บัญญัติ หรือ ที่ในภาษาบาลีเขียนว่า ปญฺญตฺติ คือ สิ่งที่จิตคิดค้นขึ้นเองโดยอาศัยปรมัตถธรรมที่เป็นอารมณ์ในวาระจิตก่อนๆ.
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
บัญญัติจึงไม่มีอยู่จริง เพราะไม่ได้ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นได้แค่อารมณ์ของจิตเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการเป็นปัจจยุปบัน ไม่สามารถเป็นผลของเหตุได้. บัญญัติจึงไม่มีสังขตลักษณะ คือ ไม่เกิด ไม่ดับ. ตัวอย่างของบัญญัติ เช่น อัตตา, ต้นไม้, กสิณปฏิภาคนิมิต, อนิจจตา (ไม่ใช่อนิจจัง) เป็นต้น.
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้มากมายนับไม่ได้ สาเหตุที่ท่านแสดงไว้มากมายนั้น ก็เพื่อให้ปัญญาเจริญนั่นเอง. ในอภิธัมมัตถสังคหะ นั้นจัดไว้ ๒ หมวด คือ อัตถบัญญัตติ (กสิณปฏิภาคนิมิตเป็นต้น) กับ นามบัญญัตติ (ชื่อว่า "ต้นไม้" เป็นต้น). อนึ่ง นามบัญญัติ ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัททบัญญัติ.
ลำดับวาระดังนี้: วาระที่เห็นสี เป็นวาระจักขุทวารวิถี ทางปัญจทวาร, วาระต่อเนื่องกันที่คิดถึงสี เป็นวาระอตีตัคคหณวิถี ทางมโนทวาร, วาระที่คิดถึงสีโดยไม่จำแนกรายละเอียด เป็นวาระสมูหัคคหณวิถี ทางมโนทวาร, วาระที่คิดถึงกลุ่มก้อนของสี เป็นวาระอัตถัคคหณวิถี ทางมโนทวาร, วาระที่คิดถึงคำเรียกขานของสี หรือของกลุ่มก้อนของสี เป็นวาระนามัคคหณวิถี ทางมโนทวาร. อนึ่งวาระทางมโนทวารทั้งหมดข้างต้น สมัยนี้นิยมเรียกว่า "ตทนุวัตติกะมโนทวาร".
การแปลเรื่องบัญญัติมักมีการแปลที่ผิดหลักความเป็นจริงอยู่บ่อยๆ คือ แปลให้บัญญัติกลายเป็นปรมัตถ์ เช่น แปลว่า "บัญญัติอาศัยปรมัตถ์เกิดขึ้น" เป็นต้น ซึ่งเป็นการแปลที่ขัดกับข้อเท็จจริงตามหลักปัฏฐานที่ว่า บัญญัติเป็นได้แค่อารัมมณปัจจัยเท่านั้น บัญญัติไม่สามารถเป็นปัจจยุปบันได้เลย แต่เมื่อแปลให้เกิดความเข้าใจไปว่า บัญญัติสามารถอาศัยปรมัตถ์ได้ ก็จะทำให้บัญญัติกลายเป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง (สังขตธรรม) ขึ้นมาทันที ทั้งๆ ความจริงแล้วบัญญัติเป็นปัจจยุปบันไม่ได้ตามหลักปัฏฐาน.
การแปลที่ถูกต้องตรงตามหลักปัฏฐาน จึงควรโยคสภาวะธรรมที่เกี่ยวข้องกันมาใส่ด้วยให้ครบถ้วนตามหลักบาลี เช่น จากที่แปลว่า "บัญญัติอาศัยปรมัตถ์เกิดขึ้น" ก็ควรโยคจิตเข้ามาเป็น "จิตอาศัยปรมัตถ์ รู้บัญญัติ" โดยในคำแปลที่แก้แล้วนั้นมีอธิบายแยกลงไปว่า คำว่า "จิต" นั้น โยคเพิ่มเข้ามาได้เพราะ คำว่า "อาศัยปรมัตถ์" นั้น ต้องการปัจจยุปบันของปรมัตถ์ เมื่อบัญญัติเป็นปัจจยุปบันของปรมัตถ์ไม่ได้ ก็ต้องหาต้นตอของบัญญัติที่เป็นปัจจยุปบันได้แล้วโยคเข้ามาให้ครบตามหลักบาลี, ส่วนคำว่า "รู้" นั้น ก็โยคมาจากความหมายของบัญญัติที่ว่า "ปัญญาปิยตา (อัตถบัญญัติ)" กับ "ปัญญาปนโต (นามบัญญัติ)". คำโยคเหล่านี้ ถ้าคิดไม่ออก ในพระไตรปิฎก อรรถกถา และฏีกาต่างๆ ก็มักจะแสดงไว้ให้อยู่แล้ว แต่ต้องรอบคอบ ดูเรื่องปัจจัยปัจจยุปบัน และกฎไวยากรณ์ต่างๆ ให้ดี เพื่อไม่ให้โยคผิดพลาด.
ตามคัมภีร์ฝ่ายศาสนา ท่านให้ความหมายของขันธ์ กับ ไตรลักษณ์ไว้คู่กัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน ดังนี้ :-
อนิจจลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ซึ่งได้แก่ อาการความเปลี่ยนแปลงไปของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 เคยเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อาการที่ขันธ์ 5 เคยมีขึ้นแล้วก็ไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.
สำหรับแหล่งข้อมูลในคัมภีร์ที่กล่าวถึงไตรลักษณ์นัยที่เป็นบัญญัติ เท่าที่ค้นพบมีดังนี้ :-
This article uses material from the Wikipedia ไทย article บัญญัติ (ศาสนาพุทธ), which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.