ความรุนแรงทางเพศระหว่างการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย เกิดขึ้นจากกองทัพรัสเซีย ซึ่งใช้การข่มขืนกระทำชำเราเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการทำสงคราม ตามรายงานของคณะกรรมการสอบสวนอิสระระหว่างประเทศในยูเครน ผู้ที่ถูกทหารรัสเซียประทุษร้ายทางเพศนั้นมีอายุตั้งแต่ 4 ปี ไปจนถึงกว่า 80 ปี
ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเผยแพร่รายงานว่าด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนและอาชญากรรมสงครามในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 บทคัดย่อของรายงานฉบับนี้ระบุว่า "นอกจากนี้ คณะกรรมการสอบสวนอิสระระหว่างประเทศในยูเครนยังระบุพบรูปแบบการประหารชีวิตอย่างรวบรัด การกักขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การทรมาน การปฏิบัติอย่างทารุณ และการข่มขืนกระทำชำเราและความรุนแรงทางเพศอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่กองทัพรัสเซียยึดครองทั่วแคว้นทั้งสี่ที่คณะกรรมการฯ เน้นสอบสวน ผู้คนถูกควบคุมตัว บางคนถูกเนรเทศไปยังสหพันธรัฐรัสเซียโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหลายคนยังคงมีรายงานว่าสูญหาย ความรุนแรงทางเพศส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายทุกวัย ผู้เสียหายซึ่งรวมถึงเด็กบางครั้งถูกบังคับให้รู้เห็นอาชญากรรม เด็ก ๆ ตกเป็นผู้เสียหายจากการละเมิดทุกรูปแบบที่คณะกรรมการฯ ได้สอบสวน ซึ่งรวมถึงการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย การทรมาน และการข่มขืนกระทำชำเรา และต้องเผชิญกับผลที่ตามมาทางจิตใจซึ่งคาดได้ว่าจะเกิดขึ้น"
ในรายงานที่ครอบคลุมช่วงแรกของการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึง 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) ได้ระบุความเสี่ยง 4 ประเภทที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงทางเพศ กล่าวคือ การปรากฏตัวและกิจกรรมทางทหารที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่พลเรือน การทำลายบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน การพลัดถิ่นภายในประเทศ และผู้หญิงและเด็กหญิงจำนวนมากที่เดินทางออกจากยูเครนได้ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อความรุนแรงทางเพศและการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้ง สำนักงานฯ ตั้งข้อสังเกตว่ายอดการแจ้งเหตุผ่านสายด่วนระดับชาติชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงสูงต่อความรุนแรงทางเพศ และระบุว่ามีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลให้ยอดการแจ้งเหตุต่ำกว่าความเป็นจริง
หลังจากที่แคว้นเคียฟได้รับการปลดปล่อยเมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 และหลังจากที่มีรายงานการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา การประทุษร้ายทางเพศโดยใช้ปืนขู่บังคับ และการข่มขืนกระทำชำเราต่อหน้าเด็ก เดอะการ์เดียน กล่าวว่าผู้หญิงยูเครนกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากการข่มขืนกระทำชำเราในฐานะอาวุธสงคราม เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2565 สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่าตนได้รับรายงานข้อกล่าวหาว่าด้วยความรุนแรงทางเพศที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้ง 108 ข้อกล่าวหา และได้พิสูจน์ยืนยันคดีต่าง ๆ ไปแล้ว 23 คดี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2565 สำนักงานฯ รายงานว่าได้จดบันทึกคดีความรุนแรงทางเพศที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้ง 86 คดี ซึ่งรวมถึงการข่มขืนกระทำชำเรา การร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา การบังคับให้เปลือยกาย และการบังคับให้เปลื้องผ้าในที่สาธารณะ โดยผู้ก่อคดีส่วนใหญ่คือสมาชิกกองทัพรัสเซียหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจรัสเซีย สำนักงานฯ ยังรายงานด้วยว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของยูเครนกำลังสืบสวนคดีความรุนแรงทางเพศ 43 คดี
องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ประณามการใช้ความรุนแรงทางเพศเป็นอาวุธสงคราม เฮ็ลกา มารีอา ชมิท เลขาธิการองค์การฯ "เรียกร้องให้เร่งยุติการใช้การข่มขืนกระทำชำเราและอาชญากรรมทางเพศอื่น ๆ เป็นยุทธวิธีในการทำสงครามในยูเครน" องค์การฯ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง การดำเนินคดีเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศระหว่างสงคราม และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 องค์การฯ เข้าร่วมการรณรงค์ 16 วันแห่งการเคลื่อนไหวต่อต้านความรุนแรงบนพื้นฐานของเพศสภาพ และเรียกร้องให้ "ยุติการใช้การข่มขืนกระทำชำเรา ความรุนแรงทางเพศ และอาชญากรรมทางเพศอื่น ๆ เป็นยุทธวิธีในการทำสงครามในยูเครน"
พรามิลา แพตเทิน ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติว่าด้วยความรุนแรงทางเพศในความขัดแย้ง กล่าวว่า "เมื่อผู้หญิงถูกคุมขังไว้หลายวันและถูกข่มขืน เมื่อผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เริ่มถูกข่มขืน เมื่อคุณเห็น [รายงาน] การตัดอวัยวะเพศอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณได้ยินผู้หญิงให้การเป็นพยานว่าทหารรัสเซียพกไวอากร้ามาด้วย นั่นแหละคือกลยุทธ์ทางทหารอย่างชัดเจน" เธอยังระบุด้วยว่าคดีต่าง ๆ ที่ได้รับรายงานในปัจจุบันนั้นเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" อีรือนา แวแนดิกตอวา อัยการสูงสุดยูเครน ให้ความเห็นว่าการกระทำที่รุนแรงทางเพศได้รับการรายงานน้อยมากเนื่องจากความยากลำบากที่ผู้สืบสวนต้องเผชิญในพื้นที่ที่ถูกรัสเซียยึดครองและความหวาดกลัวและความอับอายที่ผู้รอดชีวิตต้องประสบ "การสอบสวนอาชญากรรมทางเพศในดินแดนที่ถูกยึดครองขณะที่เรายังอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางทหารนั้นเป็นเรื่องยากมาก" แวแนดิกตอวากล่าว "มันยากมาก เพราะที่จริงแล้วผู้เสียหายก็กลัว"
ในพื้นที่ที่ได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของรัสเซีย มีรายงานเหตุรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กผุดขึ้นจำนวนมาก หลักฐานการร่วมก่อเหตุรุนแรงทางเพศเริ่มได้รับการเปิดเผยตั้งแต่ช่วงต้นของความขัดแย้ง ข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศโดยทหารรัสเซียในพื้นที่ที่ถูกยึดครองสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัยการสามารถเริ่มดำเนินคดีทางอาญาและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการสอบสวนได้ สำนักงานอัยการสูงสุดยูเครนระบุว่าพวกเขากำลังจดบันทึกการกระทำรุนแรงทางเพศต่อพลเรือนในทุกพื้นที่ที่ทหารรัสเซียยึดครอง หลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่านอกเหนือจากผู้หญิงแล้ว ยังมีการกระทำรุนแรงทางเพศต่อผู้ชายและเด็กด้วย
สหประชาชาติ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป และองค์การด้านมนุษยธรรมต่างยืนยันว่าทหารรัสเซียก่อความรุนแรงทางเพศอย่างกว้างขวางในยูเครน สหประชาชาติรายงานเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ว่าข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้จดบันทึกกรณีความรุนแรงทางเพศมากกว่า 90 กรณีในพื้นที่ที่ถูกรัสเซียยึดครอง
เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงาน "หลักฐานที่แพร่หลายของความรุนแรงทางเพศโดยกองทัพรัสเซียซึ่งเจ้าหน้าที่สืบสวนของยูเครนและนานาชาติจดบันทึกไว้" อันนา ซอซอนสกา เจ้าหน้าที่สืบสวนในสำนักงานอัยการสูงสุดยูเครนกล่าวว่า "เรากำลังพบปัญหาความรุนแรงทางเพศนี้ในทุก ๆ ที่ที่รัสเซียยึดครอง ... ทุก ๆ ที่ ทั้งแคว้นเคียฟ แคว้นแชร์นีฮิว แคว้นคาร์กิว แคว้นดอแนตสก์ และที่แคว้นแคร์ซอนนี้ด้วย" บีบีซีนิวส์รายงานหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศที่แพร่หลายในแคว้นเคียฟขณะที่ถูกรัสเซียยึดครอง
นับตั้งแต่ที่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน หน่วยความมั่นคงยูเครนได้ดักฟังและเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาในรูปแบบต่าง ๆ ของทหารและเจ้าหน้าที่รัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนทนาทางโทรศัพท์ คลิปเสียงเหล่านี้หลายคลิปมีการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงทางเพศ
เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2565 โทรอนโตซัน รายงานการสนทนาทางโทรศัพท์ที่ถูกดักฟัง ที่ซึ่ง "ภรรยาชาวรัสเซียคนหนึ่งตั้งกฎเหล็ก 2 ข้อหลังจากที่อนุญาตให้สามีทหารของเธอข่มขืนผู้หญิงระหว่างการรุกรานยูเครน" เธอบอกสามีว่า "ข่มขืนพวกมันเลย เออ ไม่ต้องเล่าอะไรทั้งนั้น เข้าใจนะ? ... เออ ฉันอนุญาต แค่ป้องกันก็พอ"
เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2565 หน่วยความมั่นคงยูเครนเผยแพร่คลิปเสียงของทหารรัสเซียนายหนึ่งซึ่งเล่าให้คู่สนทนาฟังทางโทรศัพท์ว่า "คนท้องถิ่นเกลียดพวกเราหมด ทหารฝั่งเราไปข่มขืนผู้หญิงที่นี่"
เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2566 อูกรายินสกาเปราดา เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ที่ถูกดักฟัง ที่ซึ่งทหารรัสเซียนายหนึ่งเล่าประสบการณ์ความรุนแรงทางเพศของกองกำลังฝ่ายตนในยูเครนและขอบเขตอันกว้างขวางของความรุนแรงดังกล่าว:
"ตอนที่พวกเราทิ้งลือมัน พวกเราฆ่าแม่งหมดที่นั่น ... ไอ้พวกคะโคล [คำเรียกชาวยูเครนในเชิงดูหมิ่น] ... พวกเราข่มขืน แทงพวกแม่งที่นั่น ยิงพวกมัน ฆ่าพวกแม่งหมด ที่ลือมัน ที่ตอร์สแก พวกเราเดิน ๆ ไปยิงแม่งหมด ผู้ชายที่อายุน้อย ๆ พวกเราคุมตัวพวกมันไป ส่วนผู้หญิงสาว ๆ พวกนี้ โดนเย็ด โดนแทง โดนยิงทิ้ง"
มีกรณีอย่างน้อย 2 กรณีที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงและเด็กซึ่งมีรายงานว่าถูกฉวยโอกาสระหว่างที่พวกเธอพยายามหนีภัยสงครามในยูเครน ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ชายคนหนึ่งถูกจับกุมในโปแลนด์ด้วยข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้ลี้ภัยอายุ 19 ปีที่แสวงหาที่พักพิงและความช่วยเหลือจากเขา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าชาย 2 คนได้ทำร้ายวัยรุ่นชาวยูเครนคนหนึ่งซึ่งพักอยู่ในที่พักสำหรับผู้ลี้ภัยในเยอรมนี ก่อนที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะเปิดตัวแผนการเคหะสำหรับผู้ลี้ภัย หญิงคนหนึ่งรายงานเหตุการณ์ที่ซึ่งชายคนหนึ่งพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอไปอยู่กับเขา เขาเสนอที่อยู่อาศัย อาหาร ค่าใช้จ่าย และเบี้ยเลี้ยงรายเดือนฟรีเพื่อแลกกับการมีเพศสัมพันธ์ เธอพยายามปฏิเสธการรุกจีบของชายคนนั้นซึ่งหยุดรังควานเธอก็ต่อเมื่อเธอบอกเขาว่าเธอเดินทางมากับแม่
สหประชาชาติพบว่าผู้เสียหายจากความรุนแรงทางเพศที่รัสเซียก่อขึ้นในยูเครนนั้นรวมถึงเด็กที่มีอายุเพียง 4 ปี และผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 80 ปี
ที่แคว้นเคียฟในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 ทหารรัสเซีย 2 นายบุกเข้าบ้านหลังหนึ่งและก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวซึ่งได้แก่สามี ภรรยา และลูกสาวอายุ 4 ปี หญิงอายุ 83 ปีคนหนึ่งถูกทหารรัสเซียนายหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราในบ้านต่อหน้าต่อตาสามีพิการของเธอ และหญิงอายุ 56 ปีอีกคนหนึ่งถูกทหารรัสเซีย 2 นายรุมข่มขืนกระทำชำเราหลังจากบุกปล้นบ้าน ไม่กี่สัปดาห์ถัดมาเธอได้ทราบข่าวว่าทหารรัสเซียได้ทรมานและสังหารสามีของเธอ
ในช่วงปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 คณะผู้สืบสวนจากคณะกรรมการสอบสวนอิสระระหว่างประเทศในยูเครน ออกแถลงการณ์ที่ระบุว่าคณะกรรมการฯ "ได้จดบันทึกคดีที่ซึ่งเด็กถูกข่มขืนกระทำชำเรา ทรมาน และกักขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย" และเรียกพฤติการณ์เหล่านี้ว่าอาชญากรรมสงคราม รายงานเดียวกันนี้ยังกล่าวถึงเด็กที่ถูกสังหารและบาดเจ็บจากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของรัสเซีย ตลอดจนเด็กที่ถูกพรากจากครอบครัวและถูกลักพาตัวไปด้วย
ตามข้อมูลในชุดข้อมูลความรุนแรงทางเพศระหว่างการขัดกันด้วยอาวุธ มีรายงานความรุนแรงทางเพศโดยกองกำลังรัสเซียในช่วง 3 ปีจาก 7 ปีของความขัดแย้งในภาคตะวันออกของยูเครนนับตั้งแต่ พ.ศ. 2557
ในช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 อีรือนา แวแนดิกตอวา อัยการสูงสุดยูเครน เริ่มการสอบสวนข้อกล่าวหาที่ว่าทหารรัสเซียยิงชายคนหนึ่งแล้วข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของชายคนนั้น เดอะไทมส์ เผยแพร่บทสัมภาษณ์หญิงคนดังกล่าว เธอระบุว่าเธอมาจากหมู่บ้านบอห์ดานิวกาในเขตบรอวารือ แคว้นเคียฟ ตามคำให้การของเธอ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ทหารรัสเซียมาที่หน้าบ้านของเธอกับสามี พวกเขายิงสุนัขของที่บ้านและยิงสามีที่ออกไปเปิดประตูรั้วก่อนที่จะบุกเข้าบ้านมาบอกเธอว่า "เธอไม่มีผัวแล้ว ฉันเอาปืนนี่ยิงมัน มันเป็นพวกฟาสซิสต์" จากนั้นทหารรัสเซียก็ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเธอหลายครั้งตลอดหลายชั่วโมงโดยถือปืนจ่อศีรษะเธอไปด้วย พวกเขาดื่มเหล้าหนักจนในที่สุดก็ "เมาแทบยืนไม่อยู่" สุดท้ายหญิงคนดังกล่าวใช้จังหวะที่ทหารรัสเซียเมาหลับ รีบหนีออกไปพร้อมกับลูกชายซึ่งอยู่ในบ้านเช่นกันขณะเกิดเหตุทั้งหมด ต่อมาผู้ถูกกล่าวโทษว่าข่มขืนกระทำชำเราถูกระบุตัวได้จากโพรไฟล์ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมดูซา เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้และอาชญากรรมที่คล้ายคลึงกันในหมู่บ้านบอห์ดานิวกา ดมีตรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็น "เรื่องโกหก" ทางการยูเครนออกหมายจับทหารรัสเซียที่ถูกระบุตัวได้ในคดีนี้ตาม "ข้อต้องสงสัยว่าละเมิดกฎหมายและประเพณีสงคราม" คดีนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและได้รับการกล่าวถึงในรายงานว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในยูเครนระหว่างการรุกรานของรัสเซียที่สำนักงานฯ เผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565
ฮิวแมนไรตส์วอตช์รายงานว่าเมื่อวันที่ 13 มีนาคม มีการทุบตีและข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุ 31 ปีคนหนึ่งในหมู่บ้านมาลารอฮันในเขตคาร์กิว แคว้นคาร์กิว ซึ่งในเวลานั้นถูกกองทัพรัสเซียควบคุมอยู่ รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่ามีทหารรัสเซียนายหนึ่งบุกเข้าไปในโรงเรียน จากนั้นทุบตีและใช้ปืนขู่บังคับข่มขืนกระทำชำเราหญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่กับครอบครัวและชาวบ้านคนอื่น ๆ
บีบีซีนิวส์สัมภาษณ์หญิงอายุ 50 ปีจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเคียฟไปทางทิศตะวันตก 70 กิโลเมตร หญิงคนนี้เล่าว่าเธอถูกนักรบเชเชนฝ่ายรัสเซียคนหนึ่งใช้ปืนขู่บังคับข่มขืนกระทำชำเราเธอและยิงสามีที่พยายามขัดขวางจนเสียชีวิต ชาวบ้านในละแวกนั้นเล่าว่าก่อนหน้านี้หญิงอายุ 40 ปีคนหนึ่งก็ถูกนักรบคนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราและสังหาร เหลือไว้เพียงสิ่งที่บีบีซีนิวส์บรรยายว่าเป็น "สถานที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญ"
หลังจากการปลดปล่อยแคว้นเคียฟเมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 อานาตอลีย์ แฟดอรุก นายกเทศมนตรีนครบูชา ระบุว่ามีรายงานการข่มขืนกระทำชำเราอย่างน้อย 25 ครั้งระหว่างการสังหารหมู่ที่นครบูชา เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานการพบร่างของ "หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับเป็นทาสกาม ร่างกายเปลือยเปล่าเหลือเพียงเสื้อคลุมขนสัตว์ และถูกขังอยู่ในห้องเก็บมันฝรั่งก่อนถูกยิงศีรษะ" ในนครดังกล่าว
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 เดอะซันเดย์ไทมส์ รายงานเกี่ยวกับอดีตทหารยูเครน 2 นายที่ถูกทหารรัสเซียทรมานและตอนอวัยวะเพศด้วยมีดระหว่างการคุมขัง ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวในการแลกเปลี่ยนเชลยศึก นักจิตวิทยาที่กำลังรักษาชายทั้งสองกล่าวว่าเธอเคยได้ยินกรณีคล้ายกันนี้มาแล้วหลายกรณีจากเพื่อนร่วมงานของเธอ รายงานฉบับเดียวกันยังระบุด้วยว่าแพทย์ที่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในนครปอลตาวารายงานกรณีของผู้หญิงที่ถูกทหารรัสเซียข่มขืนกระทำชำเราแล้วฉีดกาวยาแนวหน้าต่างเข้าไปในอวัยวะเพศเพื่อทำให้พวกเธอไม่สามารถมีลูกได้
ผู้หญิงหลายคนรวมตัวกันประท้วงหน้าสถานทูตและสถานกงสุลรัสเซียในประเทศต่าง ๆ เพื่อต่อต้านการข่มขืนกระทำชำเราของทหารรัสเซียระหว่างการรุกรานยูเครน พวกเธอประท้วงโดยเอาถุงคลุมศีรษะ มัดมือไพล่หลัง และเปลือยท่อนขาที่ราดด้วยของเหลวสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเลือด เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2565 มีผู้หญิง 4 คนยืนประท้วงในลักษณะดังกล่าวที่กรุงดับลิน ไอร์แลนด์ และผู้หญิงอีก 80 คนยืนประท้วงที่กรุงวิลนีอัส ลิทัวเนีย จากนั้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน มีผู้หญิง 130 คนยืนประท้วงในลักษณะเดียวกันที่หน้าสถานทูตรัสเซีย ณ กรุงรีกา ลัตเวีย และผู้หญิงอีกหลายสิบคนยืนประท้วงที่หน้าสถานกงสุลใหญ่รัสเซีย ณ นครกดัญสก์ โปแลนด์
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 สำนักงานอัยการสูงสุดยูเครนรายงานว่ามีการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางเพศที่ทหารรัสเซียก่อขึ้น "หลายสิบคดี" ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565 มีรายงานว่าทางการยูเครนกำลังสืบสวนคดีความรุนแรงทางเพศ 43 คดี
อีรือนา ดีแดนกอ อัยการยูเครน ระบุในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ว่าสำนักงานของเธอได้เปิดคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำรุนแรงทางเพศที่ทหารรัสเซียก่อขึ้นแล้ว 154 คดี แต่เตือนว่าตัวเลขอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอาจสูงกว่านี้มาก พวกเธอระบุว่าแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพจิตได้ประเมินแล้วว่าผู้หญิงหนึ่งในเก้าคนในแคว้นเคียฟเคยประสบความรุนแรงทางเพศระหว่างการยึดครองของรัสเซีย ดีแดนกอเสริมว่าผู้รุกรานจากรัสเซียมีรูปแบบพฤติกรรมที่ชัดเจน กล่าวคือ "เมื่อกองกำลังภาคพื้นดินมาถึง การข่มขืนก็จะเริ่มในวันที่สองหรือสาม"
The Security Service of Ukraine (SSU) has intercepted a telephone conversation between occupiers which testifies to the fact that the Russians killed civilians and raped women during their retreat from Lyman, Donetsk Oblast. ... 'When we surrendered Lyman, we slaughtered everyone out there, f**king khokhols [a derogatory Russian term for Ukrainians]... We raped them, slaughtered them, shot them. In Lyman and Torske, we just walked around shooting everyone. All the men who were younger were taken to us out there, and the women, young ones: they were all f**ked, slaughtered, shot.'
We are finding this problem of sexual violence in every place that Russia occupied," said Ms. Sosonska, 33 [an investigator with the Ukraine's prosecutor general's office]. "Every place: Kyiv region, Chernihiv region, Kharkiv region, Donetsk region and also here in Kherson region.
Prosecutor General of Ukraine has documented more than 100 cases of sexual violence, with the youngest victim being only 4 years old, and the oldest over 80. However, as Olena Zelenska stressed, "these are only those cases where the victims found the strength to testify."
Most recently, following Russia’s illegal invasion of Ukraine, our sanctioning of over 1,200 individuals including members of the Russian military responsible for atrocities
Since Russia's soldiers first stormed Ukraine, women have been gang-raped, men castrated, children sexually abused, and civilians forced to parade naked in the streets, according to the United Nations.
As the war in Ukraine enters its 10th month, and as the Ukrainian military has begun to recover ground previously occupied by the Russians, new evidence of systematic campaigns of rape and torture has come to light. There had previously been troubling reports of widespread use of sexual violence against civilians, along with other clear violations of international laws that compel combatants to protect civilians.
A U.N. report says Russian forces committed an array of war crimes, including summary executions, torture, rape and other acts of sexual violence against Ukrainian civilians.
Russia is using rape and sexual violence as part of its "military strategy" in Ukraine, a UN envoy said this week ... "When you hear women testify about Russian soldiers equipped with Viagra, it's clearly a military strategy," Pramila Patten, UN Special Representative on Sexual Violence in Conflict, said in an interview with AFP on Thursday.
Pramila Patten, the U.N.'s special representative on sexual violence in conflict, told AFP in an interview that Russian forces have been carrying out sexual assault as a "deliberate tactic to dehumanize the victims," part of its military strategy. "When you hear women testify about Russian soldiers equipped with Viagra, it's clearly a military strategy," she said. Patten said the U.N. has verified more than a hundred cases of rape or sexual assault since the war began in February, and the first cases were reported just three days after Russia launched its full-scale invasion.
The prosecutor general's office said last week there are "several dozen" criminal proceedings underway involving sexual violence committed by Russian military personnel. But police, prosecutors and counselors say the true number is likely far larger, in part because of reluctance to report such attacks.
Stories of rape and other atrocities at the hands of Russian troops are not unheard of in small towns and suburbs of Kyiv. Residents of Bucha and Borodyanka have reported human rights violations including rape, murder and torture by Russian forces during the invasion.
Today, on the International Day for the Elimination of Sexual Violence in Conflict, OSCE Secretary General Helga Maria Schmid called for an urgent end to the use of rape and other sexual crimes as a tactic of war in Ukraine and elsewhere in the OSCE region and beyond.
Pramila Patten, the U.N. special representative on sexual violence in conflict, called that only the "tip of the iceberg" of "the most constantly and massively underreported allegation."
NPR's Leila Fadel talks to British lawmaker Arminka Helić about how rape and sexual violence are being used as weapons in Russia's war on Ukraine.
The number of reports that have emerged since the start of the war in late February suggests that rape in Ukraine at the hands of Russian soldiers may be widespread. Those fears were further crystallized earlier this month following the Russian withdrawal from Bucha, a suburb of the capital Kyiv, where some two dozen women and girls were "systematically raped" by Russian forces, according to Ukraine's ombudswoman for human rights, Lyudmyla Denisova.
Ukrainian officials say Russian forces have been sexually abusing women, children and men since the invasion began, using rape and other sexual offenses as weapons of war. Human rights groups and Ukrainian psychologists who CNN spoke to say they have been working around the clock to deal with a growing number of sexual abuse cases allegedly involving Russian soldiers. A report by the Organization for Security and Cooperation in Europe (OSCE), released on April 13, found violations of international humanitarian law by Russian forces in Ukraine, noting that "reports indicate instances of conflict-related gender-based violence, such as rape, sexual violence or sexual harassment."
Russia's war on Ukraine: Sexual violence as a weapon of war
This article uses material from the Wikipedia ไทย article ความรุนแรงทางเพศระหว่างการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.