่งทีมที่มาจากการชนะเลิศในการแข่งขันเพลย์-ออฟระหว่างอันดับที่ 3, 4, 5 และ 6 แต่เดิมพรีเมียร์ลีกมี 22 ทีมตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 แต่ลดลงเหลือ 20 ทีม เมื่อปี ค.ศ. 1995

การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น

4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสี่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ เดิม) และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลอีเอฟแอลคัพก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศและชนะการแข่งขันฟุตบอลลีกคัพ สิทธิ์การแข่งยูโรปาลีก จะได้แก่อันดับ 5 และ 6 ของพรีเมียร์ลีกแทน และสิทธิ์การแข่งคอนเฟอเรนซ์ลีก จะได้แก่อันดับ 7 ของพรีเมียร์ลีกแทน

ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้

  • แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
  • รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
  • แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 5 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์อีเอฟแอลคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกในรอบเพลย์ออฟ

สโมสร

มีห้าสิบสโมสรที่เคยเล่นในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 และรวมถึงฤดูกาล 2021–22

ผู้ชนะเลิศ

สโมสร ชนะเลิศ รองชนะเลิศ ฤดูกาลที่ชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 13 7 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13
แมนเชสเตอร์ซิตี 7 3 2011–12, 2013–14, 2017–18, 2018–19, 2020–21, 2021–22, 2022–23
เชลซี 5 4 2004–05, 2005–06, 2009–10, 2014–15, 2016–17
อาร์เซนอล 3 7 1997–98, 2001–02, 2003–04
ลิเวอร์พูล 1 5 2019–20
แบล็กเบิร์นโรเวอส์ 1 1 1994–95
เลสเตอร์ซิตี 1 0 2015–16

แบล็กเบิร์นโรเวอส์และเลสเตอร์ซิตีเป็นแชมป์ลีกหนึ่งสมัยที่ปัจจุบันไม่ได้แข่งขันในพรีเมียร์ลีก

ฤดูกาล 2023–24

ยี่สิบสโมสรที่แข่งขันใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023–24 โดยมีสามสโมสรที่เลื่อนชั้นจากแชมเปียนชิป:

สโมสรใน
ฤดูกาล 2023–24
อันดับใน
2022–23
ฤดูกาลแรกใน
ดิวิชันสูงสุด
ฤดูกาลแรกใน
พรีเมียร์ลีก
จำนวนฤดูกาล
ที่อยู่ใน
ดิวิชันสูงสุด
จำนวนฤดูกาล
ที่อยู่ใน
พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาลแรกที่อยู่บน
ดิวิชันสูงสุดแล้ว
ยังอยู่ถึงปัจจุบัน
จำนวนฤดูกาลที่อยู่บน
พรีเมียร์ลีก
แล้วยังอยู่ถึงปัจจุบัน
จำนวนครั้ง
ที่ชนะเลิศใน
ดิวิชันสูงสุด
ชนะเลิศ
ครั้งสุดท้ายใน
ดิวิชันสูงสุด
อาร์เซนอล &00000000000000020000002nd 1904–05 1992–93 107 32 1919–20 (105 ฤดูกาล) 32 13 2003–04
แอสตันวิลลา &00000000000000070000007th 1888–89 1992–93 110 29 2019–20 (5 ฤดูกาล) 5 7 1980–81
บอร์นมัท &000000000000001500000015th 2015–16 2015–16 7 7 2022–23 (2 ฤดูกาล) 2 0
เบรนต์ฟอร์ด &00000000000000090000009th 1935–36 2021–22 8 3 2021–22 (3 ฤดูกาล) 3 0
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน &00000000000000060000006th 1979–80 2017–18 11 7 2017–18 (7 ฤดูกาล) 7 0
เบิร์นลีย์ &00000000000000180000001st (EFL) 1888–89 2009–10 60 8 2023–24 (1 ฤดูกาล) 1 2 1959–60
เชลซี &000000000000001200000012th 1907–08 1992–93 89 32 1989–90 (35 ฤดูกาล) 32 6 2016–17
คริสตัลพาเลซ &000000000000001100000011th 1969–70 1992–93 24 15 2013–14 (11 ฤดูกาล) 11 0
เอฟเวอร์ตัน &000000000000001700000017th 1888–89 1992–93 121 32 1954–55 (70 ฤดูกาล) 32 9 1986–87
ฟูลัม &000000000000001000000010th 1949–50 2001–02 29 17 2022–23 (2 ฤดูกาล) 2 0
ลิเวอร์พูล &00000000000000050000005th 1894–95 1992–93 109 32 1962–63 (62 ฤดูกาล) 32 19 2019–20
ลูตันทาวน์ &00000000000000200000003rd (EFL) 1955–56 2023–24 17 1 2023–24 (1 ฤดูกาล) 1 0
แมนเชสเตอร์ซิตี &00000000000000010000001st 1899–1900 1992–93 95 27 2002–03 (22 ฤดูกาล) 22 9 2022–23
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด &00000000000000030000003rd 1892–93 1992–93 99 32 1975–76 (49 ฤดูกาล) 32 20 2012–13
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด &00000000000000040000004th 1898–99 1993–94 92 29 2017–18 (7 ฤดูกาล) 7 4 1926–27
นอตทิงแฮมฟอเรสต์ &000000000000001600000016th 1892–93 1992–93 58 7 2022–23 (2 ฤดูกาล) 2 1 1977–78
เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด &00000000000000190000002nd (EFL) 1893–94 1992–93 63 6 2023–24 (1 ฤดูกาล) 1 1 1897–98
ทอตนัมฮอตสเปอร์ &00000000000000080000008th 1909–10 1992–93 89 32 1978–79 (46 ฤดูกาล) 32 2 1960–61
เวสต์แฮมยูไนเต็ด &000000000000001400000014th 1923–24 1993–94 66 28 2012–13 (12 ฤดูกาล) 12 0
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ &000000000000001300000013th 1888–89 2003–04 69 10 2018–19 (6 ฤดูกาล) 6 3 1958–59


ผู้สนับสนุน

รายชื่อผู้สนับสนุนในรายการแข่งขันฤดูกาลต่าง ๆ

ช่วงปี ผู้สนับสนุน ชื่อลีก
1992–1993 ไม่มี เอฟเอพรีเมียร์ลีก
1993–2001 คาร์ลิง เอฟเอคาร์ลิงพรีเมียร์ชิป
2001–2004 บาร์เคลย์การ์ด เอฟเอบาร์เคลย์การ์ดพรีเมียร์ชิป
2004–2007 บาร์เคลย์ส เอฟเอบาร์เคลย์สพรีเมียร์ชิป
2007–2016 บาร์เคลย์สพรีเมียร์ลีก
2016–ปัจจุบัน ไม่มี พรีเมียร์ลีก

ความครอบคลุมของสื่อ

ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992−93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992−93 ถึง 1996−97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานีไอทีวีของอังกฤษ เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายแอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชันหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992−93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้

สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย ในช่วงฤดูกาล 2013−14, 2014−15 และ 2015−16 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หน่วยงานกลางของกลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลระดับท้องถิ่น โดยต่อเนื่องมาจากบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลทั่วประเทศ ในเครือบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007−08 จนถึง 2012−13 โดยต่อมาในปี 2016/2017 จนถึง 2018/2019 ช่องบีอินสปอตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดังกล่าว

ผู้จัดการทีม

ผมไม่เคยรู้จักระดับนี้มาก่อน แน่นอนว่ามีผู้จัดการทีมในเยอรมนี, อิตาลีและสเปน แต่ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาคือผู้จัดการทีมที่ดีที่สุด ผู้จัดการทีมชั้นยอด, ด้านคุณภาพ, การเตรียมการ ระดับนั้นสูงมาก

เปป กวาร์ดิโอลา, เกี่ยวกับคุณภาพของผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีก

ผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกมีส่วนร่วมในการทำงานประจำวันของทีม ได้แก่ การฝึกซ้อม, การคัดเลือกทีมและการจัดหาผู้เล่น อิทธิพลของพวกเขาแตกต่างกันไปในแต่ละสโมสรและเกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของสโมสรและความสัมพันธ์ของผู้จัดการกับแฟน ๆ ผู้จัดการทีมต้องมี ยูฟ่าโปรไลเซนซ์ ซึ่งเป็นใบอนุญาตการฝึกสอนระดับสูงสุด ต่อจาก ยูฟ่า 'B' และ 'A' ไลเซนซ์ ยูฟ่าโปรไลเซนซ์นั้นจำเป็นสำหรับทุกคนที่ประสงค์จะจัดการสโมสรในพรีเมียร์ลีกเป็นการถาวร (เช่น คุมทีมมากกว่า 12 สัปดาห์, ระยะเวลาที่ผู้จัดการทีมชั่วคราวจะได้รับอนุญาตให้ควบคุมทีมได้) การแต่งตั้งผู้จัดการทีมชั่วคราวคือการเติมช่องว่างระหว่างการออกจากตำแหน่งของผู้จัดการทีมและการแต่งตั้งใหม่ ผู้จัดการทีมชั่วคราวหลายคนได้ไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรหลังจากทำผลงานได้ดี เช่น พอล ฮาร์ต กับ พอร์ตสมัท, เดวิด พลีต กับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ และ อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

อาร์แซน แวงแกร์ เป็นผู้จัดการทีมที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยคุมทีมอาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ ค.ศ. 1996 จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2017–18 และครองสถิติคุมทีม 828 นัดกับอาร์เซนอล เขาทำลายสถิติของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งคุมทีม 810 นัดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นจนถึงเกษียณเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012–13 เฟอร์กูสันเป็นผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1986 จนกระทั่งเกษียณอายุเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012–13 หมายความว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงห้าปีสุดท้ายของฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันเก่าและ 21 ฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีก

มีการศึกษาหลายเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังและผลกระทบของการไล่ผู้จัดการทีมออก การศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดโดย ศาสตราจารย์ ซู บริดจ์วอเตอร์ จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล และ ดร.บาส เตอร์ วีล จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ได้ทำการศึกษาสองชิ้นแยกกัน ซึ่งช่วยอธิบายสถิติเบื้องหลังการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง การศึกษาของบริดจ์วอเตอร์พบว่าโดยทั่วไปแล้วสโมสรจะไล่ผู้จัดการทีมออกเมื่อทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหนึ่งแต้มต่อนัด

พรีเมียร์ลีก 
อาร์แซน แวงแกร์ อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอลที่ทำหน้าที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
ผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกปัจจุบัน
ผู้จัดการทีม สัญชาติ สโมสร แต่งตั้งเมื่อวันที่ ช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการทีม
คล็อพ, เยือร์เกินเยือร์เกิน คล็อพ พรีเมียร์ลีก  เยอรมนี ลิเวอร์พูล 8 ตุลาคม 2015 8 ปี 198 วัน
กวาร์ดิโอลา, เปปเปป กวาร์ดิโอลา พรีเมียร์ลีก  สเปน แมนเชสเตอร์ซิตี 1 กรกฎาคม 2016 7 ปี 297 วัน
ฟรังก์, ทอแมสทอแมส ฟรังก์ พรีเมียร์ลีก  เดนมาร์ก เบรนต์ฟอร์ด 16 ตุลาคม 2018 5 ปี 190 วัน
อาร์เตตา, มิเกลมิเกล อาร์เตตา พรีเมียร์ลีก  สเปน อาร์เซนอล 20 ธันวาคม 2019 4 ปี 125 วัน
มอยส์, เดวิดเดวิด มอยส์ พรีเมียร์ลีก  สกอตแลนด์ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 29 ธันวาคม 2019 4 ปี 116 วัน
ซิลวา, มาร์กูมาร์กู ซิลวา พรีเมียร์ลีก  โปรตุเกส ฟูลัม 1 กรกฎาคม 2021 2 ปี 297 วัน
ฮาว, เอ็ดดีเอ็ดดี ฮาว พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 8 พฤศจิกายน 2021 2 ปี 167 วัน
เติน ฮัค, เอริกเอริก เติน ฮัค พรีเมียร์ลีก  เนเธอร์แลนด์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 23 พฤษภาคม 2022 1 ปี 336 วัน
กงปานี, แว็งซ็องแว็งซ็อง กงปานี พรีเมียร์ลีก  เบลเยียม เบิร์นลีย์ 14 มิถุนายน 2022 1 ปี 314 วัน
เด แซร์บี, โรแบร์โตโรแบร์โต เด แซร์บี พรีเมียร์ลีก  อิตาลี ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 18 กันยายน 2022 1 ปี 218 วัน
เอเมรี, อูไนอูไน เอเมรี พรีเมียร์ลีก  สเปน แอสตันวิลลา 1 พฤศจิกายน 2022 1 ปี 174 วัน
เอ็ดเวิร์ดส์, ร็อบร็อบ เอ็ดเวิร์ดส์ พรีเมียร์ลีก  เวลส์ ลูตันทาวน์ 17 พฤศจิกายน 2022 1 ปี 158 วัน
ไดช์, ชอนชอน ไดช์ พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ เอฟเวอร์ตัน 30 มกราคม 2023 1 ปี 84 วัน
ฮอดจ์สัน, รอยรอย ฮอดจ์สัน พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ คริสตัลพาเลซ 21 มีนาคม 2023 1 ปี 33 วัน
โปเชติโน, เมาริซิโอเมาริซิโอ โปเชติโน พรีเมียร์ลีก  อาร์เจนตินา เชลซี 28 พฤษภาคม 2023 0 ปี 331 วัน
พอสเตคอกลู, แอนจ์แอนจ์ พอสเตคอกลู พรีเมียร์ลีก  ออสเตรเลีย ทอตนัมฮอตสเปอร์ 6 มิถุนายน 2023 0 ปี 322 วัน
อิราโอลา, อันโดนีอันโดนี อิราโอลา พรีเมียร์ลีก  สเปน บอร์นมัท 19 มิถุนายน 2023 0 ปี 309 วัน
โอนีล, แกรีแกรี โอนีล พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 9 สิงหาคม 2023 0 ปี 258 วัน
วิลเดอร์, คริสคริส วิลเดอร์ พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด 5 ธันวาคม 2023 0 ปี 140 วัน
อึชปีรีตู ซังตู, นูนูนูนู อึชปีรีตู ซังตู พรีเมียร์ลีก  โปรตุเกส นอตทิงแฮมฟอเรสต์ 20 ธันวาคม 2023 0 ปี 125 วัน

ผู้เล่น

ลงเล่นมากที่สุด

พรีเมียร์ลีก 
แกเร็ท แบร์รี เป็นผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก รวม 653 นัด
ลงเล่นมากที่สุด
อันดับ ชื่อ ลงเล่น
1 พรีเมียร์ลีก  แกเร็ท แบร์รี 653
2 พรีเมียร์ลีก  เจมส์ มิลเนอร์ 633
3 พรีเมียร์ลีก  ไรอัน กิกส์ 632
4 พรีเมียร์ลีก  แฟรงก์ แลมพาร์ด 609
5 พรีเมียร์ลีก  เดวิด เจมส์ 572
6 พรีเมียร์ลีก  แกรี สปีด 535
7 พรีเมียร์ลีก  เอมีล เฮสกีย์ 516
8 พรีเมียร์ลีก  มาร์ก ชวาร์เซอร์ 514
9 พรีเมียร์ลีก  เจมี คาร์เรเกอร์ 508
10 พรีเมียร์ลีก  ฟิล เนวิล 505
    ณ วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2024
    ตัวเอียง หมายถึง ยังคงเล่นฟุตบอลอาชีพ
    ตัวหนา ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก

ระเบียบการโอนและนักเตะต่างชาติ

การโอนย้ายผู้เล่นสามารถทำได้ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซึ่งกำหนดโดยสมาคมฟุตบอล การโอนย้ายทั้งสองช่วงเริ่มตั้งแต่วันสุดท้ายของฤดูกาลจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม และตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคมถึง 31 มกราคม การลงทะเบียนผู้เล่นไม่สามารถแลกเปลี่ยนนอกกรอบเวลาเหล่านี้ได้ ยกเว้นภายใต้ใบอนุญาตเฉพาะจากสมาคมฟุตบอลซึ่งโดยปกติจะเป็นกรณีฉุกเฉิน ตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 พรีเมียร์ลีกได้ออกกฎใหม่ที่กำหนดว่าแต่ละสโมสรจะต้องลงทะเบียนผู้เล่นจำนวนสูงสุด 25 คนที่มีอายุมากกว่า 21 ปี โดยรายชื่อทีมจะอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงได้เฉพาะตลาดซื้อขายนักเตะหรือในสถานการณ์พิเศษเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้กฎ "โฮมโกรว์" มีผลบังคับใช้ โดยตั้งแต่ ค.ศ. 2010 เป็นต้นไป พรีเมียร์ลีกจะกำหนดให้ผู้เล่นอย่างน้อยแปดคนในทีมที่มีชื่อ 25 คนเป็น "ผู้เล่นโฮมโกรว์"

ในช่วงเริ่มต้นของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1992–93 มีผู้เล่นเพียง 11 คนที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อตัวจริงสำหรับการแข่งขันนัดแรกของงพรีเมียร์ลีกที่มาจากนอกสหราชอาณาจักรหรือไอร์แลนด์ ในฤดูกาล 2000–01 จำนวนผู้เล่นต่างชาติที่เข้าร่วมในพรีเมียร์ลีกคือร้อยละ 36 ของผู้เล่นทั้งหมด ในฤดูกาล 2004–05 ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เชลซีกลายเป็นทีมในพรีเมียร์ลีกทีมแรกที่ส่งผู้เล่นตัวจริงจากต่างประเทศทั้งหมด และเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 อาร์เซนอลเป็นทีมแรกที่มีชื่อผู้เล่นต่างชาติ 16 คนสำหรับนัดการแข่งขัน ใน ค.ศ. 2009 ผู้เล่นต่ำกว่าร้อยละ 40 ในพรีเมียร์ลีกเป็นชาวอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 มี 117 สัญชาติที่แตกต่างกันเล่นในพรีเมียร์ลีก และมี 101 สัญชาติที่ทำประตูได้ในการแข่งขัน

ทำประตูสูงสุด

พรีเมียร์ลีก 
อลัน เชียเรอร์ เป็นผู้ทำประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 260 ประตู
    ณ วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024
อันดับ ผู้เล่น ปี ประตู ลงเล่น อัตราส่วน
1 พรีเมียร์ลีก  เชียเรอร์, อลันอลัน เชียเรอร์ 1992–2006 260 441 0.59
2 พรีเมียร์ลีก  เคน, แฮร์รีแฮร์รี เคน 2012–2023 213 320 0.67
3 พรีเมียร์ลีก  รูนีย์, เวย์นเวย์น รูนีย์ 2002–2018 208 491 0.42
4 พรีเมียร์ลีก  โคล, แอนดีแอนดี โคล 1992–2008 187 414 0.45
5 พรีเมียร์ลีก  อาเกวโร, เซร์ฆิโอเซร์ฆิโอ อาเกวโร 2011–2021 184 275 0.67
6 พรีเมียร์ลีก  แลมพาร์ด, แฟรงก์แฟรงก์ แลมพาร์ด 1995–2015 177 609 0.29
7 พรีเมียร์ลีก  อ็องรี, ตีแยรีตีแยรี อ็องรี 1999–2007
2012
175 258 0.68
8 พรีเมียร์ลีก  ฟาวเลอร์, ร็อบบีร็อบบี ฟาวเลอร์ 1993–2007
2008
163 379 0.43
9 พรีเมียร์ลีก  เดโฟ, เจอร์เมนเจอร์เมน เดโฟ 2001–2003
2004–2014
2015–2019
162 496 0.33
10 พรีเมียร์ลีก  เศาะลาห์, มุฮัมมัดมุฮัมมัด เศาะลาห์ 2014–2016
2017–
153 251 0.61

ตัวเอียง หมายถึง ยังคงเล่นฟุตบอลอาชีพ,
ตัวหนา ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Tags:

พรีเมียร์ลีก ประวัติพรีเมียร์ลีก โครงสร้างองค์กรพรีเมียร์ลีก รูปแบบการแข่งขันพรีเมียร์ลีก สโมสรพรีเมียร์ลีก ผู้สนับสนุนพรีเมียร์ลีก ความครอบคลุมของสื่อพรีเมียร์ลีก ผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีก ผู้เล่นพรีเมียร์ลีก ดูเพิ่มพรีเมียร์ลีก หมายเหตุพรีเมียร์ลีก อ้างอิงพรีเมียร์ลีก แหล่งข้อมูลอื่นพรีเมียร์ลีกภาษาอังกฤษระบบลีกฟุตบอลอังกฤษอิงกลิชฟุตบอลลีก

🔥 Trending searches on Wiki ไทย:

เมษายนจามาล มูซีอาลาแพทองธาร ชินวัตรลูกัส บัซเกซสมาคมกีฬาโรมาสโมสรฟุตบอลโปลิศ เทโรเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยกรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์พระคเณศแมวฮุน เซนฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่นสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้าเสกสรรค์ ศุขพิมายชานน สันตินธรกุลไพรวัลย์ วรรณบุตรการแทรกแซงทางเศรษฐกิจจังหวัดปราจีนบุรีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีนุสบา ปุณณกันต์เรวัช กลิ่นเกษรกังฟูแพนด้า (แฟรนไชส์)ทวิตเตอร์บัลลังก์ลูกทุ่งช่อง 3 เอชดีสุภโชค สารชาติรณิดา เตชสิทธิ์ไฮคิว!! คู่ตบฟ้าประทานมหาวิทยาลัยทักษิณพัฒน์ชัย ภักดีสู่สุขสุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตรวิกิพีเดียราชวงศ์ในประวัติศาสตร์จีนบุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2567มหาวิทยาลัยเวสเทิร์นจังหวัดสมุทรสาครทักษิณ ชินวัตรรายชื่ออักษรย่อของโรงเรียนในประเทศไทย/สสุทิน คลังแสงชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์มัจจุราชสีน้ำผึ้งการฆ่าตัวตายโอมเพี้ยงอาจารย์คงทิพนารี วีรวัฒโนดมเกฟิน เดอ เบรยเนอนักเรียนหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชภาวะโลกร้อนประเทศสเปนพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดารชตะ หัมพานนท์จังหวัดสระบุรีบาปเจ็ดประการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรายชื่อสกุลญี่ปุ่นที่ใช้มากที่สุดตัน ภาสกรนทีลูซิเฟอร์พระไตรปิฎกภูภูมิ พงศ์ภาณุภาคอำเภอพระประแดงคิม จี-ว็อน (นักแสดง)สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ไทย)ฝ่ายข่าว ช่อง 3 เอชดีอาทิตยา ตรีบุดารักษ์สุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)กระทรวงในประเทศไทยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้23.5 องศาที่โลกเอียงจังหวัดอุทัยธานีภาคกลาง (ประเทศไทย)ศุภชัย สุวรรณอ่อนไอคอนสยามสหราชอาณาจักรเมียวดีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะรายชื่อตอนในสุภาพบุรุษสุดซอยกัญญาวีร์ สองเมืองหน้าไพ่🡆 More