อาเชอร์ (ญี่ปุ่น: アーチャー; โรมาจิ: Āchā) คือเซอร์แวนท์คลาสอาเชอร์ของ โทซากะ ริน ในสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ห้าชองวิชชวลโนเวล เฟท/สเตย์ ไนท์
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
อาเชอร์ | |
---|---|
ตัวละครใน มหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ | |
ปรากฏครั้งแรก | เฟต/สเตย์ไนต์ (2547) |
สร้างโดย | คิโนโกะ นาสุ |
ให้เสียงโดย | ญี่ปุ่น สุวาเบะ จุนอิจิ ไทย ไกวัล วัฒนไกร อังกฤษ เลียม โอ'ไบรอัน เคย์จี แทยัง |
นามที่แท้จริงของอาเชอร์นั้นคือ เอมิยะ (ญี่ปุ่น: エミヤ; โรมาจิ: Emiya) ตัวของเขานั้นไม่ถูกถือว่าเป็นวิญญาณวีรชนในสายตาของวีรชนคนอื่น ๆ ตัวตนจริง ๆ ของเขาเองนั้นก็คือ เอมิยะ ชิโร่ จากไทม์ไลน์คู่ขนานของ เฟท/สเตย์ ไนท์ ที่ได้ทำพันธสัญญากับโลกและกลายเป็นวิญญาณวีรชนเอมิยะ ซึ่งเขาได้ถูกมอบหมายเป็น เคาน์เตอร์ การ์เดี้ยน (ข้ารับใช้แห่งอลายา) เป็นค่าจ้างจากการทำพันธสัญญานั้น เขาได้ถูกอัญเชิญมาเพราะว่าเขายังคงมีจี้อัญมณีที่รินใช้ในการชุบชีวิตเขาหลังจากถูกแทงเข้าไปที่หัวใจโดยแลนเซอร์ อัญมณีที่เขาครอบครองอยู่นั้นคือ คาทาลิสต์ (ตัวเร่ง) สำหรับการอัญเชิญของเขามากกว่าจี้ที่รินมีขณะกำลังทำพิธี หลังจากตอนจบในรูททั้ง 3 รูทของ เฟท/สเตย์ ไนท์ แล้ว, ความเป็นไปได้ที่ชิโร่จะกลายเป็นอาเชอร์นั้นยังคงอยู่, แต่ว่าโอกาสที่จะทำให้มันเกิดขึ้นนั้นมันแทบจะเป็นศูนย์เปอร์เซนต์
ในช่วงเริ่มต้นสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ของอาเชอร์นั้นโดยมากจะคล้ายคลึงกับของจักรวาล เฟท/สเตย์ ไนท์ แต่มันก็สามารถที่จะถูกบอกว่า "มีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป" พวกสถานการณ์ต่างๆในสงครามก็เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับรูท เฟท จากที่เขาได้อัญเชิญ เซเบอร์ มาและสู้เคียงข้างเธอไปจนถึงจุดจบ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจในตัวเธอก็ตาม เขากลับไม่ได้ "คว้าหัวใจของเซเบอร์ไว้" หลังจากที่พวกเขาได้ทำลายจอกลงและแยกทางกัน เขาก็มาร่วมมือกับรินและเดินทางไปยังลอนดอน ไป ๆ มา ๆ เขาก็ไปทำงานในฐานะนักเวทฟรีแลนซ์เพื่อคว้าความฝันของเขาที่จะเป็นวีรบุรุษผู้ผดุงความยุติธรรม เขาก็ทำการฝึกฝนตัวเองอย่างไม่ลดละพร้อม ๆ กับไล่ตามความฝันที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ แต่หลังจากนั้นตัวเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังจากการที่ตนเองรู้ตัวว่าความสามารถของตนมันไม่เพียงพอต่อการทำให้มันสำเร็จได้ ช่วงเวลานึงระหว่างที่เขามีอายุยี่สิบปีกว่า ๆ อาเชอร์ก็ได้รับเสื้อคลุมสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของตน ซึ่งน่าจะเป็นของขวัญจากชิเอลแห่งโบสถ์ ในช่วงใดช่วงหนึ่งเขาก็พบเจอและต่อสู้กับตัวตนที่ใกล้เคียงกับอังกรา มาอินยู แต่ก็ต้องถูกบังคับให้ล่าถอยเมื่อเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรต่อต้านมันได้เลย หลังจากนั้นเขาก็ได้รับความเข้าใจว่าตัวตนระดับนั้นคือเป้าหมายของ เคาน์เตอร์ ฟอร์ซ (พลังแห่งการปราบปราม) หลังจากที่ได้ขึ้นไปนั่งในบัลลังก์แห่งวีรชน
อาเชอร์ก็จำเป็นจะต้องเลือกการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล การที่ตนเองต้องเผชิญหน้ากับหายนะที่มีความเป็นไปได้ที่จะฆ่าคนทั้งร้อยคนต่อหน้าเขา เขาจึงตัดสินใจที่จะ "ทำพันธสัญญา" กับโลกเพื่อกลายเป็นฮีโร่ที่สามารถกำเนิดปาฏิหาริย์และกลายเป็นวิญญาณวีรชนหลังจากที่เขาตายลง ตัวเขาเองนั้นได้เชื่อว่าเขาสามารถที่จะช่วยเหลือชีวิตได้ทั้งของเหล่าผู้คนที่จะล้มตายต่อหน้าตนและจะช่วยได้มากขึ้นไปอีกในฐานะวีรชนหลังจากที่เขาตาย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายพื่อจบสงครามนั้นลง เขากลับถูกตราหน้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเกิดของสงครามและถูกสังหารลงจากการทรยศของพันธมิตรของตนเอง และถึงแม้ว่าเขาจะสิ้นชีพจากการถูกทรยศ เขาก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรมนุษยชาติเลย แต่ว่า อัตตาของ "โลก" กลับมอบหมายหน้าที่ของเขาในฐานะของวิญญาณวีรชน "เพื่อการฆ่าล้างบางมนุษย์ทั้งหมดในบริเวณนั้นขณะที่มวลมนุษย์จวนเจียนจะทำลายตัวเองอยู่รอมร่อ" อย่างประชดประชัน เป็น "เคาน์เตอร์ การ์เดี้ยน"
อุดมคติของตนที่ว่าจะคอยช่วยเหลือผู้คนในฐานะวิญญาณวีรชนก็เกิดขึ้นมาจริงๆ แต่ว่ามันกลับเกิดขึ้นในร่างของการเก็บกวาดการกระทำของเหล่ามนุษย์และถูกบังคับให้คร่าชีวิตอันมากมายเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติโดยรวม แทนที่จะ "ช่วยเหลือทุก ๆ คน" - ด้วยการปกป้องมวลมนุษย์โดยที่ไม่ต้องคร่าชีวิตใครเหมือนที่เขาอยากให้มันเป็น หลังจากที่ตนมองการทำลายตนเองของเผ่าพันธุ์มนุษย์และต้องกระทำตรงกันข้ามกับอุดมคติของตนอย่างเลี่ยงไม่ได้มานับไม่ถ้วน อาเชอร์ก็เริ่มที่จะปฏิเสธทั้งตัวเองและอุดมคติของเขา ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าบัลลังก์แห่งวีรชนนั้นมันแยกออกมาจากมิติและเวลา ตัวอาเชอร์เองก็ยังคงเชื่ออย่างเข้าตาจนว่าความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะปลดปล่อยตัวเขาได้นั้นคือการที่เขาได้ถูกอัญเชิญมายังยุคที่เอมิยะ ชิโร่มีตัวตนอยู่และฆ่าตัวเองในอดีตซะ ด้วยความหวังว่าพาราดอกซ์สองทบที่สร้างโดยการที่เอมิยะ ชิโร่ถูกสังหารลงก่อนที่จะมีโอกาสในการทำพันธสัญญากับอลายาและคนที่ฆ่าเขาก็คือตัวเอมิยะ ชิโร่เองที่ทำพันธสัญญากับโลกได้สำเร็จจะสร้างไทม์พาราดอกซ์ที่ทรงพลังพอที่จะสามารถลบการมีตัวตนอยู่ของเขาในฐานะเคาน์เตอร์ การ์เดี้ยนได้
อาเชอร์นั้นเป็นวีรบุรุษที่อยู่ในช่วงยี่สิบปลาย ๆ พร้อมกับร่างกายที่กำยำ ชิโร่จากสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ห้านั้นจะสูงขึ้นมาราว ๆ 20 ซม. ในฐานะอาเชอร์ มันก็ไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนว่าส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้จะมาจากการใช้ศาสตร์เวทหรือไม่ เมื่อมาเทียบกับชิโร่แล้ว อาเชอร์นั้นมีผมสีขาวซีด ดวงตาสีเทาและผิวสีแทน สาเหตุที่สีของทั้งผิว ผมและตาของเขานั้นแตกต่างจากรูปลักษณ์ของตนเองในวัยเยาว์ก็เนื่องมาจากการใช้ทักษะจำลองวัตถุมาอย่างยาวนานจนทำให้เกิดผลข้างเคียง
ชุดเซอร์แวนท์ของเขา อาภรณ์เวทแห่งทุ่งสีเพลิง (ญี่ปุ่น: 赤原礼装; โรมาจิ: Akahara Reisō) คือเครื่องสวมใส่หลักของอาเชอร์ เขาสวมเกราะสีดำที่ถูกสร้างจากวัสดุพิเศษที่ยังไม่ถุกค้นพบโดยมวลมนุษย์ในยุคปัจจุบัน, ซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อสีดำรัดรูปแขนกุดกับลวดลายสีเงินที่เค้าโครงกล้ามเนื้อของเขาแล้วก็แผ่นเหล็กตรงคอเสื้อ, และกางเกงขายาวสีดำที่มีสายรัดสีดำสองอันบนต้นขาของตน และอีกสองอันที่รัดรอบ ๆ หน้าแข้งของเขาที่แยกสายรัดทั้งสองคู่ออกจากกัน เขาสวมรองเท้าชุบโลหะดำหนึ่งคู่ ซึ่งดูเหมือนจะติดกับกางเกงของตน ผ้าคลุมสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขานั้นเป็นผ้าคลุมศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นแขนเสื้อสองอันที่ยึดให้ติดกันด้วยแผ่นเหล็กข้างหลังซึ่งคลุมแขนของเขาเอาไว้รวมถึงถูกตัดเพื่อเผยให้เห็นเนื้อตัวข้างบนกับกระบังลม และยังมีกระโปรงสีแดงอีกอันข้างล่างที่ยาวถึงเหนือหน้าแข้งพร้อมกับอันข้างบนที่ตกแต่งและผูกเข้าด้วยกันด้วยเงื่อนอาเกมาคิ ซึ่งถูกคลุมด้วยแผ่นเหล็ก ใน เฟท/ฮอลโล่ว์ อทาราเซีย อาเชอร์ก็ปรากฏตัวออกมาโดยที่ไม่มีผ้าคลุมศักดิ์สิทธิ์ของเขาในลูป ๆ หนึ่ง - แต่ว่า เขากลับสวมถุงมือธนูสีดำแทน ในอดีตนั้น อาเชอร์ก็เคยสวมผ้าคลุมสีจางในอนิเมะ อันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์ ที่จัดทำโดยบริษัทยูโฟเทเบิล
ใน เฟท/ฮอลโล่ว์ อทาราเซีย ชุดลำลองของเขาประกอบไปด้วยเสือสีดำธรรมดาและกางเกงสีดำ เมื่อเขาไปตกปลานั้น เขาก็สวมใส่ชุดอันเป็นเอกลักษณ์ของตนโดยที่ไม่มีผ้าคลุมศักดิ์สิทธิ์รวมอยู่ด้วย แต่กลับสวมเสือกั๊กบุนวมสีแดงกับหมวกแก๊ปสีแดงแทน
นิสัยของอาเชอร์นั้นมันขัดแย้งกันเองอย่างมาก แม้ว่าเขาจะชอบพูดจาถากถางและไม่เห็นว่าอะไรมีค่านักก็ตาม ตนเองก็กลับอุทิศตนและชอบปกป้องในเวลาเดียวกัน และยังมีนิสัยเหมือนเด็กเล็กน้อยถึงระดับที่ว่าทำให้หลาย ๆ คนยากที่จะเกลียดเขาลงได้ เขาไม่เคยโกหก แต่ก็ยังเก็บความลับและพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวได้ เขานั้นมีเจตนาดีและสามารถอ่อนโยนต่อคนอื่นได้ แต่โดยมากจะทำให้ตนเองกลายเป็นพูดจาเสียดสีแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขามอบคำแนะนำให้ เขานั้นไม่เห็นชอบด้วยกับอุดมคติของเอมิยะ ชิโร่ที่จะเป็นวีรบุรุษผู้ผดุงความยุติธรรมด้วยจากประสบการณ์ของเขาเอง แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน
เขากล่าวว่าความทรงจำของเขามันสับสนด้วยการอัญเชิญที่ไม่สมบูรณ์ แต่นั่นก็เป็นแค่ความจริงครึ่งเดียวเท่านั้น อาเชอร์นั้นสามารถประเมินสถานการณ์และอนุมานเหตุการณ์ในคืนที่เขาถูกอัญเชิญได้ และเชื่อในตนเองว่ามีโอกาสที่จะสำเร็จเป้าหมายในการสังหารชิโร่ลง เขาได้ลืมชื่อของ "โทซากะ ริน" ไปในช่วงชีวิตของเขา แต่ก็จำเธอได้ทันทีที่เธอแนะนำตัวเอง และพูดพึมพำว่า "――ริน อ้า นั่นคือชื่อของเธอสินะ――" ใต้ลมหายใจของเขา มันเป็นคำกล่าวจากหัวใจของเขาที่ "เต็มไปด้วยอารมณ์ซะจนใกล้เคียงกับความบ้า" เขายังกล่าวอีกว่าตนได้ไร้ซึ่งความทรงจำของชิโร่ไปแล้ว แต่ก็ยังคงจำวันที่คิริซึงุ เอมิยะช่วยเขาเอาไว้และความรู้สึกที่เขามีจากรอยยิ้มของชายผู้นั้น และยังระลึกถึงได้ในเวลาที่เซเบอร์ได้ถูกอัญเชิญเป็นครั้งแรกที่ตนจะยังคงจดจำมันอย่างไม่มีวันลืมเลือน "แม้กระทั่งเขาจะตกลงไปยังขุมนรกก็ตาม"
เขาไม่ได้สนใจที่จะเล่นเกมมากนัก แต่ก็พร้อมที่จะเล่นเมื่อเริ่มเกมแล้ว
ดูเหมือนว่าตัวอาเชอร์เองนั้นไม่มีความสามารถพิเศษอะไรโดดเด่นเลยในเรื่องของศาสตร์เวท แต่เขาก็มีความสามารถพิเศษเกี่ยวกับเวทแขนงหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งนั่นคือการ "เทรซซิ่ง" (หรือสั้น ๆ ว่า "เทรซ") คือความสามารถในการจำลองหรือสำเนาวัตถุๆ หนึ่งขึ้นมาโดยจินตนาการจากสิ่งต่างๆที่เขาเคยพบเห็นมาในอดีต ซึ่ง "วัตถุ" ที่เขาจำลองหรือสำเนาขึ้นมานั้นจะมีประสิทธิภาพที่ด้อยลงกว่าของเดิมหนึ่งระดับ และมีรูปร่างภายนอกเหมือนของต้นฉบับทุกประการ
โดยปกติแล้ว เรียลลิตี้ มาร์เบิลของเขานั้นไม่จำเป็นต้องมีพิธีการมากมาย เขาสามารถที่จะจดจำรายละเอียด รูปร่างลักษณะ ประวัติและความสามารถของอาวุธชิ้นนั้นๆ โดยอาศัยการมองผ่านเพียงครู่เดียวเท่านั้น และสามารถสำเนามันออกมาได้เหมือนกับต้นฉบับทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือเวทมนตร์ประจำอาวุธชนิดนั้นๆ และยังรวมไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของอาวุธชิ้นนั้นๆ ด้วย ซึ่งเขาเองจะสามารถรับรู้เรื่องราวพวกนี้ผ่านทางการเทรซนั่นเอง แต่แล้วความสามารถของเขาก็มีข้อจำกัดเช่นกัน นั่นก็คืออาวุธทุกชิ้นที่เขาสำเนาขึ้นมานั้นจะถูกลดระดับลง 1 ระดับ และไม่สามารถจำลองสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในโลกได้เช่นกัน
นอกจากนั้น ในการ "แปรสภาพวัตถุ" ของเขา ทำให้เขาสามารถที่จะดัดแปลงวัตถุที่เขาสำเนาขึ้นมานั้น ซึ่งวัตถุที่ถูกเขาสำเนาและดัดแปลงออกมานั้นจะถูกเรียกว่า "ศาสตราที่พังทลาย (โบรเคน แฟนตาซึ่ม)" ซึ่งมันคือโนเบิล แฟนตาซึ่ม (ศาสตราแห่งตำนาน) ที่เอ่อล้นไปด้วยพลังเวท ที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อตัวโนเบิล แฟนตาซึ่มเองด้วย จึงทำให้ข้ารับใช้ส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้วิธีนี้เนื่องจากไม่ต้องการให้อาวุธของตนเองนั้นได้รับความเสียหายมากๆ นั่นเอง แต่สำหรับตัวอาเชอร์เองซึ่งมีความสามารถนี้ ก็เปรียบเสมือนมีคลังอาวุธอยู่กับตัว จึงมักจะเห็นเขาสร้าง โบรเคน แฟนตาซึ่ม ขึ้นมาและใช้มันโจมตีคู่ต่อสู้โดยการยิงออกไปเหมือนธนูอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากความสามารถในการเทรซและแปรสภาพวัตถุที่เขามีแล้ว เขายังมีทักษะพื้นฐานของศาสตร์ทั้งสองนี้อีก ซึ่งนั่นก็คือการ "เสริมความแข็งแกร่งของวัตถุ (รีเอ็นฟอร์ซเมนท์)" ซึ่งเป็นทักษะที่ทำให้วัตถุที่ได้รับการใช้ทักษะนี้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังทำให้ผู้ที่ใช้ทักษะนี้ได้รับรู้ถึงรายละเอียดต่างๆ ของวัตถุ และเข้าใจถึงส่วนประกอบต่างๆ ของวัตถุอย่างชัดแจ้ง ซึ่งการใช้งานของทักษะนี้จะส่งผลต่างๆ ต่อวัตถุมากมาย เช่นถ้าใช้กับดาบก็จะทำให้ดาบเล่มนั้นๆ มีความคมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถ้าใช้กับโล่หรือเกราะก็จะทำให้เกราะหรือโล่นั้นทนทานยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าการเสริมความแข็งแกร่งนี้จะทำได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถจะเสริมความแข็งแกร่งได้นั้นคือสิ่งมีชีวิต หรือเสริมความแข็งแกร่งได้ แต่จะมีความซับซ้อนมากกว่าวัตถุอื่นๆ เพราะการเสริมความแข็งแกร่งนั้นคือการเสริมพลังเวทเข้าไปในมวลของวัตถุนั้นๆ ซึ่งเป็นการยากหากจะเสริมให้กับสิ่งมีชีวิต และอาจทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นได้รับผลเสียย้อนกลับมาเป็นได้ ซึ่งตัวเขาเองก็ได้ใช้ทักษะนี้เสริมความสามารถของดวงตาให้มีระยะในการมองเห็นที่ไกลยิ่งขึ้น โดยความสามารถนี้จะถูกเรียกว่า ตาทิพย์
เขามักจะใช้ ธนูยาว สีดำขลับที่มีชื่อว่าธนูแห่งอาเชอร์ (ญี่ปุ่น: アーチャーの弓; โรมาจิ: Āchā no Yumi) ที่ถูกสร้างขึ้นจากโลหะที่สามารถยืดหยุ่นได้ ซึ่งยังไม่มีอยู่จริงในยุคปัจจุบัน ซึ่งคันธนูนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการยิงอาวุธในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะศาสตราแห่งตำนาน ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้เป็นลูกธนูเสมอ ทำนองเดียวกัน แผ่นที่ช่วงลำตัวของเขาและรองเท้าก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบชนิดเดียวกัน เสื้อคลุมสีแดงที่เขาสวมนั้นก็เป็นชุดที่ได้รับการปลุกเสกให้มีความต้านทานสิ่งอันตรายรอบด้านอีกด้วย
อันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์ นั้นคือ พิภพเอกเทศ (เรียลลิตี้ มาร์เบิ้ล) ของอาเชอร์และ, ตามเทคนิคแล้ว, ก็เป็นศาสตราแห่งตำนานของเขาเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีศาสตราแห่งตำนานของ ตัวเอง เลยก็ตาม, ถ้าศาสตราแห่งตำนานคือตัวตนและสัญลักษณ์ของตำนานของวีรชนเหล่านั้น, งั้นอันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์นั่นแหละคือศาสตราแห่งตำนานของอาเชอร์ มันเป็นมิติที่มีสภาพเป็นทุ่งร้าง และมีศาสตราแห่งตำนานประมาณจำนวนไม่ได้ ปักอยู่เรียงรายคล้ายป้ายหลุมศพ พร้อมทั้งมีฟันเฟืองจักรจำนวนมากมายล่องลอยอยู่ในอากาศภายในมิตินั้น และมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทอดยาวไปจนสุดขอบลูกตา จนเห็นหมอกควันและประกายไฟประทุอยู่ทั่วบริเวณ ที่ถูกกำเนิดขึ้นมาจากต้นกำเนิดและธาตุของ “ดาบ”, ในฐานะศาสตร์เวทขั้นสูงที่เขียนทับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยโลกของตัวเอง อันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์จะคอยจดจำอาวุธทั้งหมดที่อาเชอร์พบเห็นผ่านตามาโดยอัตโนมัติ, วิเคราะห์โครงสร้างของมันและสะสมเก็บเอาไว้ในโลกของตนและวัตถุทั้งหมดจะมีสภาพเป็นไปตามเดิมของวัตถุนั้น ๆ ในความทรงจำของเขาทุกประการ (ศาสตราแห่งตำนานส่วนใหญ่ที่เขาจำลองออกมานั้น จะมาจากการจดจำอาวุธต่างๆ ใน เกท ออฟ บาบิโลน และอาวุธที่เขาเคยผ่านตามาตลอดทั้งชีวิตของเขา) หลังจากนั้นอาเชอร์ก็สามารถที่จะจำลอง (เทรซ) อาวุธเหล่านั้นมายังโลกแห่งความจริงได้ตามต้องการ รวมถึงเมื่อใช้งานเขาก็จะมีฝีมือและสามารถใช้กระบวนท่าต่าง ๆ เหมือนที่เจ้าของเดิมทำได้ทุกอย่าง
โดยที่ข้างในอันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์นั้น, จะสามารถจำลอง (เทรซ) อาวุธได้อย่างง่ายดายและในทันที แต่ว่าระดับของอาวุธที่เขาจำลอง (เทรซ) ขึ้นมาจะถูกลดระดับลงมาหนึ่งระดับ เขายังสามารถที่จะจำลอง (เทรซ) อาวุธประเภทป้องกันตัวอย่างโล่ได้, แต่ว่ามานาในการจำลอง (เทรซ) มันจะสูงกว่าดาบมาก ด้วยการชาร์จมานาเข้าไปยังศาสตราแห่งตำนาน, อาเชอร์สามารถที่จะยิงมันออกจากธนูของเขาเป็น ศาสตราที่พังทลาย (โบรเคน แฟนตาซึ่ม), ที่เพิ่มพลังการโจมตีและสิ่งเร้นลับของศาสตรานั้นเป็นอย่างมาก (โดยที่พลังที่เพิ่มมานั้นมันมากพอที่จะเพิ่มระดับของศาสตรานั้น ๆ ขึ้นมาหนึ่งระดับ หรือก็คือมันจะมีพลังเทียบเท่ากับของต้นฉบับนั่นเอง), แต่ต้องแลกมากับการสูญเสียมันไปเมื่อมันโจมตีโดน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการพนันที่อันตรายมากสำหรับเซอร์แวนท์ตนอื่น ๆ , มันกลับไม่ใช่สำหรับอาเชอร์เลยแม้แต่น้อย เพราะเขาก็เพียงแค่จำลอง (เทรซ) มันขึ้นมาใหม่ก็พอ แต่ว่า, มันอาจจะต้องใช้เวลาถึงสี่สิบวินาทีในการชาร์จศาสตราที่พังทลาย, ขึ้นอยู่กับว่าอาเชอร์อยากให้มันมีพลังมากขนาดไหน นอกจากนั้น, อาเชอร์ยังสามารถที่จะควบคุมอาวุธทุกชิ้นในมิติเทียม (เรียลลิตี้ มาร์เบิล) ของเขาได้ดั่งใจ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เขาควบคุมอาวุธต่าง ๆ ให้ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วปล่อยให้พุ่งตกลงมาราวกับสายฝนสู่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างเซเบอร์หรือชิโร่ โดยการที่จะใช้งานมันได้นั้น, อาเชอร์จะต้องกล่าวบทสวดตามนี้:
ตลอดช่วงสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 5 เขามักจะแสดงออกด้วยท่าทางที่หยาบคาย มองโลกในแง่ร้าย เย็นชาต่อทุกคนที่อยู่รอบตัวเขา ไม่เว้นแม้แต่ ริน มาสเตอร์ของเขาเอง และเขายังไม่ยอมทำตามคำสั่งของมาสเตอร์อีกด้วย รินจึงจำเป็นต้องใช้ลายมนตราบังคับให้เขาเชื่อฟังเธอทุกอย่าง ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองที่แข็งกระด้าง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลายมนตราที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทที่แข็งแกร่ง จึงทำให้เขาต้องทำตามคำสั่งไปโดยปริยาย ตลอดเวลาเขาก็มีอคติต่อตัวเขาเองในอดีตอยู่ตลอด และตัวเขายังเป็นพวกชอบหาเรื่องและยังเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่อีกด้วย แต่ลึกๆ แล้วเขาก็ยังคงมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อบุคคลที่เขาเคยรู้จักมาในตลอดช่วงชีวิตของเขา โดยเฉพาะอิลิยา, ริน และ เซเบอร์ ในฉบับอนิเมะ เขาได้ถูกอัญเชิญมาอย่างไม่สมบูรณ์โดยริน จึงทำให้เขาไม่สามารถนึกถึงตัวตนที่แท้จริงและอดีตของตนเองได้ แต่ความจงเกลียดจงชังของเขาที่มีต่อชิโร่ และความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อรินและอิลิยะไม่ได้หายไปกับความทรงจำเขาเลย
ในบท เฟท เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับเซเบอร์ในช่วงต้นของสงคราม แต่แล้วเขาก็ได้ถูกรินเรียกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรับมือเบอร์เซิร์กเกอร์และเปิดทางให้ริน ชิโร่ และเซเบอร์ได้หลบหนีไปจากการโจมตีของข้ารับใช้ตนนี้ ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่เขาก็สามารถรับมือกับเบอร์เซิร์กเกอร์ได้อย่างสูสีและสังหารไปได้ถึง 6 ชีวิต ก่อนที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำถูกสังหารไปในที่สุด แต่ในฉบับอนิเมะ ได้มีการเปลี่นแปลงเนื้อเรื่องเล็กน้อย คือในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาได้สร้างเรียลลิตี้ มาร์เบิลขึ้นมา และสังหารเบอร์เซิร์กเกอร์ไปได้แค่ 5 ครั้งเท่านั้น แต่หากรวมที่อาเชอร์ใช้ โบรเคน แฟตาซึ่ม ยิงใส่ด้วยจะเป็นสังหารเบอร์เซิร์กเกอร์ได้ 6 ครั้ง
ในบท อันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์ บทบาทของเข้าค่อนข้างที่จะออกไปในทางตัวร้ายเสียเป็นส่วนมาก และโอกาสที่เขาจะได้สังหารชิโร่นั้นก็มีมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะในบทนี้เซเบอร์จะไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ในช่วงแรกของสงคราม และไรเดอร์ก็ได้ถูกแคสเตอร์และมาสเตอร์ของเธอสังหารไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ได้ทำให้เซเบอร์จำเป็นที่จะต้องใช้มานาปริมาณมหาศาลของเธอในการใช้ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ พร้อมกับรินที่สั่งห้ามไม่ให้เขาไปต่อสู้เพียงลำพังกับเบอร์เซิร์กเกอร์ ต่อมาเซเบอร์ก็ได้เพลี่ยงพล้ำให้กับเบอร์เซิร์กเกอร์จนเกือบเสียท่า แต่เขาก็ได้ช่วยเอาไว้ทันโดยการเบี่ยงเบนความสนใจของเบอร์เซิร์กเกอร์มาที่เขา และรับมือเบอร์เซิร์กเกอร์ด้วยตนเอง โดยในการต่อสู้ เขาเลี่ยงที่จะทำร้ายอิลิยะ และไม่ยอมที่จะโจมตีใส่เบอร์เซิร์กเกอร์โดยตรง เมื่อสบโอกาส เขาก็ได้สร้างกำแพงเพลิงขนาดมหึมาขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้หนีไป หลังจากที่ไทกะและเซเบอร์ได้ถูกแคสเตอร์จับตัวไปแล้ว เขาก็ได้ทรยศรินและไปเข้าพวกกับแคสเตอร์ ในขณะที่รินและชิโร่ได้บุกไปที่โบสถ์ของคิเรย์ เขาก็ได้ปะทะกับอาเชอร์ ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ทรยศแคสเตอร์และมาสเตอร์ของเธอ เพื่อเป็นการบรรลุเป้าหมายของเขา และยังเพื่อกันรินออกไปจากเรื่องอันตรายอีกด้วย โดยการสังหารพวกเขาทั้งสอง และเขาก็ได้ขังพวกรินไว้ใน อันลิมิเต็ด เบลด เวิร์คส์ ของเขา ซ้ำร้ายกับที่เซเบอร์ก็ไม่สามารถสู้ต่อได้ ทำให้ชิโร่จำเป็นต้องสู้กับอาเชอร์ด้วยตัวของเขาเองแล้วอาเชอร์จะสั่งให้ดาบ 18 เล่มพุ่งเข้าหาทุกคน ชิโร่จะรีบพุ่งออกมาขวางและเทรสออนท่ามกลางเสียงของห้ามของเซเบอร์ นั้นคือชิโร่สร้างดาบ 18 เล่มขึ้นมาและโจมตีสวนกลับ จากการที่ดาบ 18 เล่มของแต่ละฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงทำให้โลกแห่งดาบไร้ขอบเขตหายไป ชิโร่ที่ล้มลงไปหลังจากเทรสออนก็ลุกขึ้นมาบอกว่าเค้าจะสู้กับอาเชอร์ตัวต่อตัวเอง สถานที่คือปราสาทของอิลิยะ ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้อาเชอร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมื่อได้มองเห็นถึงความตั้งใจจริงของชิโร่ที่จะเดินในทางที่เขาได้ตัดสินใจเลือกไว้ ซึ่งทำให้เขานึกถึงเหตุผลที่เขาอยากจะเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมได้ และแล้วเขาก็ได้ช่วยชีวิตชิโร่ไว้จากการโจมตีอย่างกะทันหันของกิลกาเมช จนทำให้ตัวเขาเองต้องหายไป แต่แล้วเขาก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งเพียงชั่วครู่ในช่วงท้ายของบท เพื่อจัดการกับ กิลกาเมช ที่กำลังถูกจอกศักดิ์สิทธ์แห่งความมืดกลืนกินและใช้โซ่เอ็นคิดูดึงชิโร่ลงไปด้วยโดยปาดาบดูแรนดัลปักหัวกิลกาเมซ หลังจากที่เขาได้บอกกับรินว่าเขาไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว เขาก็ได้เลือนหายไปพร้อมกับรอยยิ้มและความภาคภูมิใจในทางเดินชีวิตที่ตัวเขาเองได้เลือกเดินมาตลอด
ในภาค เฟท ฮอลโล่ว์ อทาราเซีย อาเชอร์ในชุดดำที่แข็งแกร่งขึ้น ได้ดักโจมตีชิโร่และเซเบอร์บนสะพานเดทบริดจ์ด้วยธนู แต่ถูกเซเบอร์เข้าประชิด ซเบใช้ดาใช้ดาบบฃฃฃฃฃฃอาเชอร์ที่ไม่ทันตั้งตัว ฟันร่างอาเชอร์จนฃแล้วถูกครึ่งเธอก็ฟันขาด อาเชอร์พูดด้วยความตาย ผู้หญิงจะโดนเซเบอฆ์ทำลายร่าอยนไม่เหลือซากดายก่อนที่ร่างจะสลายไป
ท้ายสุด ในบท เฮฟเว่นส์ ฟีล ตัวเขาได้ล้มเลิกเป้าหมายที่จะสังหารชิโร่ เมื่อเขาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เจือปนในจอกศักดิ์สิทธิ์ ส่วนชิโร่เองก็ได้สละชีวิตและอุดมการณ์ของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตของซากุระเอาไว้ ตัวเขาเองก็ได้ต่อสู้กับศัตรูมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทรู แอสซาซิน, เซเบอร์ด้านมืด และ "เงา" แต่เขาก็รอดมาได้จนได้มอบแขนซ้ายของเขาให้กับชิโร่ ที่เสียแขนซ้ายไปในการต่อสู้ ซึ่งชิโร่เองก็ได้ใช้แขนของอาเชอร์ในการต่อสู้กับเบอร์เซิร์กเกอร์ด้านมืด, เซเบอร์ด้านมืด และคิเรย์ และเขาก็ได้เทรซดาบอัญมณีของเซลเร็ชออกมาในตอนท้าย
This article uses material from the Wikipedia ไทย article อาร์เชอร์, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.