พลตรี ซิมอน โฮเซ อันโตนิโอ เด ลา ซานติซิมา ตรินิดัด โบลิบาร์ ปอนเต อี ปาลาซิโอส บลังโก (สเปน: Simón José Antonio de la Santísima Trinidad Bolívar Ponte y Palacios Blanco, ออกเสียง: ( ฟังเสียง); 24 กรกฎาคม ค.ศ.
1783 – 17 ธันวาคม ค.ศ. 1830) เป็นนายทหารชาวเวเนซุเอลาและเป็นผู้นำทางการเมืองที่นำประเทศโคลอมเบีย, เวเนซุเอลา, เอกวาดอร์, ปานามา, เปรู และโบลิเวีย ประกาศอิสรภาพจากเจ้าอาณานิคมอย่างจักรวรรดิสเปน ทำให้ตัวเขาเป็นที่รู้จักกันในนาม ผู้ปลดปล่อย หรือ ผู้ปลดปล่อยแห่งลาตินอเมริกา
ผู้ปลดปล่อย ซิมอน โบลิบาร์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ภาพเสมือนโบลิบาร์ วาดโดยโฆเซ โตโร โมเรโน ป. ค.ศ. 1922 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกิด | 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1783 การากัส เขตผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งเวเนซุเอลา จักรวรรดิสเปน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 17 ธันวาคม ค.ศ. 1830 ซานตามาร์ตา กรันโกลอมเบีย (ปัจจุบันคือ ประเทศโคลอมเบีย) | (47 ปี)||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ที่ไว้ศพ | มหาวิหารแพนธีออนแห่งชาติเวเนซุเอลา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เชื้อชาติ | สเปน (จนถึง ค.ศ. 1810) โคลอมเบีย (ค.ศ. 1810–1830) เวเนซุเอลา (ค.ศ. 1813–1819) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่อาศัย | มานูเอลา ซาเอนซ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่สมรส | มาริอา เตเรซา โรดริเกซ เดล โตโร อี อาไลซา (สมรส 1802; เสียชีวิต 1803) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โบลิบาร์เป็นชาวการากัสมาแต่กำเนิด ตัวเขาเกิดในครอบครัวของชนชั้นสูงที่ร่ำรวย และตามปกติสำหรับทายาทของครอบครัวชนชั้นสูงในสมัยนั้น ทำให้เขาถูกส่งตัวไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเริ่มต้นอาศัยอยู่ที่สเปนตั้งแต่อายุ 16 ปี และต่อมาได้ย้ายไปที่ฝรั่งเศส ขณะที่เขาอาศัยอยู่ในยุโรป เขาได้รับแนวคิดที่เกี่ยวกับอิทธิพลของยุคเรืองปัญญาเป็นอย่างมาก นั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โบลิบาร์ต้องการที่จะล้มล้างการปกครองของสเปนในอาณานิคมลาตินอเมริกา จากความวุ่นวายภายในสเปนในช่วงสงครามคาบสมุทร โบลิบาร์จึงเริ่มรณรงค์เพื่อเอกราชของอเมริกาใน ค.ศ. 1808 การรณรงค์เพื่อเอกราชของโคลอมเบีย (กรันโกลอมเบีย)—ต่อมานิวกรานาดาถูกควบรวมด้วย เนื่องจากชัยชนะที่ยุทธการที่โบยากาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1819 เขาประกาศจัดตั้งสภาคองเกรสแห่งชาติขึ้น แม้จะมีอุปสรรคมากมาย รวมถึงการมาถึงของกองกำลังสำรวจสเปนขนาดใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่บรรดานักปฏิวัติก็มีชัยเหนือสเปนในที่สุด ภายหลังการได้รับชัยชนะที่ยุทธการที่การาโบโบใน ค.ศ. 1821 ซึ่งทำให้เวเนซุเอลาเป็นประเทศเอกราชอย่างสมบูรณ์
หลังจากชัยชนะเหนือราชาธิปไตยสเปน โบลิบาร์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการสถาปนาสหภาพแห่งแรกของประเทศเอกราชในลาตินอเมริกา โดยเขาได้เป็นประธานาธิบดีแห่งกรันโกลอมเบียตั้งแต่ ค.ศ. 1819 จนถึง ค.ศ. 1830 ผ่านการรณรงค์ทางทหาร เขาได้ขับไล่ผู้ปกครองชาวสเปนออกจากเอกวาดอร์, เปรู และโบลิเวีย เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีหลายประเทศแถบลาตินอเมริกา ได้แก่ กรันโกลอมเบีย (ปัจจุบันคือ เวเนซุเอลา, โคลอมเบีย, ปานามา และเอกวาดอร์), เปรู และโบลิเวีย แต่ไม่นานหลังจากนั้น อันโตนิโอ โฮเซ เด ซูเกร รองผู้บังคับบัญชาของเขา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีแห่งโบลิเวีย โบลิบาร์มีความตั้งใจที่จะสร้างความแข็งแกร่งและสร้างความสามัคคีภายในอาณานิคมอเมริกาของสเปน เพื่อที่จะสามารถป้องกันภัยคุกคามที่หลงเหลืออยู่จากสเปนและเหล่าพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ในยุโรป รวมถึงมหาอำนาจแห่งใหม่อย่างสหรัฐอเมริกาด้วย ในช่วงที่เขามีอำนาจถึงขีดสุด โบลิบาร์ได้ปกครองดินแดนตั้งแต่อาร์เจนตินาจนถึงบริเวณทะเลแคริบเบียน
โบลิบาร์ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติในประเทศส่วนใหญ่ของอเมริกาใต้สมัยใหม่ และถือเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของขบวนการอิสรภาพในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ร่วมกับโฆเซ เด ซาน มาร์ติน, ฟรันซิสโก เด มิรันดา และคนอื่น ๆ จวบจนบั้นปลายชีวิตของเขา โบลิบาร์สิ้นหวังกับสถานการณ์ภายในประเทศบ้านเกิดของเขา ด้วยคำพูดที่มีชื่อเสียงว่า "ทุก ๆ คน ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติ กำลังทำเพียงไถท้องทะเล" หรือในการปราศรัยต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย โบลิบาร์กล่าวว่า "พลเมืองทั้งหลาย! ฉันอายที่กล่าวแบบนี้: อิสรภาพเป็นผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่เราได้รับ เพื่อสร้างความเสียหายให้กับส่วนที่เหลือทั้งหมด"
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โบลิบาร์เป็นนักการเมืองที่ต่อสู้เพื่อความอิสระให้ประเทศเวเนซุเอลา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู ปานามา และโบลิเวีย เป็นอิสระจากอาณานิคมสเปน เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ผู้กู้อิสรภาพ"
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในปี พ.ศ. 2345 โบลิบาร์ได้แต่งงานกับ "มาริอา เตเรซา โรดริเกซ เดล โตโร อี อาไลซา" เธอเสียชีวิตเพราะโรคไข้เหลืองในปีต่อมา และโบลิบาร์ไม่แต่งงานกับใครอีก
เขากล่าวว่า "ทุก ๆ คน ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติ กำลังทำเพียงไถท้องทะเล" ท้ายที่สุดแล้ว โบลิบาร์ได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1830 โดยเขาได้ตั้งใจที่จะออกจากประเทศและลี้ภัยตนเองไปที่ยุโรป
เมื่อ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1830 โบลิบาร์ได้เสียชีวิตลงด้วยวัณโรคในวัย 47 ปี ณ กินตาเดซานเปโดรอาเลฮันดริโน ในเมืองซานตามาร์ตา ประเทศกรันโกลอมเบีย (ประเทศโคลอมเบียในปัจจุบัน) โดยโบลิบาร์ได้ขอให้นายพลแดเนียล เอฟ. โอเลียรี เผาจดหมาย งานเขียน และเอกสารที่เกี่ยวกับสุนทรพจน์ของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม โอเลียรีไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโบลิบาร์และยังคงเก็บเอกสารเหล่านั้นไว้ และยังให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาและความคิดแบบเสรีนิยมของโบลิบาร์แก่นักประวัติศาสตร์มากมาย ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวประวัติส่วนตัวของเขา เช่น เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของเขากับมานูเอลา ซาเอนซ์ ใน ค.ศ. 1856 ซาเอนซ์ได้มอบจดหมายจากโบลิวาร์ที่เขาได้มอบให้เธอให้แก่โอเลียรีในไม่นานก่อนที่เธอจะเสียชีวิต
ร่างของโบลิบาร์ถูกฝังไว้ที่อาสนวิหารในเมืองซานตามาร์ตาเป็นเวลากว่า 12 ปี ก่อนที่ใน ค.ศ. 1842 ตามคำร้องขอของประธานาธิบดีโฮเซ อันโตนิโอ ปาเอซ ที่ต้องการให้ย้ายร่างของเขาจากซานตามาร์ตาไปที่การากัส และนำร่างของเขาไปฝังไว้ที่อาสนวิหารแห่งการากัสร่วมกับภรรยาและพ่อแม่ของเขา ในปี ค.ศ. 1876 ร่างของโบลิบาร์ถูกย้ายไปที่มหาวิหารแพนธีออนแห่งชาติเวเนซุเอลา และเมื่อปี ค.ศ. 2010 ร่างของมานูเอลา ซาเอนซ์ก็ถูกฝังอยู่ในมหาวิหารแพนธีออนแห่งชาติเวเนซุเอลาร่วมกับโบลิบาร์ด้วย
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 อูโก ชาเบซ ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ได้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้น เพื่อสืบสวนทฤษฎีที่ว่าโบลิบาร์ตกเป็นเหยื่อของการลอบสังหาร หลายครั้งที่ชาเบซอ้างว่าความจริงแล้วโบลิบาร์ถูกวางยาพิษโดย "ผู้ทรยศแห่งนิวกรานาดา" ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 พอล ออแวร์เตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อได้ศึกษาบันทึกอาการของโบลิบาร์และสรุปได้ว่าโบลิบาร์อาจได้รับพิษจากสารหนูเรื้อรัง แต่ทั้งทฤษฎีการได้รับพิษเฉียบพลันและการฆาตกรรมไม่มีความเป็นไปได้ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 ร่างของโบลิบาร์ได้รับคำสั่งให้ขุดขึ้นมาเพื่อดำเนินการสืบสวนต่อไป ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชระหว่างประเทศได้ออกรายงาน โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานการได้รับสารพิษหรือสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติอื่น ๆ
แม่แบบ:ประธานาธิบดีโบลิเวีย แม่แบบ:ประธานาธิบดีเปรู แม่แบบ:ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา
This article uses material from the Wikipedia ไทย article ซิมอน โบลิบาร์, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.