วิกฤติราคาอาหารโลก ที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ.
2550">พ.ศ. 2550 - 2551 เป็นภาวะที่ราคาอาหารเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมไปถึงความวุ่นวายในสังคมทั้งในประเทศที่ยากจนและประเทศพัฒนาแล้ว
สาเหตุหลักของราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกนั้นยังเป็นประเด็นที่ยังคงถกเถียงกันอยู่ สาเหตุแรกเริ่มที่ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นในปลาย พ.ศ. 2549 คือความแห้งแล้งในประเทศผู้ผลิตธัญพืชและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลไปถึงราคาปุ๋ย ค่าขนส่งอาหาร และอุตสาหกรรมการเกษตร สาเหตุอื่น ๆ นั้นรวมถึงการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว และความต้องการอาหารที่หลากหลายขึ้น (โดยเฉพาะเนื้อสัตว์) ของกลุ่มชนชั้นกลางในเอเชียที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ เมื่อประกอบกับการลดลงของสินค้าอาหารคงคลัง ล้วนมีส่วนทำให้ราคาอาหารทั่วโลกถีบตัวสูงขึ้น ส่วนสาเหตุระยะยาวนั้นยังคงสรุปไม่ได้แน่ชัด อาจมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าและการผลิตสินค้าเกษตร การให้เงินสนับสนุนช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตรในประเทศพัฒนาแล้ว การใช้อาหารไปผลิตอาหารเช่นเนื้อสัตว์และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง การเก็งกำไรในตลาดสินค้า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี พ.ศ. 2552 ราคาอาหารเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับราคาสูงสุดก่อนหน้า แต่นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าการลดลงนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ระหว่างต้นปี พ.ศ. 2549 และ 2551 ราคาเฉลี่ยทั่วโลกของข้าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 217 ข้าวสาลีร้อยละ 136 ข้าวโพดร้อยละ 125 และถั่วเหลืองร้อยละ 107 ปลายเดือนเมษายน 2551 ราคาข้าวขึ้นไปถึงปอนด์ละ 24 เซนต์ ซึ่งเป็นสองเท่าของราคาก่อนหน้านั้นเจ็ดเดือน
มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เชื่อว่าราคาเพิ่มขึ้นเป็นเพราะสาเหตุร่วมกันระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยลงในหลาย ๆ พื้นที่ การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่เพิ่มขึ้น การสำรองอาหารที่ลดน้อยลง การที่ธนาคารสหรัฐอเมริกาลดดอกเบี้ย (ทำให้ผู้คนไม่นิยมสะสมสินทรัพย์ระยะยาวด้วยเงิน และหันมาลงทุนในสินค้าอาหารแทน ทำให้อุปสงค์เพิ่ม และราคาก็เพิ่มตามไปด้วย) อุปสงค์ของผู้บริโภคในเอเชียที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก การช่วยเหลืออุดหนุนทางการเกษตรในประเทศพัฒนาแล้วก็นับเป็นสาเหตุระยะยาวอีกประการหนึ่ง
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากการใช้ผลผลิตทางการเกษตร (โดยเฉพาะข้าวโพด) ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ธัญพืชถูกนำไปใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงประมาณ 100 ล้านตันต่อปี (ปริมาณการผลิตธัญพืชในปี 2550 ทั่วโลกมีเพียงประมาณ 2,000 ล้านตัน) เมื่อชาวไร่ชาวนายิ่งใช้กำลังการผลิตเพื่อผลิตพืชเชื้อเพลิงมากกว่าปีก่อน ๆ ที่ดินและทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตอาหารก็ลดลงตามไปด้วย จึงทำให้มีอาหารสำหรับบริโภคน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนาซึ่งครอบครัวส่วนใหญ่มีเงินเพียงจำกัดสำหรับอาหารในแต่ละวัน วิกฤตินี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศยากจน ตัวอย่างเช่น การเติมน้ำมันรถยนต์หนึ่งคันด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพ ใช้ข้าวโพด (ซึ่งเป็นอาหารหลักของแอฟริกา) เท่ากับปริมาณที่ชาวแอฟริกาบริโภคในหนึ่งปี ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2550 มีการใช้ข้าวโพดเพื่อทำเชื้อเพลิงชีวภาพมากขึ้น และเมื่อมีการผูกราคาข้าวโพดไว้กับราคาน้ำมันโดยนักค้า จึงทำให้ราคาข้าวโพดสูงขึ้น และยังส่งผลไปทำให้สินค้าทดแทนอื่น ๆ ราคาเพิ่มขึ้นด้วย เริ่มต้นจากข้าวสาลีและถั่วเหลือง และตามด้วยข้าว น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันทำอาหารชนิดอื่น ๆ
แม้ว่านักวิจารณ์บางคนจะกล่าวว่าวิกฤติอาหารครั้งนี้มาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่อีกหลายคนกล่าวว่าอัตราการเติบโตของประชากรโลกลดลงอย่างมากตั้งแต่พุทธทศวรรษที่ 2520 และธัญพืชที่มีอยู่ก็มีมากกว่าจำนวนประชากรมากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณการผลิตอาหารทั้งหมดเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นจากทศวรรษที่ 2500 ถึง 2520 แต่ลดลงเล็กน้อยหลังจากนั้น ประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.6 พันล้านคนใน 2443 เป็นประมาณ 6.6 พันล้านคนในปัจจุบัน
อัตราการเติบโตที่แท้จริงของประชากรลดลงจากจุดสูงสุดที่ 87 ล้านคนต่อปีประมาณต้นทศวรรษที่ 2530 ลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 75 ล้านคนต่อปีใน พ.ศ. 2545 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจนถึง 77 ล้านคนต่อปีในพ.ศ. 2550 หากประชากรยังคงเติบโตในอัตราปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีประชากรเกือบ 9 พันล้านในภายในปี 2585
อินเดีย | จีน | บราซิล | ไนจีเรีย | |
---|---|---|---|---|
ธัญพืช | 1.0 | 0.8 | 1.2 | 1.0 |
เนื้อสัตว์ | 1.2 | 2.4 | 1.7 | 1.0 |
นม | 1.2 | 3.0 | 1.2 | 1.3 |
ปลา | 1.2 | 2.3 | 0.9 | 0.8 |
ผลไม้ | 1.3 | 3.5 | 0.8 | 1.1 |
ผัก | 1.3 | 2.9 | 1.3 | 1.3 |
แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่ในทวีปเอเชียยังคงอยู่ในชนบทและยากจน แต่การเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางนั้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก และถูกคาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะคงอยู่ต่อไป ใน พ.ศ. 2533 ชนชั้นกลางในอินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 และในจีนร้อยละ 8.6 แต่ในปี 2550 อัตราการเติบโตนั้นเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 และ 70 ตามลำดับ ฐานะที่ดีขึ้นทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนวิถีชีวิตและนิสัยการกิน โดยเฉพาะความต้องการบริโภคที่หลากหลายมากขึ้นและการกินเนื้อสัตว์มากขึ้น ซึ่งทำให้อุปสงค์ในทรัพยากรทางการเกษตรเพิ่มตามไปด้วย อุปสงค์นี้ทำให้ราคาสินค้า เช่นน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้น
หัวหน้าของสถาบันวิจัยนโยบายอาหารนานาชาติได้กล่าวไว้ในปี 2551 ว่าการเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารในกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงขึ้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ส่งเสริมให้ราคาอาหารสูงขึ้นทั่วโลก
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ราคาปุ๋ยสูงตามไปด้วย (ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนเดือนเมษายน 2551), เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติในการผลิต แม้ว่าวัตถุดิบเชื้อเพลิงฟอสซิลหลักที่ใช้สำหรับผลิตไฮโดรเจนในกระบวนการฮาแบร์-บอชจะมาจากก๊าซธรรมชาติ แต่ก๊าซธรรมชาติก็ประสบปัญหาอุปทานเช่นเดียวกับน้ำมัน เพราะก๊าซธรรมชาติเป็นสินค้าทดแทนสำหรับปิโตรเลียมในบางกรณี (เช่นในการผลิตกระแสไฟฟ้า) การที่ราคาปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นก็ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นไปด้วย
น้ำมันยังถูกใช้เพื่อการผลิตพลังงานส่วนใหญ่สำหรับการเกษตรเชิงอุตสาหกรรมและการขนส่ง ราคาพลังงานเหลวจากปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นยังทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการนำผลผลิตทางการเกษตรไปผลิตพลังงานแทนการใช้เป็นอาหาร
ในอดีต ประเทศต่าง ๆ มีการสำรองอาหารในจำนวนมากพอสมควร แต่ในปัจจุบัน ระยะเวลาการผลิตพืชที่สั้นลงและการนำเข้าสินค้าอาหารที่สะดวกมากขึ้นทำให้ความจำเป็นในการสำรองอาหารลดลง ตัวอย่างเช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ข้าวสาลีสำรองลดลงมาถึงจุดต่ำสุดในระยะเวลา 60 ปีในสหรัฐอเมริกา การที่ปริมาณอาหารสำรองลดลงอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและการปรับตัวขึ้นของราคาได้ง่ายขึ้น
การเก็บกำไรในตลาดอนุพันธ์ของสินค้าโภคภัณฑ์หลังจากที่ตลาดทางการเงินล่มส่งผลต่อวิกฤติในครั้งนี้ด้วย นักเก็งกำไรที่ต้องการผลกำไรระยะสั้นย้ายเงินลงทุนออกจากตราสารหนี้และพันธบัตรและนำเอาบางส่วนมาลงทุนในอาหารและวัตถุดิบอื่น ๆ และส่งผลกระทบทำให้ราคาอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น
This article uses material from the Wikipedia ไทย article วิกฤติราคาอาหารโลก (พ.ศ. 2550–2551), which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.