พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย

สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย หรือ สมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนีย (โรมาเนีย: Mihai I al României, Michael I al României; 25 ตุลาคม ค.ศ.

1921 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 2017) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรโรมาเนีย ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 ถึง 8 มิถุนายน ค.ศ. 1930 และเป็นกษัตริย์อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1940 จนกระทั่งทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1947

สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮที่ 1
พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย
กษัตริย์มีไฮใน ค.ศ. 1947
พระมหากษัตริย์แห่งชาวโรมาเนีย
ทรงราชย์ครั้งแรก20 กรกฎาคม 1927 – 8 มิถุนายน 1930
(2 ปี 323 วัน)
ก่อนหน้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1
ถัดไปคาโรลที่ 2
ผู้สำเร็จราชการ





นายกรัฐมนตรี
ดูรายชื่อ
  • เจ้าชายนีกอลาเอ (1927-30)
    มิรอน คริสเตอา (1927-30)
    จีออร์เก บุซดูกัน (1927-30)
    คอนสแตนติน ซาราตีอานู (1929-30)
ดูรายชื่อ
ทรงราชย์ครั้งสอง6 กันยายน 1940 – 30 ธันวาคม 1947
(7 ปี 115 วัน)
ราชาภิเษก6 กันยายน ค.ศ. 1940
ก่อนหน้าคาโรลที่ 2
ถัดไประบอบกษัตริย์ถูกล้มล้าง
นายกรัฐมนตรี
ดูรายชื่อ
พระราชสมภพ25 ตุลาคม ค.ศ. 1921(1921-10-25)
ปราสาทเปเลช, ซีนาเอีย, ราชอาณาจักรโรมาเนีย
สวรรคต5 ธันวาคม ค.ศ. 2017(2017-12-05) (96 ปี)
อูบอนน์, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ฝังพระศพ16 ธันวาคม ค.ศ. 2017
วิหารหลวงคูร์ตา เด อาร์เจช ประเทศโรมาเนีย
คู่อภิเษกแอนน์ เดอ บูร์บง-ปาร์มา
พระราชบุตรมกุฎราชกุมารีมาร์กาเรตา
เจ้าหญิงเอเลนา
เจ้าหญิงอีรีนา
เจ้าหญิงโซเฟีย
เจ้าหญิงมารีอา
ราชวงศ์โฮเอ็นโซลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าคาโรลที่ 2
พระราชมารดาเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์ก
ศาสนาออร์ทอดอกซ์โรมาเนีย
ลายพระอภิไธยพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย

ไม่นานนักหลังจากเสด็จพระราชสมภพ มกุฎราชกุมารคาโรลแห่งโรมาเนีย พระราชชนกของพระองค์ ทรงมีความสัมพันธ์อันน่าอื้อฉาวกับมักดา ลูเปสคู ในปีค.ศ. 1925 มกุฎราชกุมารคาโรลทรงถูกกดดันให้สละสิทธิในราชบัลลังก์และทรงเสด็จลี้ภัยไปยังปารีสร่วมกับลูเปสคู ในปีค.ศ. 1927 เจ้าชายมีไฮได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ หลังจากการสวรรคตของพระอัยกาคือ กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 โดยกษัตริย์มีไฮยังทรงพระเยาว์ จึงมีการตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นมาประกอบด้วย เจ้าชายนีกอลาเอ พระปิตุลาของพระองค์ อัครบิดร มิรอน คริสเตอา และประธานศาลสูงสุด จีออร์เก บุซดูกัน แต่พิสูจน์แล้วว่าสภาผู้สำเร็จราชการไม่มีประสิทธิภาพ และในปีค.ศ. 1930 เจ้าชายคาโรลเสด็จกลับโรมาเนียและครองราชย์เป็นกษัตริย์แทนพระราชโอรส ครองราชย์ในนามว่า กษัตริย์คาโรลที่ 2 เป็นผลให้เจ้าชายมีไฮกลายเป็นรัชทายาทอีกครั้งและทรงได้รับพระอิสริยยศเพิ่มเติมคือ แกรนด์วอยโวดแห่งอัลบา-อูเลีย

กษัตริย์คาโรลที่ 2 ถูกปลดจากราชบัลลังก์ในปีค.ศ. 1940 และมกุฎราชกุมารมีไฮทรงเป็นพระมหากษัตริย์อีกครั้ง ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหารของเอียน อันโตเนสคู โรมาเนียปรับตัวเข้าร่วมกับนาซีเยอรมนี ในปีค.ศ. 1944 กษัตริย์มีไฮทรงก่อรัฐประหารต่อต้านอันโตเนสคู ทรงแต่งตั้งคอนสแตนติน ซานาเทสคูขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และต่อมาได้ประกาศฟื้นสัมพันธ์กับฝ่ายสัมพันธมิตร ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 ด้วยแรงกดดันทางการเมืองบีบบังคับให้กษัตริย์มีไฮทรงแต่งตั้งคณะรัฐบาลนิยมสหภาพโซเวียตที่นำโดย เปตรู กรอซา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1946 กษัตริย์มีไฮทรงดำเนินการ "โจมตีโดยพระราชวงศ์" และไม่ทรงประสบความสำเร็จในการต่อต้านรัฐบาลของกรอซาที่ถูกควบคุมโดยคอมมิวนิสต์ โดยพระองค์ปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธยและรับรองพระราชกฤษฎีกาต่างๆ ในเดือนพฤศจิกายน กษัตริย์มีไฮเสด็จร่วมพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระญาติคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในอนาคตกับเจ้าชายฟิลิปปอสแห่งกรีซและเดนมาร์กที่ลอนดอน ไม่นานหลังจากนั้น ช่วงเช้าของวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1947 นายกรัฐมนตรีกรอซาได้มาเข้าเฝ้ากษัตริย์มีไฮและบีบบังคับให้พระองค์สละราชบัลลังก์ กษัตริย์มีไฮทรงถูกเนรเทศ พระราชทรัพย์ถูกยึด และมีการถอดความเป็นพลเมืองของพระองค์ ในปีค.ศ. 1948 พระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแอนน์แห่งบูร์บง-ปาร์มา (ต่อมาเป็นที่รู้จักในพระนาม สมเด็จพระราชินีอานาแห่งโรมาเนีย) ทรงมีพระราชธิดาร่วมกัน 5 พระองค์ และท้ายที่สุดทั้งสองพระองค์ประทับที่สวิตเซอร์แลนด์

ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ของนีกอลาเอ ชาวูเชสกูถูกโค่นล้มในปีค.ศ. 1989 และในปีถัดมา อดีตกษัตริย์มีไฮทรงพยายามเสด็จกลับโรมาเนีย แต่ก็ทรงถูกจับกุมและบีบบังคับให้เสด็จออกไปเมื่อเพิ่งมาถึง ในปีค.ศ. 1992 อดีตกษัตริย์มีไฮได้รับอนุญาตให้เสด็จโรมาเนียในช่วงอีสเตอร์ ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากรอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น ทรงมีพระราชดำรัสผ่านหน้าต่างของโรงแรมซึ่งดึงดูดประชาชนประมาณหนึ่งล้านคนในบูคาเรสต์ ด้วยความตื่นตระหนกของความนิยมในอดีตกษัตริย์มีไฮ รัฐบาลหลังสมัยคอมมิวนิสต์ของประธานาธิบดีเอียน อีลีเอสคูปฏิเสธที่จะให้พระองค์เสด็จเยือนอีก ในปีค.ศ. 1997 หลังจากอีลีเอสคูพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีแก่ เอมิล คอนสแตนติเนสคู ในปีก่อน สถานะความเป็นพลเมืองของอดีตกษัตริย์มีไฮได้รับการฟื้นคืนและทรงได้รับอนุญาตให้เสด็จโรมาเนียอีกครั้ง ทรัพย์สินต่างๆที่ถูกยึด เช่น ปราสาทเปเรสและปราสาทซาวาร์ซิน ได้รับการฟื้นคืนมาสู่พระราชวงศ์ของพระองค์ได้ในที่สุด

ช่วงต้นของพระชนมชีพ

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย พร้อมกับเจ้าหญิงเฮเลนและกษัตริย์มีไฮที่ 1 ในช่วงปี ค.ศ. 1927 – 1930

เจ้าชายมีไฮเสด็จพระราชสมภพในปีค.ศ. 1921 ณ ปราสาทเปเลส เมืองซีนาเอีย ราชอาณาจักรโรมาเนีย ทรงเป็นพระราชโอรสในมกุฎราชกุมารคาโรลแห่งโรมาเนียกับมกุฎราชกุมารีเฮเลน พระองค์เสด็จพระราชสมภพในรัชกาลของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 และพระองค์มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 แห่งกรีซ

มกุฎราชกุมารคาโรลมีความสัมพันธ์ที่น่าอื้อฉาวกับมักดา ลูเปสคู พรรคเสรีนิยมแห่งชาติซึ่งเป็นพรรคที่ครอบงำการเมืองโรมาเนียนั้นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารคาโรลและลูเปสคู เมื่อพรรคทราบว่าองค์มกุฎราชกุมารทรงตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา ทางพรรคจึงดำเนินการหาทางกีดกันพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ การรณรงค์ที่ยืดเยื้อของพรรคเสรีนิยมแห่งชาตินั้นมีความเกี่ยวข้องน้อยมากในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมกุฎราชกุมารคาโรลและมักดา ลูเปสคู แต่จุดมุ่งหมายหลักของพรรคคือ ความพยายามกำจัด "ปืนใหญ่ที่หย่อนยาน" อย่างตัว มกุฎราชกุมารคาโรล เนื่องจากแน่ใจว่าถ้าพระองค์ได้ครองราชบัลลังก์ พระองค์จะต้องกีดกันไม่ให้พรรคเสรีนิยมแห่งชาติมีอำนาจเหนือการเมือง ดังที่พระมหากษัตริย์โฮเอ็นโซลเลิร์นเคยทำมาก่อน

มกุฎราชกุมารต้องสละสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ในเดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1925 และต้องเสด็จออกจากประเทศไป อย่างไรก็ตามทั้งกษัตริย์เฟอร์ดินานด์และสมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย พระอัยกาและพระอัยยิกาก็ไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะปล่อยให้ประเทศอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระนัดดา ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา แม้ว่าจะทรงได้รับการดูแลจากคณะผู้สำเร็จราชการ เนื่องจากทรงกลัวว่าดินแดนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะถูกอ้างสิทธิโดยประเทศเพื่อนบ้านและความผันผวนทางการเมืองอาจจะนำไปสู่ความไม่สงบได้ เจ้าชายไมเคิลทรงสืบราชบัลลังก์ต่อโดยอัตโนมัติหลังจากการสวรรคตของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1927 ก่อนวันคล้ายเสด็จพระราขสมภพครบ 6 ชันษาของพระองค์ หลังจากนั้นทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนพิเศษที่พระราชชนกของพระองค์ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1932

การปกครอง

การครองราชย์ครั้งที่หนึ่ง

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮทื่ 1 พระรูปและภาพคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากซ้าย: พระอัครบิดรมิรอน คริสเตอา, เจ้าชายนีกอลาเอ พระปิตุลา และคอนสแตนติน ซาราตีอานู นักการเมือง ราวปีค.ศ. 1930

คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ประกอบด้วยเจ้าชายนีกอลาเอ พระปิตุลาของพระองค์ อัครบิดร มิรอน คริสเตอา และประธานศาลสูงสุด จีออร์เก บุซดูกัน (และเดือนตุลาคม ในปี 1929 บุซดูกันถึงแก่อสัญกรรม คอนสแตนติน ซาราตีอานู จึงดำรงตำแหน่งแทน) คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ในพระนามของพระมหากษัตริย์วัย 5 พรรษา อย่างกษัตริย์มีไฮที่ 1 ซึ่งสืบราชบัลลังก์หลังจากกษัตริย์เฟอร์ดินานด์สวรรคตในปีค.ศ. 1927 เจ้าชายนีกอลาเอทรงเป็นเหมือนผู้สำเร็จราชการคนที่หนึ่งอย่างไม่เป็นทางการ พระองค์ไม่พอพระทัยที่ต้องละทิ้งหน้าที่ทางทหารในราชนาวีอังกฤษ และไม่ทรงสนพระทัยในการเมือง พระองค์จึงพยายามดำเนินการตามแนวทางของพระราชชนก คือการร่วมมือกับพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ และต่อต้านพรรคเกษตรกรแห่งชาติ โดยเสนอว่าทางคณะผู้สำเร็จราชการจะแต่งตั้งรัฐบาลแห่งชาติภายใต้อียอน อี. เช. บราเตียนู นายกรัฐมนตรีหลายสมัยของโรมาเนีย แต่บราเตียนูปฏิเสธแนวคิดของผู้สำเร็จราชการ พรรคเสรีนิยมแห่งชาตินั้นส่วนใหญ่ได้รับพลังขับเคลื่อนจากตระกูลบราเตียนูที่ทรงพลังในการใช้อำนาจในพรรค แต่บราเตียนูถึงแก่อสัญกรรมในปีค.ศ. 1927 ตระกูลบราเตียนูไม่สามารถตกลงกันเรื่องผู้สืบทอดได้ อันนำมาซึ่งอำนาจของพรรคเสรีนิยมที่เริ่มเข้าสู่จุดเสื่อม ในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในปีค.ศ. 1928 พรรคเกษตรกรแห่งชาติ ภายใต้อียูลิว มานิว ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 78% เจ้าชายนีกอลาเอ ซึ่งเป็นประธานสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นั้นทรงเป็นมิตรไมตรีกับพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างมานิวจึงมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะก่อรัฐประหาร ยุบสภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทูลเชิญเจ้าชายคาโรลให้เสด็จกลับมาครองราชย์หลังจากเขาทำการติดต่อกับเจ้าคาโรลมาในระยะเวลาหนึ่ง

หลังจากบุซดูกัน หนึ่งในผู้สำเร็จราชการถึงแก่อสัญกรรมในปีค.ศ. 1929 ความนิยมในสมเด็จพระราชินีมารี พระอัยยิกาของกษัตริย์มีไฮ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงนี้และหลังจากที่ทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปี ค.ศ. 1929 พระนางทรงถูกกล่าวหาโดยสื่อและแม้กระทั่งเจ้าหญิงเฮเลนว่าทรงวางแผนก่อรัฐประหารทั้งๆที่ไม่ประสงค์ที่จะยุ่งเกี่ยวการเมืองแล้ว เมื่อสมเด็จพระราชินีมารีทรงปฏิเสธ คอนสแตนติน ซาราตีอานูจึงดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สำเร็จราชการที่ไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมืองใดๆเลย รวมถึงไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารกิจการของประเทศ ตามบันทึกของนีกอลาเอ ออร์กาอ้างว่า พระอัครบิดร มิรอน คริสเตอาได้พูดว่า

"คณะผู้สำเร็จราชการทำงานไม่ได้เพราะไม่มีผู้นำ เจ้าชายทรงพระโอสถมวน ซาราตีอานูมัวแต่อ่านหนังสือ และข้าพเจ้าเป็นพระ ทำได้เพียงแค่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยเท่านั้น"

ทศวรรษที่ 1930 และรัชสมัยกษัตริย์คาโรล

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
กษัตริย์คาโรลที่ 2 และมกุฎราชกุมารมีไฮ ในช่วงทศวรรษที่ 1930

วันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1930 เจ้าชายคาโรลเสด็จกลับประเทศหลังจากคำกราบทูลเชิญของเหล่านักการเมืองที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อียูลิว มานิวจากพรรคเกษตรกรแห่งชาติ เหล่านักการเมืองไม่พอใจคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ไม่มีความสามารถและยิ่งเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ การมีประมุขที่เข้มแข็งย่อมจำเป็น เจ้าชายคาโรลทรงได้รับการยอมรับจากรัฐสภาในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งโรมาเนียในวันถัดมา เจ้าชายมีไฮถูกถอดออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่ได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท พระยศ มกุฎราชกุมาร และทรงได้รับพระอิสริยยศเพิ่มเติมคือ แกรนด์วอยโวดแห่งอัลบา-อูเลีย

ในทศวรรษต่อมากษัตริย์คาโรลที่ 2 จะทรงพยายามเข้าไปมีบทบาททางสังคมการเมืองโรมาเนีย โดยครั้งแรกทรงใช้พระราชอำนาจจัดการความเป็นศัตรูกันระหว่างพรรคเกษตรกรและพรรคเสรีนิยมและฝ่ายต่อต้านชาวยิว ต่อมา (มกราคม ค.ศ. 1938) ทรงใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงพยายามจัดตั้งลัทธิบูชาบุคคลของพระองค์เองเพื่อต่อต้านอิทธิพลที่กำลังเติบโตขึ้นของพวกผู้พิทักษ์เหล็ก (Iron Guard) เช่นการจัดตั้งกองกำลังกึ่งทหารยุวชน ที่เรียกว่า สตราจาเตรี (Straja Țării) ในปีค.ศ. 1935 สแตนลีย์ จี. เพนย์ นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน บรรยายถึงกษัตริย์คาโรลที่ 2 ว่าเป็น "กษัตริย์ที่น่าเหยียดหยาม เลวทรามและกระหายอำนาจที่สุด มากกว่าราชบัลลังก์แห่งอื่นใดในยุโรปศตวรรษที่ 20" กษัตริย์คาโรลทรงปกครองผ่านกลไกอำนาจที่ไม่เป็นทางการคือ คามาริลลา ซึ่งประกอบด้วยเหล่าข้าราชบริพาร นักการทูตอาวุโส เจ้าหน้าที่ทางทหาร นักการเมืองและนักอุตสาหกรรม ซึ่งต้องพึ่งพาความโปรดปรานจากกษัตริย์ในการส่งเสริมอาชีพการงานของพวกเขา สมาชิกคนสำคัญของกลุ่มคามาริลลา คือ มาดามลูเปสคู พระสนมของพระองค์เอง ซึ่งเป็นผู้ถวายคำแนะนำทางการเมืองของกษัตริย์คาโรลที่สำคัญมาก นายกรัฐมนตรีมานิวเชิญกษัตริย์คาโรลสู่บัลลังก์เพียงเพราะความกลัวคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของยุวกษัตริย์มีไฮที่ 1 ถูกครอบงำโดยพรรคเสรีนิยมแห่งชาติซึ่งแน่ใจว่าพรรคเสรีนิยมจะชนะการเลือกตั้งเสมอ มาดามลูเปสคูนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนชาวโรมาเนียเลย และนายกรัฐมนตรีมานิวทูลขอให้กษัตริย์คาโรลทรงคืนดีกับเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซเพื่อเป็นราคาสำหรับที่เขาทวงคืนราชบัลลังก์ให้พระองค์ สมเด็จพระราชินีมารี พระราชชนนีของพระองค์ก็ทรงทูลขอให้นำเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา แต่กษัตริย์คาโรลทรงผิดคำสัญญาและพระองค์ทรงเริ่มประทับอยู่กับมาดามลูเปสคูอีกครั้ง นายกรัฐมนตรีมานิวจึงลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นการประท้วงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1930 และเขาจึงกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของกษัตริย์คาโรล กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงถอดถอนพระนางมารี พระราชชนนีออกจากบทบาททางการเมืองและทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระชนนี เป็นผลให้พระนางมารีต้องเสด็จออกจากบูคาเรสต์และทรงใช้พระชนมชีพที่เหลือในชนบท หรือไม่ก็พระตำหนักของพระองค์ที่ทะเลดำ ในปี ค.ศ. 1937 พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคตับแข็งและสิ้นพระชนม์ในปีถัดมา ต่อมาในที่สุดนายกรัฐมนตรีมานิวก็พ่ายแพ้กลอุบายทางการเมืองของกษัตริย์คาโรลที่ 2 โดยทรงปลดคณะรัฐบาลและเข้าควบคุมการเมืองเองโดยใช้กลไกของกลุ่มคามาริลลา และทรงพยายามกำจัดกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กของคอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานูที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระองค์

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
มกุฎราชกุมารมีไฮ ขณะเสด็จเยือนโปแลนด์พร้อมพระราชชนกในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1937

กษัตริย์คาโรลที่ 2 ทรงแต่งตั้งพระอัครบิดรมิรอน คริสเตอา หรืออัครบิดรมิรอนแห่งโรมาเนียวัย 69 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาเป็นประมุขแห่งนิกายคริสต์ออร์ทอดอกซ์โรมาเนียและอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลกษัตริย์มีไฮที่ 1 เขาเป็นบุรุษผู้ที่กษัตริย์คาโรลทรงทราบว่าเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพของประชาชนโรมาเนียทั่วประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองนับถืออร์ทอดอกซ์ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 กษัตริย์คาโรลทรงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีความคล้ายคลึงกับฉบับก่อนหน้า แต่แท้จริงแล้วมันเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นเผด็จการและเป็นการปกครองแบบหมู่คณะที่รุนแรง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยอมรับพระราชอำนาจฉุกเฉินที่กษัตริย์คาโรลเข้ายึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเปลี่ยนให้รัฐบาลกลายเป็นเผด็จการโดยพฤตินัย มันเป็นการสร้างพระราชอำนาจในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างเข้มข้น ซึ่งเกือบจะถึงจุดที่เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการเห็นชอบผ่านการทำประชามติด้วยเงื่อนไขที่ห่างไกลจากความลับ กล่าวคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมารายงานตัวต่อหน้าสำนักงานการเลือกตั้งและแถลงด้วยวาจาว่าพวกเขาจะเห็นชอบในรัฐธรรมนูญ การที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเงียบจะถือว่าลงคะแนน "เห็นชอบ" ภายใต้เงื่อนไขนี้ มีการรายงานอย่างไม่น่าเชื่อว่า มีประชาชนเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญใหม่ถึงร้อยละ 99.87 และหลังจากนี้ทรงเริ่มที่จะนำเยอรมนีไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง และมีการเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้งหลังจากพระอัครบิดรมรณภาพในต้นปีค.ศ. 1939

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 มกุฎราชกุมารมีไฮทรงได้เข้าร่วมเป็นวุฒิสมาชิกในวุฒิสภาโรมาเนีย ด้วยรัฐธรรมนูญโรมาเนีย ค.ศ. 1938 ซึ่งสนับสนุนอำนาจ "เผด็จการโดยราชวงศ์" ของกษัตริย์คาโรลที่ 2 อนุญาตให้มกุฎราชกุมารมีไฮมีที่นั่งในวุฒิสภาเมื่อทรงมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา

แต่หลังจากเหตุการณ์รางวัลเวียนนาครั้งที่สอง ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1940 โรมาเนียสูญเสียดินแดนพิพาทให้แก่ทั้งสหภาพโซเวียต ฮังการีและบัลแกเรีย จากแรงกดดันของนาซีเยอรมนี การยอมรับในรางวัลเวียนนาครั้งที่สองทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในกษัตริย์คาโรลอย่างสิ้นเชิง และในช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 มีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ในโรมาเนียเพื่อกดดันให้พระมหากษัตริย์สละราชบัลลังก์ ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1940 ฮอเรีย ซีมา กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กที่เข้ามามีบทบาทหลังคอดรีอานู ผู้นำถูกระบอบของกษัตริย์คาโรลสังหารได้ลาออกจากคณะรัฐบาลได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้กษัตริย์คาโรลสละราชสมบัติ และกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กจะรวมตัวกันชุมนุมประท้วงทั่วโรมาเนียเพื่อกดดันให้พระองค์สละราชบัลลังก์ ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1940 นายพลเอียน อันโตเนสคูได้เป็นนายกรัฐมนตรี และกษัตริย์คาโรลทรงถ่ายโอนอำนาจเผด็จการส่วนใหญ่ไปให้แก่เขา ในฐานะนายกรัฐมนตรี อันโตเนสคูได้รับการยอมรับจากทั้งฝ่ายผู้พิทักษ์เหล็กและกลุ่มชนชั้นสูง นายพลอันโตเนสคูเองเป็นพวกต่อต้านบอลเชวิกและเป็นผู้นิยมเยอรมัน เขาได้ก่อการรัฐประหารต่อกษัตริย์คาโรลที่ 2 ซึ่งเขามองว่ากษัตริย์ทรงเป็นพวก "ต่อต้านเยอรมัน" พระองค์จึงสละราชบัลลังก์ให้มกุฎราชกุมารมีไฮ พระราชโอรสซึ่งพระองค์จะได้ครองราชย์เป็นครั้งที่สอง ส่วนกษัตริย์คาโรลเสด็จลี้ภัย

ระบอบอันโตเนสคู

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮท่ามกลางนักการเมืองผู้พิทักษ์เหล็กในวาระการให้สัตยาบันกติกาสัญญาไตรภาคี ในปี 1940 จากซ้าย:วิลเฮล์ม ฟาบริเชียส ทูตเยอรมัน, ฮอเรีย ซีมา, นายพลเอียน อันโตเนสคู และสมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮ (ตรงกลาง)

หลังจากนายกรัฐมนตรีจอมพลเอียน อันโตเนสคูทำการปลดกษัตริย์คาโรลที่ 2 ออกจากราชบัลลังก์แล้ว เขาก็ทำการระงับรัฐธรรมนูญ ยุบสภา และให้มกุฎราชกุมารมีไฮ ซึ่งมีพระชนมายุ 18 พรรษาครองราชบัลลังก์เป็นครั้งที่สอง กษัตริย์มีไฮทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1940 (แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะได้รับการฟื้นฟูในปีค.ศ. 1944 และรัฐสภาโรมาเนียได้รับการฟื้นคืนในปีค.ศ. 1946 แต่กษัตริย์มีไฮก็ไม่ได้ทรงประกอบพิธีสาบานตนอย่างเป็นทางการและไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา) กษัตริย์มีไฮทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกและทรงประกอบพิธีเจิมเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโรมาเนีย โดยพระอัครบิดรแห่งโรมาเนีย นิกายอีสเติร์นออร์ทอดอกซ์ พระอัครบิดรนิโคดิมแห่งโรมาเนีย ประกอบพิธีที่มหาวิหารอัครบิดรโรมาเนียแห่งบูคาเรสต์ แม้ว่ากษัตริย์มีไฮจะทรงเป็นจอมทัพสูงสุดของกองทัพโรมาเนีย แต่นายกรัฐมนตรีจอมพลเอียน อันโตเนสคู สถาปนาตนเองเป็น คอนดูคาเตอ (Conducător; "ผู้นำแห่งประชาชน") ซึ่งเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงอำนาจเต็มของนายกรัฐมนตรี และในความเป็นจริงกษัตริย์มีไฮทรงถูกบังคับให้เป็นพระประมุขหุ่นเชิดจนถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 กษัตริย์มีไฮทรงเคยร่วมเสวยพระกระยาหารเที่ยงกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์สองครั้ง ครั้งแรกคือ เสวยพร้อมกับพระราชชนกและฮิตเลอร์ในบาวาเรีย ค.ศ. 1937 และอีกครั้งหนึ่งคือเสวยพร้อมกับพระราชชนนีที่เบอร์ลิน ในปีค.ศ. 1941 และทรงเคยพบปะกับเบนิโต มุสโสลินีในอิตาลี ปีค.ศ. 1941

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
ดวงตราไปรษณียากรโรมาเนีย ปี 1942 เพื่อรำลึกปีแรกของการยึดคืนเบสซาราเบียจากสหภาพโซเวียต ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮทรงฉายกับเอียน อันโตเนสคู มีข้อความเขียนว่า "หนึ่งปีนับตั้งแต่การปลดปล่อย" ("Un an de la desrobire") และเบื้องบนเป็นพระสาทิสลักษณ์ของ เจ้าชายสตีเฟนมหาราช และภาพป้อมปราการเมืองเบ็นเดอร์ อยู่เบื้องหลัง

เอียน อันโตเนสคูนั้นก้าวขึ้นมาสู่อำนาจอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปีค.ศ. 1940 เขาจัดตั้งโรมาเนียให้เป็นรัฐกองทัพแห่งชาติ และมีความเป็นพันธมิตรที่ไม่น่าพึงพอใจนักกับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กของฮอเรีย ซีมาที่เคยมีบทบาทในการต่อต้านกษัตริย์คาโรลที่ 2 ซีมาได้กลับมาจากถูกเนรเทศและได้ขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ และยังคงกลับมาทำกิจกรรมในฐานะผู้นำของกองกำลังผู้พิทักษ์เหล็ก ซีมาได้ดำเนินการแบ่งเขตการปกครองของโรมาเนียให้เป็นเขตการปกครองของทหารแต่ละเขต หลังจากมีการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกให้กษัตริย์มีไฮที่ 1 ไปในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1940 โรมาเนียก็เริ่มตกอยู่ในภาวะความน่าสะพรึงกลัวทางการเมือง ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1940 เมื่อกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กซึ่งเข้ามามีอำนาจในรัฐบาลของอันโตเนสคูพยายามรื้อฟื้นการตายอย่างเป็นปริศนาของอดีตผู้นำ คือ คอดรีอานู พวกขบวนการฟาสซิสต์จึงพยายามกวาดล้างนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมคอดรีอานูซึ่งดำเนินการโดยอดีตกษัตริย์คาโรลที่ 2 จนกลายเป็นการสังหารหมู่จีลาวา กลางดึกของวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 และเกิดการลอบสังหารอดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นีกอลาเอ ออร์กา ซึ่งเป็นคนของอดีตกษัตริย์คาโรลที่ 2 ที่มีส่วนในการกำจัดคอดรีอานู และนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านฟาสซิสต์คือ เวอร์จิล มัดกีอานู จากนั้นกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กก็ก่อความรุนแรงวุ่นวายหลายครั้งและทำการฆ่าล้างชาวยิวตามแนวคิดของกลุ่มที่เกลียดชังชาวยิวอย่างรุนแรง นายกรัฐมนตรีจอมพลเอียน อันโตเนสคูนั้นไม่พอใจที่กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กมักจะดำเนินการโดยพลการ อันส่งผลถึงความนิยมของเขา จึงพยายามตอบโต้การดื้อรั้นของซีมาด้วยการสั่งกองทัพออกมาระงับการไล่ฆ่าของผู้พิทักษ์เหล็กตามท้องถนน นายกรัฐมนตรีล้มเหลวในการกดดันให้ซีมานำตัวฆาตกรมามอบตัวกับตำรวจ เขาจึงใช้อำนาจขับไล่นายตำรวจที่เป็นกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กออกจากตำแหน่ง และมีคำสั่งให้คณะรัฐมนตรีให้สัตย์สาบานว่าต้องจงรักภักดีต่อ "คอนดูคาเตอ" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรอยร้าวที่ฝังลึกระหว่างนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี

หลังจากโรมาเนียเป็นพันธมิตรกับนาซีเยอรมนีและฝ่ายอักษะ และอันโตเนสคูได้รับความไว้วางใจจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นายกรัฐมนตรีอันโตเนสคูจึงดำเนินการกวาดล้างพันธมิตรของตนอย่างกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กในเหตุการณ์กบฏกองทหาร ในปีค.ศ. 1941 เหล่าข้าราชการเยอรมันมีส่วนช่วยอันโตเนสคูในการกวาดล้างกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กที่มองว่าเริ่มมีอำนาจมากไปจนควบคุมไม่ได้ แต่หลังจากกวาดล้างกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก ฮิตเลอร์เปิดทางให้ฮอเรีย ซีมาและฝ่ายผู้พิทักษ์เหล็กหลายคนลี้ภัยในเยอรมนี ทั้งที่ศาลของอันโตเนสคูตัดสินให้ประหารชีวิต หลังจากนั้นอันโตเนสคูจึงเข้าเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลาเดียวกัน โรมาเนียเป็นแหล่งน้ำมันชั้นดีของนาซีเยอรมนี ฮิตเลอร์จึงต้องการเอาใจโรมาเนียเป็นพิเศษและให้การสนับสนุนระบอบอันโตเนสคูทุกทาง แต่การที่โรมาเนียเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญต่อเยอรมนี ส่งผลให้ประเทศเป็นแหล่งเป้าหมายในการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรหลายครั้ง เขานำโรมาเนียเข้าร่วมปฏิบัติการบาร์บาร็อสซาในแผนการบุกสหภาพโซเวียตของนาซีเยอรมนี เพื่อยึดดินแดนเบสซาราเบียและบูโกวินาเหนือคืนมา และทำการสังหารหมู่ชาวยิวในโรมาเนียตามนโยบายของนาซีเยอรมนี โดยเฉพาะชาวยิวเบสซาราเบีย ชาวยิวบูโกวินาและชาวยิวยูเครน รวมถึงชาวโรมานีหรือยิปซีถูกไล่ล่าสังหารอย่างโหดร้ายทารุณ การโฆษณาชวนเชื่อของอันโตเนสคูเป็นการใส่ความชาวยิวว่าเป็น "สายลับคอมมิวนิสต์" เพื่อกระตุ้นให้กองทัพโรมาเนียทำการจับกุมและสังหาร

การหันมาต่อต้านนาซีเยอรมนี

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮและจอมพลเอียน อันโตเนสคู นายกรัฐมนตรี บริเวณฝั่งแม่น้ำปรุต

ในปีค.ศ. 1944 สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มส่งผลที่ย่ำแย่แก่ฝ่ายอักษะ แต่นายกรัฐมนตรีเอียน อันโตเนสคูยังคงปกครองอย่างเผด็จการในโรมาเนีย ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 การรุกรานจากสหภาพโซเวียตจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และคาดว่าจะบุกเข้ามาอีกไม่กี่เดือน ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1944 กษัตริย์มีไฮทรงวางแผนร่วมกับนักการเมืองที่นิยมฝ่ายสัมพันธมิตร เหล่านายทหารและกลุ่มพลเรือนติดอาวุธที่มีผู้นำคือคอมมิวนิสต์ ดำเนินการก่อรัฐประหารต่ออำนาจของนายกรัฐมนตรีอันโตเนสคู กษัตริย์มีไฮทรงมีรับสั่งให้ทหารรักษาพระองค์จับกุมเขา ในคืนเดียวกันกษัตริย์มีไฮทรงแต่งตั้งพลโทคอนสแตนติน ซานาเทสคู เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และให้สิทธิในการควบคุมอันโตเนสคูแก่พวกคอมมิวนิสต์ (ทั้งๆที่กษัตริย์ไม่ประสงค์ที่จะทำเช่นนี้แต่คำสั่งของพระองค์ถูกปฏิบัติในทางตรงข้าม) และหลังจากนั้นพวกคอมมิวนิสต์ส่งตัวอันโตเนสคูไปยังสหภาพโซเวียตในวันที่ 1 กันยายน ในรายการวิทยุกระจายเสียงไปทั่วโรมาเนียและกองทัพ กษัตริย์มีไฮทรงมีรับสั่งให้หยุดยิงซึ่งตอนนั้นกองทัพแดงกำลังบุกเข้ามายังแนวหน้ามอลดาเวีย ทรงประกาศว่าโรมาเนียจงรักภักดีกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทรงประกาศยอมรับการสงบศึกกับสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต และประกาศสงครามต่อเยอรมนี แต่สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยขัดขวางการรุกรานที่รวดเร็วของสหภาพโซเวียต มีการจับเชลยทหารโรมาเนียกว่า 130,000 นาย ถูกส่งไปยังสหภาพโซเวียต หลายคนเสียชีวิตในค่ายกักกัน

แม้ว่าประเทศจะยุติการเป็นพันธมิตรกับนาซี แต่การรัฐประหารเร่งให้กองทัพแดงบุกเข้าสู่โรมาเนีย การสงบศึกได้ลงนามอีกสามสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1944 ตามเงื่อนไขของสหภาพโซเวียต ภายใต้การเงื่อนไขของการสงบศึก โรมาเนียจะต้องยอมรับการยอมจำนนต่อสหภาพโซเวียต และอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยโซเวียตจะเป้นผู้แทนในการควบคุมสื่อ การสื่อสาร การไปรษณีย์โทรเลข และการบริหารกิจการภาครัฐอยู่เบื้องหลัง การรัฐประหารจึงกลายเป็น "การจำนนยอม" ต่อ "การยอมแพ้" "อย่างไม่มีเงื่อนไข" มีการแนะนำว่าการรัฐประหารสามารถทำให้สงครามโลกครั้งที่สองลดสั้นลงอีก 6 เดือน และสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับแสนได้

ในช่วงสิ้นสุดสงคราม กษัตริย์มีไฮทรงได้รับลีเจียนออฟเมอริต ชั้นหัวหน้าผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮร์รี เอส. ทรูแมน พระองค์ยังทรงได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์แห่งชัยของโซเวียตจากโจเซฟ สตาลิน "สำหรับการกระทำอันกล้าหาญที่เปลี่ยนแปลงการเมืองของโรมาเนียอย่างรุนแรง ในการแตกหักกับเยอรมนีของฮิตเลอร์ และมุ่งหน้าการเป็นพันธมิตรกับสหประชาชาติ แม้ว่าในช่วงนั้นยังไม่มีสัญญาณว่าเยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้" เป็นคำอธิบายอย่างเป็นทางการถึงเหตุสำหรับการรับเครื่องอิสริยาภรณ์ หลังจากมรณกรรมของมีเคา รอลา-ชือมีแยร์สกี ใน ค.ศ. 1989 กษัตริย์มีไฮกลายเป็นบุคคลที่ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นี้เพียงคนเดียวที่ยังทรงพระชนม์อยู่

ราชบัลลังก์ภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
กีออร์เก กีออร์กีอู-เดจ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ปราศรัยต่อหน้ากรรมกรที่จตุรัสกรุงบูคาเรสต์หลังการเลือกตั้งในปี 1946 พร้อมกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและนักการเมืองคอมมิวนิสต์คือ เปตรู กรอซา, เปเตร คอนสแตนติเนสคู-ยาซ และนายพลคอนสแตนติน วาซิลิว-ราสคานู โดยมีพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮ และภาพของเปตรู กรอซาเบื้องหลัง

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สถานการณ์ทางการเมืองได้กดดันให้กษัตริย์มีไฮต้องทรงแต่งตั้งรัฐบาลนิยมโซเวียตนำโดย เปตรู กรอซา มาแทนรัฐบาลต่อต้านคอมมิวนิสต์ของนายพลนีกอลาเอ ราเดสคู ราเดสคูพยายามหยุดยั้งไม่ให้พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจแต่ก็ทำไม่สำเร็จเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนียได้ระดมกำลังพลผู้สนับสนุนเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ราเดสคูลาออก กษัตริย์มีไฮจึงต้องแต่งตั้งกรอซาแทน และราเดสคูลาออกจากตำแหน่ง ด้วยสถานการณ์บีบบังคับ โดยในสองปีต่อมานี้ กษัตริย์มีไฮก็ทรงทำได้ดีกว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดเพียงเล็กน้อย ในช่วงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ถึง มกราคม ค.ศ. 1946 เกิดเหตุการณ์การประท้วงของราชวงศ์โรมาเนีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์วิกฤตรัฐธรรมนูญในรัฐบาลของกรอซา กล่าวคือ กษัตริย์มีไฮทรงปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรีกรอซา หรือทรงปฏิเสธที่รับการเข้าเฝ้าฯจากเหล่าคณะรัฐมนตรี การประท้วงของกษัตริย์ถือเป็นการขัดขืนอย่างหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นพระราชวงศ์ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อกรอซาปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำขอของกษัตริย์ ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองโรมาเนีย พระองค์ทรงกระทำตามคำแนะนำของพรรคเสรีนิยมแห่งชาติและพรรคเกษตรกรแห่งชาติ และคาดว่าทรงได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรตะวันตกอย่างลับๆ การประท้วงของราชวงศ์สิ้นสุดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946 เมื่อนายกรัฐมนตรีกรอซาตัดสินใจยอมรับให้มีรัฐมนตรีที่มาจากตัวแทนของสองพรรคศัตรู เพื่อให้รัฐบาลของเข้าได้รับการยอมรับจากสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา แต่ถึงกระนั้นพวกคอมมิวนิสต์ก็มีอำนาจมากอยู่ดี จากกระแสตอบรับทางฝั่งโซเวียต อังกฤษและสหรัฐอเมริกา กษัตริย์มีไฮทรงถูกกดดันให้ยุติการดื้อแพ่งต่อต้านในการบังคับให้กรอซาลาออกจากตำแหน่ง

กษัตริย์มีไฮไม่ทรงพระราชทานอภัยโทษให้อดีตนายกรัฐมนตรี จอมพลอันโตเนสคู ซึ่งเขาถูกตัดสินประหารชีวิตสำหรับ "การทรยศชาวโรมาเนีย และทำเพื่อผลประโยชน์ของนาซีเยอรมนี ในการจัดการให้ระบอบเศรษฐกิจและการเมืองของโรมาเนียให้กลายเป็นของเยอรมนี รวมถึงกระทำการร่วมมือกับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก ในการวางแผนสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม การสังหารหมู่พลเรือนและก่ออาชญากรรมต่อสันติภาพ" และกษัตริย์มีไฮเองก็ไม่สามารถช่วยผู้นำฝ่ายค้านได้ อย่างอียูลิว มานิว อดีตนายกรัฐมนตรีและพวกตระกูลบราเตียนู ซึ่งตกเป็นเหยือการพิจารณาคดีของพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ห้ามพระองค์เข้ามาแทรกแซงได้ โดยปราศจากการลงนามของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมที่เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ คือ ลูเครตีอู ปาทราสคานู (ซึ่งในภายหลังเขาถูกกำจัดฐานที่เป็นปรปักษ์ต่อระบอบคอมมิวนิสต์ของกีออร์เก กีออร์กีอู-เดจ) จากพระอนุทินส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงอีเลียนาแห่งโรมาเนีย พระปิตุจฉาของกษัตริย์มีไฮ ทรงอ้างถึงคำพูดของเอมิล บ็อดนาราส ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนรักของพระองค์ เขาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของโรมาเนียฝ่ายคอมมิวนิสต์ และเป็นสายลับโซเวียต เขาพูดว่า "ถ้ากษัตริย์ไม่ทรงลงนามในเอกสารการประหารชีวิต ผมสัญญาว่าเราจะสนับสนุนการตัดสินใจของพระองค์" เจ้าหญิงอีเลียนานั้นไม่ทรงเชื่อใจ ทรงตรัสว่า "ดูคุณรู้ดีจังเลยนะ (...) ว่ากษัตริย์จะไม่มีอิสระในการลงนามในเอกสารที่ไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญเหล่านั้น ถ้าพระองค์ทรงยอมลงนาม เอกสารเหล่านั้นก็จะไปขึ้นอยู่กับพวกคุณ และก่อนหน้านั้นทั้งประเทศและรัฐบาลของพวกคุณจะต้องถูกประณาม แน่นอนว่าพวกคุณจะไม่อยากเสียเปรียบเพิ่มในช่วงเวลานี้หรอกนะ!"

สมเด็จอา หรือ พระปิตุจฉาของพระองค์นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคอมมิวนิสต์ ได้แก่ เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย อดีตพระราชินีแห่งกรีซ และเจ้าหญิงอีเลียนา ในปีค.ศ. 1944 อดีตพระราชินีแห่งกรีซทรงสร้างสายสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนีย และทรงเริ่มโจมตีกษัตริย์มีไฮ ผู้เป็นพระราชนัดดา ซึ่งกษัตริย์มีไฮเองทรงมองสมเด็จอาพระองค์นี้ว่าเป็นจารชนคอมมิวนิสต์ ในต้นปีค.ศ. 1947 อดีตพระราชินีเอลิซาเบธแห่งกรีซเพิ่งได้รับถวายที่ดินบานล็อปจากยอซีป บรอซ ตีโต ผู้ซึ่งปลดพระนัดดาองค์หนึ่งของพระองค์ออกจากบัลลังก์คือ สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย และจากคำบอกเล่าของอเล็กซานดรู สคานาวี ระบุว่า เจ้าหญิงทรงให้เงินทุนแก่กองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับระบอบกษัตริย์ในกรีซของพระอนุชาในอดีตพระสวามีของพระนาง คือ สมเด็จพระเจ้าปัฟโลสแห่งกรีซ ส่วนสมเด็จอาอีกพระองค์คือ เจ้าหญิงอีเลียนาอาจจะทรงต่อต้านพระราชนัดดาน้อยกว่าอดีตพระราชินีแห่งกรีซ ผู้เป็นพระเชษฐภคินี แต่พระองค์ก็ทรงหวังว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะให้อาร์กดยุกสเตฟานแห่งออสเตรีย พระโอรสของพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์โรมาเนียแทนกษัตริย์มีไฮที่ 1 ด้วยเหตุนี้เจ้าหญิงทั้งสองจึงได้ฉายาว่า "สมเด็จอาฝ่ายแดง" ของกษัตริย์มีไฮ

การบังคับสละราชสมบัติ

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
พระบรมราชโองการสละราชบัลลังก์ ค.ศ. 1947

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 กษัตริย์มีไฮเสด็จเยือนลอนดอนในคราวพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระญาติคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร)กับเจ้าชายฟิลิปปอสแห่งกรีซและเดนมาร์ก ในคราวนี้ทรงพบปะกับเจ้าหญิงอานน์แห่งบรูบง-ปาร์มา (พระญาติชั้นสองของพระองค์) ซึ่งต่อมาจะเป็นพระมเหสีของพระองค์ จากบันทึกส่วนพระองค์ กษัตริย์มีไฮทรงปฏิเสธข้อเสนอสิทธิในการลี้ภัย และตัดสินพระทัยเสด็จกลับโรมาเนีย ทรงปฏิเสธคำแนะนำอย่างแข็งขันของเอกอัครทูตอังกฤษประจำโรมาเนีย

ในตอนเช้าของวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1947 กษัตริย์มีไฮทรงเตรียมการงานเลี้ยงวันปีใหม่ ณ ปราสาทเปเรส เมืองซินาเอีย แต่นายกรัฐมนตรีกรอซากราบทูลให้พระองค์เสด็จกลับมาบูคาเรสต์ กษัตริย์มีไฮเสด็จถึงพระราชวังเอลิซาเบตาในบูคาเรสต์ และทรงพบว่าพระราชวังถูกปิดล้อมโดยกองพันทูดอร์ วลาดิมีเรสคู ซึ่งเป็นกองทัพที่จงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ กรอซาและกีออร์เก กีออร์กีอู-เดจ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ กำลังรอเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ และพวกเขาเรียกร้องให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธยลงในตราสารการสละราชบัลลังก์ที่ถูกพิมพ์ไว้แล้ว พระองค์ไม่สามารถโทรศัพท์ถึงกองกำลังที่จงรักภักดีได้ เนื่องจากมีการตัดสายโทรศัพท์ และทั้งกรอซากับกีออร์กีอู-เดจก็ถือปืนชี้มาที่พระองค์ (ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูลอ้างอิง) กษัตริย์มีไฮจึงต้องทรงยอมลงพระปรมาภิไธย หลังจากนั้นในวันเดียวกัน รัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ประกาศยุบเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ "อย่างถาวร" และแทนที่ด้วยสาธารณรัฐประชาชน โดยมีการประกาศพระราชโองการสละราชสมบัติของกษัตริย์ทางวิทยุซึ่งมีการบันทึกเตรียมไว้ล่วงหน้า ในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1948 กษัตริย์มีไฮทรงถูกบีบบังคับให้เสด็จออกจากประเทศ ตามมาด้วยสัปดาห์ถัดมา เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อดีตพระราชินีแห่งกรีซและเจ้าหญิงอีเลียนา ผู้ทรงมีความใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ถูกขนานนามว่า "สมเด็จอาฝ่ายแดง" ก็ถูกบีบบังคับให้ออกจากประเทศเช่นกัน พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายภายในม่านเหล็กที่ต้องสูญเสียราชบัลลังก์

ตามคำกล่าวของอดีตกษัตริย์มีไฮ ทรงอ้างว่า กรอซาข่มขู่พระองค์ด้วยปืน และกราบทูลเตือนว่ารัฐบาบจะยิงเป้านักศึกษากว่า 1,000 คนที่ถูกจับกุมหากพระองค์ไม่ยอมสละราชบัลลังก์ พระองค์ประทานสัมภาษณ์แก่เดอะนิวยอร์กไทมส์ในปีค.ศ. 2007 กษัตริย์มีไฮทรงตรัสถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า "มันเป็นการแบล็คเมล์ข่มขู่ พวกเขาพูดว่า 'ถ้าพระองค์ไม่ยอมลงนามเดี๋ยวนี้ พวกกระหม่อมก็ต้องบังคับพระองค์' - ข้าพเจ้าไม่รู้ ทำไมต้องบีบบังคับ 'ก็จะฆ่านักศึกษา 1,000 กว่าคนที่อยู่ในคุกไงล่ะ'" ตามนิตยสารไทม์ระบุว่า กรอซาข่มขู่จะจับกุมประชาชนหลายพันคน และสั่งให้มีการนองเลือกถ้าหากกษัตริย์มีไฮไม่สละราชบัลลังก์

อย่างไรก็ตามมีอัตชีวประวัติของอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของโซเวียตประจำหน่วยงานพลาธิการกิจการภายในของประชาชน พลตรี ปาเวล ซูโดพลาตอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหภาพโซเวียต อันเดรย์ วืยชินสกี ซึ่งเดินทางมาเจรจากับกษัตริย์มีไฮเป็นการส่วนตัว โดยรับประกันต่อพระองค์ว่าจะจ่ายเงินบำนาญส่วนหนึ่งแก่กษัตริย์มีไฮที่จะต้องลี้ภัยไปเม็กซิโก ตามบทความในหนังสือพิมพ์ ยูร์นาลูล เนชันนาล ระบุว่า การสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์มีไฮนั้นมีการเจรจากับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ โดยให้พระองค์เสด็จออกจากประเทศพร้อมทรัพย์สินบางส่วน พระองค์ทรงตอบรับพร้อมติดตามด้วยข้าราชบริพารผู้จงรักภักดี

ตามบันทึกของแอนแวร์ ฮอจา ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แอบเบเนียที่มีการพูดคุยกับผู้นำคอมมิวนิสต์โรมาเนียเกี่ยวกับเรื่องการสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์ ระบุว่า เป็นกีออร์กีอู-เดจที่ถือปืนขู่กษัตริย์ ไม่ใช่กรอซา พระองค์ได้รับอนุญาตให้เสด็จออกนอกประเทศพร้อมผู้ติดตามบางส่วน และจากการยืนยันของนีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต เกี่ยวกับคำสารภาพของกีออร์กีอู-เดจ ว่าเขาต้องการทรัพย์สิน ทองคำและทับทิม ฮอจาระบุว่ากองกำลังที่นิยมคอมมิวนิสต์ปิดล้อมพระราชวัง เพื่อต่อต้านกองทัพที่สนับสนุนกษัตริย์

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1948 กษัตริย์มีไฮทรงประณามว่าการสละราชบัลลังก์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทรงยืนยันว่าพระองค์ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์โรมาเนียโดยชอบธรรม ตามนิตยสารไทม์ระบุว่า พระองค์คงจะรีบดำเนินการเร็วกว่านี้ แต่ช่วงต้นปีค.ศ. 1948 พระองค์ยังทรงเจรจากับพรรคคอมมิวนิสต์เกี่ยวกับทรัพย์สินของพระองค์ที่ถูกทิ้งไว้ในโรมาเนีย

มีรายงานว่า ทางการคอมมิวนิสต์โรมาเนียอนุญาตให้กษัตริย์มีไฮถ่ายโอนทรัพย์สินออกไป พร้อมภาพวาดของราชวงศ์ที่มีค่าจำนวน 42 ภาพในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 เพื่อให้พระองค์เสด็จออกจากโรมาเนียได้เร็วขึ้น ภาพวาดบางภาพถูกรายงานว่ามีการขายให้ตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะชื่อดังอย่างดาเนียล วิลเดนสไตน์ หนึ่งในภาพวาดที่เป็นทรัพย์สินของราชวงศ์โรมาเนียคาดว่าถูกนำออกนอกประเทศโดยกษัตริย์มีไฮในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 และได้กลับมาโรมาเนียในปีค.ศ. 2004 โดยการบริจาค โดยจอห์น ครูเกอร์ อดีตพระสวามีในเจ้าหญิงอีรีนาแห่งโรมาเนีย พระธิดาในกษัตริย์มีไฮ

ในปีค.ศ. 2005 คาลิน โปเปสคู-ตารีซีอานู นายกรัฐมนตรีโรมาเนีย ปฏิเสธข้อกล่าวหาอดีตกษัตริย์มีไฮในเรื่องภาพวาด โดยระบุว่ารัฐบาลโรมาเนียไม่มีข้อพิสูจน์ในการกระทำดังกล่าวของกษัตริย์มีไฮ และก่อนปีค.ศ. 1949 รัฐบาลไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับงานศิลปะใดๆ ที่ถูกนำออกมาจากอดีตที่ประทับของราชวงศ์ แต่นักประวัติศาสตร์บางคนมีบันทึกอยู่ในช่วงต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 1948 ซึ่งถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948

ตามอัตชีวประวัติที่ได้รับอนุญาตให้เขียนของอีโว พ็อตเตอร์ เรื่อง Michael of Romania: The King and The Country (2005) ซึ่งระบุพระดำรัสของสมเด็จพระราชชนนีเอเลนาว่า ราชวงศ์โรมาเนียได้นำภาพวาดของราชวงศ์ไปยังพิธิอภิเษกสมรสในกรุงลอนดอน เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นงานอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร) ภาพเหล่านี้ลงนามโดยเอลเกรโก ซึ่งถูกขายในปีค.ศ. 1976

ตามเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศและเครือจักรภพที่ไม่มีการจัดประเภทซึ่งมีหัวข้อรายงานข่าวในปีค.ศ. 2005 ว่า เมื่อกษัตริย์มีไฮเสด็จออกจากโรมาเนีย พระองค์ทรงมีทรัพย์สินจำนวน 500,000 ฟรังก์สวิส เมื่อเร็วๆ นี้มีสำเนาการสนทนาที่ไม่ได้รับการจัดประเภทระหว่างโจเซฟ สตาลินกับนายกรัฐมนตรีโรมาเนีย เปตรู กรอซา ไม่นานก่อนพระองค์จะสละราชบัลลังก์ ว่า กษัตริย์มีไฮทรงได้รับทรัพย์สินจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์จำนวน 500,000 ฟรังก์สวิส แต่กษัตริย์มีไฮทรงปฏิเสธ โดยทรงแจ้งว่า รัฐบาลคอมมิวนิสต์อนุญาตให้พระองค์นำทรัพย์สินติดตัวเพียงรถยนต์ส่วนบุคคล 4 คันบรรทุกไว้บนรถไฟ 2 คัน

อภิเษกสมรส

การหมั้น

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 กษัตริย์มีไฮทรงพบกับเจ้าหญิงอานน์แห่งบูร์บง-ปาร์มา พระญาติห่างๆ ซึ่งทรงเสด็จเยือนลอนดอนเพื่อร่วมพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธและฟิลิป เมานต์แบ็ทแตน ที่จริงแล้วปีก่อนหน้า สมเด็จพระราชชนนีเอเลนาได้เชิญเจ้าหญิงอานน์ พร้อมพระมารดาและพระเชษฐาพระอนุชาของพระนางมายังบูคาเรสต์ แต่แผนของพระนางก็ไม่สำเร็จ ในขณะที่กษัตริย์มีไฮทรงทอดพระเนตรเจ้าหญิงอานน์ในภาพยนตร์ข่าวและทรงขอรูปถ่ายของพระนางจากภาพยนตร์นี้

เจ้าหญิงอานน์ไม่ประสงค์ที่จะเสด็จติดตามพระบิดาและพระมารดาไปยังลอนดอนเพื่อร่วมงานเสกสมรส เนื่องจากเจ้าหญิงทรงต้องการหลีกเลี่ยงไม่พบปะกับกษัตริย์มีไฮในสภาพแวดล้อมที่ดูเป็นทางการ แต่พระนางทรงตั้งพระทัยที่จะอยู่เบื้องหลัง โดยเสด็จไปยังสถานีรถไฟปารีสเพียงลำพัง และทรงแสร้งทำเป็นประชาชนที่สัญจรด้วยรถไฟ เพื่อที่พระนางจะได้สังเกตองค์กษัตริย์เป็นการส่วนพระองค์ ในฐานะเป็นผู้ติดตามของคณะกษัตริย์มีไฮในการเสด็จด้วยนรถไฟที่มุ่งไปสู่ลอนดอน อย่างไรก็ตามในนาทีสุดท้าย เจ้าหญิงทรงถูกเกลี้ยกล่อมโดยฌ็อง แกรนด์ดยุกรัชทายาทแห่งลักเซมเบิร์ก พระญาติของพระนางที่ทรงเชิญเจ้าหญิงมายังลอนดอน โดยที่พระองค์เป็นผู้จัดงานเลี้ยง เมื่อเจ้าหญิงอานน์มาถึงลอนดอน เจ้าหญิงได้เสด็จแวะที่โรงแรมคลาริดจ์เพื่อพบพระบิดาและพระมารดา แต่พระนางก็พบว่าทรงต้องแนะนำพระองค์เองแก่กษัตริย์มีไฮอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ด้วยความที่ทรงเขินอายจนสับสน เจ้าหญิงทรงทำท่ากระแทกส้นเท้าเข้ากันแบบทหาร แทนที่จะทรงถอนสายบัว และทรงวิ่งหนีออกไปด้วยความอับอาย ด้วยเสน่ห์นี้ กษัตริย์มีไฮทรงพบปะเจ้าหญิงอานน์อีกครั้งในคืนพิธีเสกสมรส ณ งานเลี้ยงสังสรรค์ของสถานทูตลักเซมเบิร์ก พระองค์ทรงเล่าให้เจ้าหญิงฟังถึงความกังวลที่พรรคคอมมิวนิสต์จะเข้ายึดครองโรมาเนีย และทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระราชชนนี และพระองค์ทรงเรียกพระนามลำลองของเจ้าหญิงว่า "แนน" (Nan) ทั้งสองพระองคพบปะกันหลายครั้งในลอนดอนแต่ก็มีพระมารดาและพระอนุชาของเจ้าหญิงเสด็จตามมาสมาคมด้วย

ไม่กี่วันถัดมา เจ้าหญิงอานน์ทรงตอบรับคำเชิญของกษัตริย์มีไฮให้เสด็จไปพร้อมกับพระองค์และพระราชชนนี โดยกษัตริย์ทรงขับเครื่องบินบีชคราฟท์ เพื่อทรงพาเจ้าหญิงไอรีน ดัชเชสแห่งโอสตา สมเด็จน้าของกษัตริย์เสด็จกลับที่ประทับที่โลซาน สิบหกวันหลังจากพบกัน กษัตริย์มีไฮทรงขอเจ้าหญิงอานน์หมั้นในขณะที่ทั้งสองทรงขับรถอยู่ในโลซาน ในตอนแรกเจ้าหญิงทรงปฏิเสธ แต่ต่อมาก็ทรงตอบตกลงภายหลังขณะที่ทรงพระดำเนินและขับรถไปกับพระองค์ แม้ว่ากษัตริย์มีไฮจะทรงมอบแหวนหมั้นแก่เจ้าหญิงในอีกสองสามวันต่อมา แต่พระองค์รู้สึกว่าต้องละเว้นการประกาศให้สาธารณชนรู้จนกว่าพระองค์จะทรงแจ้งต่อรัฐบาลของพระองค์ แต่สื่อมวลชนก็รุมล้อมพระองค์ตามความคาดหมาย

กษัตริย์มีไฮเสด็จกลับโรมาเนีย พระองค์ทรงแจ้งแก่นายกรัฐมนตรีในเรื่องประกาศงานอภิเษกสมรส แต่นายกรัฐมนตรีกราบทูลว่า ยังไม่ "เหมาะสมแก่โอกาส" ทว่าภายในไม่กี่วัน กรณีนี้ทำให้รัฐบาลใช้โอกาสอธิบายต่อสาธารณชนเกี่ยวกับ "การสละราชบัลลังก์อย่างกะทันหัน" ของกษัตริย์มีไฮ แต่ในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ขับไล่พระองค์ออกจากบัลลังก์ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคมแล้ว เจ้าหญิงอานน์ไม่ทรงสามารถทราบข่าวจากกษัตริย์มีไฮได้จนกระทั่งพระองค์ได้เสด็จออกจากประเทศ ในที่สุดทั้งสองพระองค์ได้มาพบกันที่เมืองดาโวส วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1948

เสกสมรส

พระชนมชีพหลังสละราชบัลลังก์

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1948 พระองค์ทรงได้รับพระอิศริยยศเป็น "เจ้าชายแห่งโฮเฮนโซลเลิร์น แทนพระอิศริยยศ "กษัตริย์แห่งโรมาเนีย" หลังจากการสละราชสมบัติ และหลังจากการล่มสลายของคอมมิวนิสต์พระองค์จึงทรงได้กลับคืนสู่พระอิศริยยศเดิม

ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1948 ที่กรุงเอเธนส์, กรีซ พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแอนน์แห่งบูร์บง-ปาร์มา ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันครั้งแรกที่อังกฤษและจากนั้นที่สวิตเซอร์แลนด์ พรรคคอมมิวนิสต์ได้ถอดถอนพระองค์จากการเป็นชาวโรมาเนีย พระองค์และเจ้าหญิงมีพระธิดาทั้งหมด 5 พระองค์

ในปี ค.ศ. 1992 พรรคคอมมิวนิสต์ถูกปฏิวัติล้มล้างในโรมาเนีย รัฐบาลได้เชิญให้พระองค์เสด็จกลับประเทศเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ในบูคาเรสต์ชาวโรมาเนียกว่าล้านคนออกมารับเสด็จพระองค์ ทำให้พระองค์ถูกเตือนโดยประธานาธิบดีเอียน อีลีเอสคู ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้รับการอนุญาตให้เสด็จมาโรมาเนียเป็นเวลา 5 ปี ในปี ค.ศ. 1997 หลังจากอีลีเอสคูถูกรัฐประหารโดยอีมิล คอนสแตนติเนสคู รัฐบาลได้คืนให้พระองค์ดำรงเป็นชาวโรมาเนีย พระองค์ทรงประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ บ้างก็โรมาเนียที่ปราสาทซาวาร์ซิน ในอารัดหรือในพระราชวังอลิซาเบตาที่บูคาเรสต์

พระองค์มีพระราชธิดา 5 พระองค์ คือ

เจ้าหญิงอีลีนาและเจ้าหญิงไอรีนาต่างมีพระโอรสและพระธิดาทั้งคู่ เจ้าหญิงโซเฟียมีพระธิดา การสืบราชบัลลังก์ในโรมาเนียภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1997 กล่าวไว้ว่า ถ้าสมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮเสด็จสวรรคตโดยปราศจากพระโอรส พระราชสมบัติจะถูกถ่ายโอนไปยังเชื้อพระวงศ์ในสาย ราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์น-ซิกมารินเกน

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2007 ในงานเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของการสละราชสมบัติของพระเจ้ามีไฮ พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งพระธิดาองค์โตคือ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตตาแห่งโรมาเนียขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย และพระอิสริยยศ "ผู้ดูแลราชสมบัติแห่งโรมาเนีย" และเป็นโอกาสนี้ที่พระองค์เสนอให้รัฐบาลพิจารณาในการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ ในปี ค.ศ. 2007 มีประชากร 14% เห็นด้วยในการฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์ และนอกจากนั้นปี ค.ศ. 2008 มีประชากร 16% เป็นผู้นิยมระบอบกษัตริย์

พระพลานามัย

โฆษกประจำสำนักพระราชวังของโรมาเนียได้แถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮที่ 1 ประทับรักษาพระอาการประชวร พระพลานมัยย่ำแย่ลงอย่างมาก กำลังพระวรกายลดลง คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้ถวายการรักษาได้ติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เจ้าหญิงมาร์กาเรต้า มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย เจ้าชายราดู พระสวามี ไปทรงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระตำหนักเมืองโอบอนน์ เขตเมืองมอร์ช สมาพันธรัฐสวิส สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮ (พระชนมพรรษา 96 พรรษา) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลสุดท้ายของโรมาเนีย ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทรงเป็นพระประมุขเพียงพระองค์เดียวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังทรงพระชนม์ชีพในขณะนั้น

สวรรคต

สำนักพระราชวังแห่งโรมาเนียได้แถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนีย เสด็จสวรรคตแล้วด้วยพระอาการสงบ เมื่อวันอังคารที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2017 เวลา 12.00 น. ณ พระตำหนักเมืองมอร์ช สมาพันธรัฐสวิส สิริพระชนมพรรษา 96 พรรษา

พระราชตระกูล

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
16. ชาร์ลส์ แอนโทนีแห่งโฮเฮนโซเลน
 
 
 
 
 
 
 
8. ลีโอโปลด์แห่งโฮเฮนโซเลน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
17. เจ้าหญิงโยเซฟินแห่งบาเดิน
 
 
 
 
 
 
 
4. เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
18. เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งโปรตุเกส
 
 
 
 
 
 
 
9. เจ้าหญิงแอนโตเนียแห่งโปรตุเกส
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
19. มาเรียที่ 2 แห่งโปรตุเกส
 
 
 
 
 
 
 
2. คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
20. เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต เจ้าชายพระราชสวามี
 
 
 
 
 
 
 
10. เจ้าฟ้าชายอัลเฟรด ดยุคแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
21. สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
 
 
 
 
 
 
 
5. เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
22. จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
11. แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
23. เจ้าหญิงมารีแห่งเฮสส์และไรน์
 
 
 
 
 
 
 
1. สมเด็จพระราชาธิบดีมีไฮแห่งโรมาเนีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
24. คริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
12. จอร์จที่ 1 แห่งกรีซ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
25. หลุยส์แห่งเฮสส์ - คาสเซิล
 
 
 
 
 
 
 
6. คอนสแตนตินที่ 1 แห่งกรีซ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
26. แกรนด์ดยุคคอนสแตนติน นิโคเลวิชแห่งรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
13. โอลกา คอนสแตนตินอฟนาแห่งกรีซ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
27. เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งแซ็กซ์ - เอลเทเบิร์ก
 
 
 
 
 
 
 
3. เฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
28. จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 1 แห่งเยอรมนี
 
 
 
 
 
 
 
14. ฟริดริชที่ 3 แห่งเยอรมนี
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
29. เอากุสทาแห่งซัคเซิน-ไวมาร์-ไอเซอนัค
 
 
 
 
 
 
 
7. เจ้าหญิงโซเฟียแห่งปรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
30. เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต เจ้าชายพระราชสวามี
 
 
 
 
 
 
 
15. เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระวรราชกุมารี
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
31. สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
 
 
 
 
 
 

เชิงอรรถ

เวฺบไซต์อ้างอิง

ก่อนหน้า พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย ถัดไป
เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งโรมาเนีย
(ครั้งที่ 1)
(ราชวงศ์โฮเฮนโซเลน-ซิกมารินเกน)

(พ.ศ. 2470 – 2473)
พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย
คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งโรมาเนีย
(ครั้งที่ 2)
(ราชวงศ์โฮเฮนโซเลน-ซิกมารินเกน)

(พ.ศ. 2483 – 2490)
พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  ไม่มี
(สิ้นสุดระบอบกษัตริย์)
เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
ผู้นำประเทศโรมาเนีย
(ครั้งที่ 1)

(พ.ศ. 2470 – 2473)
พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย
คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
ผู้นำประเทศโรมาเนีย
(ครั้งที่ 2)

(พ.ศ. 2483 – 2490)
พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  คอนสแตรติน เอียน ปาร์ฮอน
(คอมมิวนิสต์โรมาเนีย)
คอมมิวนิสต์ พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย 
ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์โรมาเนีย
(ภายใต้กฎหมาย)
(ราชวงศ์โฮเฮนโซเลน-ซิกมารินเกน)

(พ.ศ. 2490 – 2560)
พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย  เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตตา มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย

Tags:

พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย ช่วงต้นของพระชนมชีพพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย การปกครองพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย อภิเษกสมรสพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย พระชนมชีพหลังสละราชบัลลังก์พระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย พระพลานามัยพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย สวรรคตพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย พระราชตระกูลพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย เชิงอรรถพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนีย เวฺบไซต์อ้างอิงพระเจ้ามีไฮที่ 1 แห่งโรมาเนียภาษาโรมาเนียราชอาณาจักรโรมาเนีย

🔥 Trending searches on Wiki ไทย:

สายัณห์ สัญญารายชื่อตอนในเป็นต่อ (ช่องวัน)ประเทศสเปนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยรถถัง จิตรเมืองนนท์ทวีปยุโรปแอนยา เทย์เลอร์-จอยกรงกรรมพรหมโลกประเทศสิงคโปร์การ์ลัส ปุดจ์ดาโมนประเทศจีนกูเกิล แปลภาษาลองของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่นอินสตาแกรมเอสเธอร์ สุปรีย์ลีลาอรรถกร ศิริลัทธยากรปราโมทย์ ปาทานยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจังหวัดขอนแก่นโลก (ดาวเคราะห์)หน้าไพ่โอลิมปิกฤดูร้อน 2024ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์สโมสรฟุตบอลคริสตัลพาเลซวินทร์ เลียววาริณเศรษฐศาสตร์พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทหลานม่ามุกดา นรินทร์รักษ์โรงเรียนเตรียมทหารพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรายชื่อเขตของกรุงเทพมหานครยูเอสเอส ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ (CVN-71)วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถสมศักดิ์ เทพสุทินเครือเจริญโภคภัณฑ์กองทัพบกไทยรายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทยรายชื่อตอนในนารูโตะ ตำนานวายุสลาตันจังหวัดปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนาบรูนู ฟือร์นังดึชกกรายการรหัสไปรษณีย์ไทยแปลก พิบูลสงครามตระกูลเจียรวนนท์บิลลี ไอลิชข้าราชการส่วนท้องถิ่นราชสกุลลุค อิชิกาวะ พลาวเดนสหภาพโซเวียตสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลอาณาจักรสุโขทัยสุชาติ ภิญโญบรรดาศักดิ์ไทยสมณะโพธิรักษ์จิรวัฒน์ สอนวิเชียรนารีริษยาจำนวนเฉพาะกรุงเทพมหานครประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเนย์มาร์ฟุตซอลทีมชาติไทยเกิดชาตินี้พี่ต้องเทพจิรภพ ภูริเดชรายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยบุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2567รายชื่อสมาชิกบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตเซี่ยงไฮ้แคพิบารา🡆 More