เฮาเมอา (การตั้งชื่อดาวเคราะห์น้อย: 136108 เฮาเมอา; อังกฤษ: Haumea, IPA: ; สัญลักษณ์: ) เป็นดาวเคราะห์แคระดวงหนึ่งในแถบไคเปอร์ มีมวลขนาดหนึ่งในสามของดาวพลูโต ถูกค้นพบในปี พ.ศ.
2547">พ.ศ. 2547 โดยไมเคิล อี. บราวน์ (Michael E. Brown) และทีมค้นหาจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) และหอดูดาวเมานาเคอาในสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2548 โดยโฆเซ ลุยส์ ออร์ติซ โมเรโน (José Luis Ortiz Moreno) และทีมค้นหาจากหอดูดาวซิเอร์ราเนบาดาในประเทศสเปน (แต่การอ้างว่าเป็นผู้ค้นพบของฝ่ายหลังถูกโต้แย้ง) ในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551 สหภาพดาราศาสตร์นานาชาติได้จัดดาวดวงนี้ให้อยู่ในกลุ่มของดาวเคราะห์แคระ และตั้งชื่อตามเฮาเมอา เทพีแห่งการให้กำเนิดของชาวฮาวาย
ดาวเฮาเมอาพร้อมกับ ดวงจันทร์ฮีอีอากาและดวงจันทร์นามากา | ||||
การค้นพบ | ||||
---|---|---|---|---|
ค้นพบโดย: | บราวน์และคณะ; ออร์ติซและคณะ (ยังไม่เป็นทางการทั้งคู่) | |||
ค้นพบเมื่อ: | 28 ธันวาคม พ.ศ. 2547 (บราวน์) ; กรกฎาคม พ.ศ. 2548 (ออร์ติซ) | |||
ชื่ออื่น ๆ: | 2003 EL61 | |||
ชนิดของดาวเคราะห์น้อย: | ดาวเคราะห์แคระ, พลูตอยด์, วัตถุพ้นดาวเนปจูน | |||
ลักษณะของวงโคจร | ||||
ต้นยุคอ้างอิง (JD 2,453,600.5) | ||||
ระยะจุดไกล ดวงอาทิตย์ที่สุด: | 7,708 จิกะเมตร (51.526 หน่วยดาราศาสตร์) | |||
ระยะจุดใกล้ ดวงอาทิตย์ที่สุด: | 5,260 จิกะเมตร (35.164 หน่วยดาราศาสตร์) | |||
กึ่งแกนเอก: | 6,484 จิกะเมตร (43.335 หน่วยดาราศาสตร์) | |||
ความเยื้องศูนย์กลาง: | 0.18874 | |||
คาบดาราคติ: | 104,234 วัน (285.4 ปีจูเลียน) | |||
อัตราเร็วเฉลี่ย ในวงโคจร: | 4.484 กิโลเมตร/วินาที | |||
มุมกวาดเฉลี่ย: | 198.07° | |||
ความเอียง: | 28.19° | |||
ลองจิจูด ของจุดโหนดขึ้น: | 121.90° | |||
มุมของจุด ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด: | 239.51° | |||
ดาวบริวารของ: | ดวงอาทิตย์ | |||
จำนวนดาวบริวาร: | 2 | |||
ลักษณะทางกายภาพ | ||||
มิติ: | ~1960 × 1518 × 996 กิโลเมตร (~1400 กิโลเมตร) 1150 +250 −100 กม. | |||
มวล: | (4.2 ± 0.1)×1021 กิโลกรัม | |||
ความหนาแน่นเฉลี่ย: | 2.6–3.3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร | |||
ความโน้มถ่วง ที่ศูนย์สูตร: | 0.44 เมตร/วินาที² | |||
ความเร็วหลุดพ้น: | 0.84 กิโลเมตร/วินาที | |||
คาบการหมุน รอบตัวเอง: | 0.16314 ± 0.00001 วัน (3.9154 ± 0.0002 ชั่วโมง) | |||
อัตราส่วนสะท้อน: | 0.7 ± 0.1 | |||
อุณหภูมิ: | <50 เคลวิน | |||
อุณหภูมิพื้นผิว: |
| |||
ลักษณะของบรรยากาศ |
เฮาเมอามีลักษณะพิเศษต่างจากวัตถุพ้นดาวเนปจูนเท่าที่ค้นพบแล้วดวงอื่น ๆ เนื่องจากทำมุมห่างจากดวงอาทิตย์กว้างมาก แม้ว่ายังจะไม่มีการสำรวจรูปร่างของมันโดยตรง แต่จากการคำนวณจากเส้นความสว่าง (light curve) ทำให้สันนิษฐานได้ว่าดาวเคราะห์แคระดวงนี้เป็นวัตถุทรงรี มีแกนหลักยาวเป็นสองเท่าของแกนรอง แต่กระนั้นก็เชื่อว่ามันมีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะดึงดูดตัวเองให้อยู่ในภาวะสมดุลอุทกสถิต (hydrostatic equilibrium) ได้ ดังนั้นดาวดวงนี้จึงมีลักษณะตรงตามคำจำกัดความของดาวเคราะห์แคระ สันนิษฐานว่าการทำมุมเช่นนี้ รวมทั้งลักษณะอื่น ๆ เช่น การหมุนรอบตัวเองเร็วผิดปกติ ความหนาแน่นสูง และอัตราส่วนสะท้อน (albedo) สูง (ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะชั้นน้ำแข็งบนพื้นผิว) เป็นผลมาจากการชนกันครั้งใหญ่ซึ่งทำให้เฮาเมอากลายเป็นสมาชิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของตระกูลวัตถุที่เกิดจากการชนกัน (collisional family) ของมันเองซึ่งรวมดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 2 ดวงของมันไว้ด้วย
ก่อนที่จะมีชื่อเรียกถาวร ทีมค้นหาของแคลเทคตั้งชื่อเล่นให้กับดาวดวงนี้ว่า ซานตา (Santa) เนื่องจากพวกเขาค้นพบดาวดวงนี้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2547 หลังวันคริสต์มาส เมื่อทีมค้นหาชาวสเปนประกาศการค้นพบต่อศูนย์ดาวเคราะห์น้อย (MPC) ในปี พ.ศ. 2548 ดาวดวงนี้จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า (136108) 2003 EL61 โดยตัวเลข "2003" มาจากช่วงเวลาบนภาพถ่ายการค้นพบของทีมค้นหาชาวสเปน
จากแนวทางกว้าง ๆ ซึ่งสหภาพดาราศาสตร์นานาชาติเป็นผู้กำหนดขึ้นว่า วัตถุชั้นเอกในแถบไคเปอร์จะมีชื่อเรียกตามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง (creation) ในเทวตำนานต่าง ๆ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ทีมค้นหาจากแคลเทคจึงได้ส่งชื่อทางการสำหรับทั้งดาว 2003 EL61 และดวงจันทร์ที่ค้นพบทั้งสองดวงโดยนำชื่อมาจากเทวตำนานของฮาวายเพื่อที่จะ "แสดงความเคารพต่อสถานที่ที่ดาวบริวารเหล่านั้นถูกค้นพบ" ชื่อเหล่านั้นได้รับการเสนอจากเดวิด ราบิโนวิตซ์ หนึ่งในทีมค้นหาของแคลเทค เฮาเมอาเป็นเทพีผู้ปกป้องคุ้มครองเกาะฮาวายซึ่งเป็นที่ตั้งของหอดูดาวเมานาเคอา นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นเทพีของโลก พระองค์จึงเป็นตัวแทนของหิน ซึ่งก็มีความเหมาะสม เพราะสันนิษฐานกันว่าดาว 2003 EL61 มีโครงสร้างเป็นหินแข็งเกือบทั้งหมด ไม่ได้เป็นชั้นน้ำแข็งหนาที่ห่อหุ้มแก่นหินเล็ก ๆ ไว้ (ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของวัตถุในแถบไคเปอร์ดวงอื่น ๆ ) ประการสุดท้าย เฮาเมอาเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการให้กำเนิด ตามตำนานกล่าวว่ามีเด็กหลายคนเกิดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของพระองค์ สอดคล้องกับกลุ่มของก้อนน้ำแข็งที่เชื่อว่าแตกออกมาจากดาว 2003 EL61 ระหว่างเหตุการณ์การชนกันในอดีตครั้งหนึ่ง ดวงจันทร์บริวารทั้งสองซึ่งสันนิษฐานกันว่าเกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์นี้เช่นกันจึงได้รับการตั้งชื่อตามธิดาของเฮาเมอาด้วย นั่นคือ ฮีอีอากา (Hiʻiaka) และนามากา (Namaka)
เฮาเมอามีดวงจันทร์บริวารเท่าที่ค้นพบแล้ว 2 ดวง คือ (136108) ฮีอีอากา (Hiʻiaka) และ (136108) นามากา (Namaka) ดวงจันทร์ทั้งสองถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2548 เพียงไม่กี่ปีหลังจากที่มีการบังดาวเฮาเมอาของฮีอีอากาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งการบังของฮีอีอากาจะไม่เกิดขึ้นอีกจนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2681 แต่นามากามีการบัง 5 ครั้งระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2551 ทีมของไมก์ บราวน์ได้คำนวณการโคจรและคาดว่าการบังของนามากาอาจเกิดขึ้นอีก 2-3 ปี
ฮีอีอากาซึ่งทีมแคลเทคตั้งชื่อเล่นว่า "รูดอล์ฟ" (Rudolph) นี้เป็นดวงจันทร์ดวงแรกที่ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2548 เป็นดวงจันทร์ดวงนอกและดวงที่ใหญ่ที่สุด (ประมาณ 310 กิโลเมตร) และใช้เวลา 49 วันในการโคจรรอบดาวเฮาเมอา
นามากาซึ่งมีชื่อเล่นว่า "บลิตเซน" (Blitzen) ตั้งโดยทีมแคลเทคเช่นกัน ได้รับการประกาศการค้นพบเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 นามากาเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดเล็กกว่าและอยู่รอบใน โดยโคจรรอบดาวเฮาเมอาใช้เวลาประมาณ 34 วัน สันนิษฐานว่ามีวงโคจรเป็นวงกลม ระนาบวงโคจรเอียงทำมุมประมาณ 40° จากระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ฮีอีอากา จากการสังเกตความสว่างของมันคาดว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางร้อยละ 12 ของดาวเฮาเมอาหรือประมาณ 170 กิโลเมตร และมีองค์ประกอบของพื้นผิวคล้ายกับของดวงจันทร์ฮีอีอากา
This article uses material from the Wikipedia ไทย article ดาวเฮาเมอา, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.