ปฏิบัติการวัลคือเรอ (เยอรมัน: Unternehmen Walküre) เป็นแผนปฏิบัติการรักษาความต่อเนื่องของรัฐบาลในวาระฉุกเฉิน ปฏิบัติการนี้ถูกคิดขึ้นโดยกองกำลังสำรอง (Ersatzheer) มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศกรณีที่ระบบรัฐบาลฮิตเลอร์เกิดภาวะสุญญากาศ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร หรือการลุกฮือขึ้นก่อจลาจลของผู้ใช้แรงงานนับล้านคนในประเทศที่ถูกเยอรมันยึดครอง
ฮิตเลอร์อนุมัติแผนวัลคือเรอฉบับแรกที่ถูกร่างขึ้นโดยพลเอกฟรีดริช อ็อลบริชท์ รองผู้บัญชาการกำลังสำรอง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 หลังหายนะที่แนวรบด้านตะวันออก แต่ต่อมา พลเอกอ็อลบริชท์, พลตรีเฮ็นนิง ฟ็อน เทร็สโค และพันเอกเคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค ได้ปรับปรุงดัดแปลงแผนดังกล่าวเสียใหม่เพื่อใช้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจควบคุมกรุงเบอร์ลิน ปลดอาวุธหน่วยเอ็สเอ็ส และจับกุมคณะผู้นำรัฐบาลนาซี โดยตั้งเป้าว่าจะใช้แผนวัลคือเรอฉบับใหม่นี้หลังจากที่ฮิตเลอร์ถูกลอบสังหารที่รังหมาป่า แผนนี้จะสำเร็จได้บนเงื่อนไขที่ว่าฮิตเลอร์ต้องตายเท่านั้น เพราะความตายของฮิตเลอร์ (มิใช่เพียงถูกจับกุม) ถือเป็นการปลดเปลื้องทหารเยอรมันจากคำปฏิญาณตนจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างไร้เงื่อนไข และหันมาภักดีต่อคณะรัฐประหารแทน แผนการดังกล่าวถูกสั่งปฏิบัติในช่วงบ่ายของวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
บทความนี้ยังไม่ได้รับการจัดหมวดหมู่ คุณสามารถช่วยปรับปรุงแก้ไข โดยการเพิ่มหมวดหมู่ที่เหมาะสมลงในบทความนี้ เพื่อจัดระเบียบบทความที่เกี่ยวข้องกัน ดูเพิ่มที่ โครงการจัดหมวดหมู่ |
แผนการดั้งเดิมได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศ โดยกองเสนาธิการของพลเอกฟรีดริช อ็อลบริชท์ และได้รับการรับรองเห็นชอบจากฮิตเลอร์เอง อันที่จริง แนวคิดในการวางแผนดึงเอากองกำลังสำรองของกองทัพบกเยอรมันในแนวหลัง (ในดินแดนเยอรมันเองหลังแนวรบ) มาใช้ในการก่อรัฐประหารเคยถูกหยิบยกขึ้นมาขบคิดก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถูกพลเอกอาวุโสฟรีดริช ฟร็อม ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ
การที่พลเอกอาวุโสฟรีดริช ฟร็อม ผู้บัญชาการกำลังสำรอง เป็นนายทหารคนเดียวที่สามารถลงนามคำสั่งเริ่มปฏิบัติการวัลคือเรอ ถือเป็นอุปสรรคต่อคณะรัฐประหารอย่างร้ายแรง แต่กระนั้น เมื่อถอดบทเรียนที่ได้รับมาหลังจากความพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์ ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1943 พลเอกอ็อลบริชท์จึงรู้สึกว่าแผนการก่อรัฐประหารฉบับเดิมนั้นไม่ดีพอ และจะต้องมีการดึงเอากำลังสำรองมาใช้ในการก่อรัฐประหารด้วยให้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือจากพลเอกอาวุโสฟร็อมก็ตาม
ปฏิบัติการวัลคือเรอฉบับเดิมมีเจตนาเพียงที่จะจัดยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมความพรั่งพร้อมและความพร้อมรบของกำลังสำรองที่มีหน่วยทหารในสังกัดต่างๆ กระจายกันอยู่เท่านั้น แต่พลเอกอ็อลบริชท์ทำการดัดแปลงโดยเพิ่มเติมส่วนที่สองของแผนการดังกล่าวเข้าไป ซึ่งทำให้กลายเป็นการเรียกระดมหน่วยต่างๆในสังกัดกำลังสำรองให้มาระดมกำลังกันโดยเร่งด่วน เพื่อจัดตั้งเป็นกองทหารขนาดใหญ่ที่พร้อมสามารถปฏิบัติการรบได้ทันที ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 พันเอกเทร็สโคพบว่า การดัดแปลงแก้ไขของพลเอกอ็อลบริชท์ก็ยังดีไม่พอ จึงได้เพิ่มเติมวัลคือเรอออกไปอีกโดยร่างคำสั่งเพิ่มเติม กำหนดให้ออกประกาศลับที่ขึ้นต้นด้วยด้วยประโยคลวง ที่ว่า:
โทรพิมพ์
- I.) ท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ถึงแก่กรรมแล้ว!
- พวกคนไร้คุณธรรมในกลุ่มผู้นำพรรค กำลังพยายามอาศัยสถานการณ์นี้ทำการแทงข้างหลังกองทัพ และยึดอำนาจไว้เอง
- II.) ในวิกฤตยิ่งเช่นนี้ รัฐบาลไรช์ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางทหารเพื่อรักษากฎระเบียบ พร้อมกันนี้ได้โอนอำนาจบริหารกองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์มายังข้าพเจ้า
- III.) ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่งการ:
- 1.) โอนอำนาจบริหาร พร้อมสิทธิ์มอบช่วงต่อ ให้กับผู้บัญชาการบนดินแดนดังต่อไปนี้
- ในเขตเคหะได้แก่ ผู้บัญชาการกำลังสำรอง พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป็นผู้บัญชาการใหญ่เขตเคหะ
- ในเขตตะวันตกได้แก่ ผู้บัญชาการใหญ่เขตตะวันตก (ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ D)
- ในอิตาลีได้แก่ ผู้บัญชาการใหญ่เขตตะวันตกเฉียงใต้ (ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ C)
- ในเขตตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ ผู้บัญชาการใหญ่เขตตะวันออกเฉียงใต้ (ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ F)
- ในประเทศตะวันออกในยึดครองได้แก่ผู้บัญชาการกลุ่มทัพยูเครนใต้, ยูเครนเหนือ, กลาง, เหนือ และผู้บัญชาการทหารแวร์มัคท์แดนตะวันออก ตามลำดับพื้นที่บัญชาการของแต่ละคน
- ในเดนมาร์กและนอร์เวย์ได้แก่ ผู้บัญชาการทหารแวร์มัคท์
- 2.) ให้ผู้ถืออำนาจบริหารเข้าบังคับเหนือ:
- a) ทหารแวร์มัคท์ทุกกรมกอง ตลอดจนวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส กองแรงงานไรช์ และองค์การท็อท ในพื้นที่ใต้บังคับ
- b) อำนาจฝ่ายรัฐทั้งหมด (ของไรช์, เยอรมนี, มลรัฐ และเทศบาล) โดยเฉพาะตำรวจรักษาความสงบ, ตำรวจรักษาความมั่นคง และตำรวจอำนวยการ
- c) เจ้าหน้าที่และหน่วยงานย่อยทั้งหมดของพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน ตลอดจนสมาคมในสังกัด
- d) บริการคมนาคมขนส่งและสาธารณูปโภค
- 3.) ให้ผนวกวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สทั้งหมดเข้ากับกองทัพบก มีผลในทันที
- 4.) ให้ผู้ถืออำนาจบริหารรับผิดชอบรักษาระเบียบความมั่นคงของส่วนรวม และเอาใจใส่ต่อ
- a) ความมั่นคงในการข่าว
- b) การขจัดตำรวจเอ็สเด
- ผู้ต่อต้านอำนาจบังคับของทหาร จะต้องถูกปราบอย่างไม่ปราณี
- ในชั่วโมงวิกฤตของปิตุภูมิเช่นนี้ ความสมานฉันท์ในกองทัพและการรักษาระเบียบวินัยคือสิ่งสำคัญที่สุด
- ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นต้องมอบหมายหน้าที่แก่ผู้บัญชาการทั้งหมดของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ให้การสนับสนุนทุกวิถีทางแก่ผู้ถืออำนาจบริหารเพื่อปฏิบัติภารกิจอันยากลำบากนี้ รวมถึงเอาใจใส่ว่าคำสั่งการของพวกเขาได้ถูกปฏิบัติตามโดยหน่วยใต้บังคับบัญชา ทหารเยอรมันกำลังยืนอยู่บนภารกิจแห่งประวัติศาสตร์ ประเทศเยอรมนีจะปลอดภัยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพลังกายพลังใจของทุกนาย
- ผู้บัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์
- (ลงนาม) ฟ. วิทซ์เลเบิน
- จอมพล
คำสั่งอย่างละเอียดถูกร่างขึ้นเพื่อใช้สำหรับการเข้ายึดที่ทำการกระทรวงทั้งหลายในกรุงเบอร์ลิน, กองบัญชาการใหญ่ของฮิมม์เลอร์ในปรัสเซียตะวันออก, สถานีวิทยุและโทรศัพท์ และสายบังคับบัญชาของระบอบนาซีในมณฑลทหารบกต่างๆ ตลอดจนค่ายกักกัน (ก่อนหน้านี้ เชื่อกันว่าพันเอกชเตาเฟินแบร์คเป็นผู้รับผิดชอบในแผนวัลคือเรอ แต่เอกสารที่ถูกค้นพบหลังจากสงครามยุติโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งเผยแพร่ในปีค.ศ. 2007 ได้ชี้ว่า แผนดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นโดยพันเอกเทร็สโคในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1943) ข้อมูลทั้งหมดถูกเขียนขึ้นและเก็บรักษาไว้โดยภรรยาและเลขานุการของพันเอกเทร็สโค ซึ่งทั้งสองคนใส่ถุงมือเพื่อปิดบังรอยนิ้วมือเอาไว้ตลอดเวลา
ใจความหลักของแผนการดังกล่าว คือการหลอกให้กำลังสำรองเข้ายึดอำนาจในกรุงเบอร์ลินและล้มล้างรัฐบาลฮิตเลอร์ โดยให้ข้อมูลเท็จว่า หน่วยเอ็สเอ็สพยายามจะก่อการรัฐประหารและได้ลอบสังหารฮิตเลอร์แล้ว ปัจจัยที่สำคัญคือ นายทหารระดับล่าง (ผู้ซึ่งแผนการนี้ถือว่าจะเป็นผู้นำแผนการไปปฏิบัติ) จะถูกลวงและกระตุ้นให้กระทำการดังกล่าว จากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า กลุ่มผู้นำรัฐบาลนาซีไม่มีความจงรักภักดีและทรยศต่อไรช์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องล้มล้างลงเสีย เหล่าผู้สมคบคิดในแผนการนี้ตั้งความหวังไว้กับการที่เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งจะยอมทำตามคำสั่ง (หลอก) ของพวกเขาด้วยดี หากคำสั่งดังกล่าวมาจากช่องทางการสั่งการและบังคับบัญชาที่ถูกต้อง กล่าวคือ ผ่านทางกองบัญชาการกำลังสำรองมา โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหลังจากฮิตเลอร์ถูกสังหารแล้ว
หากฮิตเลอร์ตายแล้ว จะมีเพียงพลเอกอาวุโสฟรีดริช ฟร็อม ผู้บัญชาการกำลังสำรองเท่านั้น ที่จะออกคำสั่งใช้ปฏิบัติการวัลคือเรอได้ ดังนั้นเขาจะต้องถูกดึงตัวเข้าร่วมกับคณะรัฐประหารหรืออย่างน้อยให้ดำรงตนเป็นกลางด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ถ้าต้องการให้แผนการดังกล่าวประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ตัวพลเอกอาวุโสฟร็อมเองก็ทราบอย่างคร่าวๆว่ามีแผนสมคบคิดในกลุ่มทหารเพื่อต่อต้านฮิตเลอร์ (นายทหารระดับสูงของเยอรมันส่วนใหญ่ก็ทราบเช่นกัน) แต่เขาก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนแผนดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อเกสตาโพแต่อย่างใดด้วย
บุคคลหลักของแผนการ คือ พันเอกเคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์ค ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการจริงหลังจากการลอบสังหารฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 พันเอกชเตาเฟินแบร์คยังได้ปรับปรุงแผนการวัลคือเรอเพิ่มเติม และด้วยตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการกำลังสำรอง ทำให้เขาสามารถเข้าถึงตัวฮิตเลอร์ในการรายงานต่าง ๆ ได้ ในตอนแรก พันเอกเทร็สโคและพันเอกชเตาเฟินแบร์คได้พยายามเสาะหานายทหารคนอื่นๆ ที่สามารถเข้าถึงตัวฮิตเลอร์และสามารถลงมือลอบสังหารเขาได้ ซึ่งพลเอกเฮลมูท ชตีฟ ผู้อำนวยการโครงสร้างบุคลากรของกองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมัน ก็ได้อาสาที่จะเป็นมือสังหารฮิตเลอร์แต่ได้ถอนตัวออกไปในภายหลัง เทร็สโคพยายามหลายครั้งในการขอโอนย้ายตัวเองไปอยู่ในกองบัญชาการใหญ่ของฮิตเลอร์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุด พันเอกชเตาเฟินแบร์คจึงตัดสินใจที่จะลงมือเองในการปฏิบัติการลอบสังหารฮิตเลอร์และปฏิบัติการวัลคือเรอไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่จะสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากความพยายามสองครั้งไม่ประสบผล ชเตาเฟินแบร์คจึงแอบลอบวางระเบิดไว้ในห้องประชุมในกองบัญชาการสนาม "รังหมาป่า" (มณฑลปรัสเซียตะวันออก) ในวันที่ 20 กรกฎาคม เพื่อสังหารฮิตเลอร์ ส่วนตนเองก็รีบออกจากรังหมาป่าบินกลับมาดำเนินการตามแผนการต่อในกรุงเบอร์ลิน อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์รอดชีวิตมาจากการลอบวางระเบิดดังกล่าวมาได้
หลังจากที่พลเอกอาวุโสฟร็อมได้รับยืนยันว่าฮิตเลอร์ไม่ได้ถูกสังหารโดยการลอบวางระเบิด เขาจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตพลเอกอ็อลบริชท์, พันเอกอัลเบร็ชท์ แมทซ์ ฟ็อน เควียร์นไฮม์, พันเอกชเตาเฟินแบร์ค, และร้อยโทแวร์เนอร์ ฟ็อน เฮ็ฟเทิน ทั้งหมดถูกนำตัวไปยิงประหารในลานของกองบัญชาการใหญ่เบนด์เลอร์บล็อก ไม่นานหลังเที่ยงคืน 21 กรกฎาคม 1944
อย่างไรก็ตาม หลังการสั่งประหารผู้สมคบก่อการในปฏิบัติการวัลคือเรอแล้ว ต่อมา ตัวพลเอกอาวุโสฟร็อมเองก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากชะตากรรมเดียวกันได้ เขาถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคนาซี กล่าวหาว่า จงใจเร่งสั่งประหารชีวิตผู้ร่วมก่อการพยายามรัฐประหารดังกล่าว (แทนที่จะเก็บตัวไว้ก่อนเพื่อไต่สวนต่อไป) เพื่อปิดปากมิให้มีการให้การพาดพิงมาถึงตัวพลเอกอาวุโสฟร็อมเองว่าเคยมีส่วนรู้เห็นในแผนการดังกล่าวด้วย พลเอกอาวุโสฟร็อมถูกสอบสวน ถูกถอดยศ และถูกประหารชีวิตในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1945 ที่บรันเดินบวร์ค จากความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดร้ายแรงและล้มเหลวในการรายงานผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับความพยายามก่อรัฐประหาร แม้ทางการนาซีเยอรมันจะไม่สามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิบัติการวัลคือเรอก็ตาม
This article uses material from the Wikipedia ไทย article ปฏิบัติการวัลคือเรอ, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.