แนวรบด้านตะวันตก ของการสู้รบบนภาคพื้นทวีปยุโรปในสงครามโลกครั้งที่สองโอบล้อมบริเวณพื้นที่ตั้งแต่เดนมาร์ก นอร์เวย์ ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และภาคตะวันตกของเยอรมนี ปฏิบัติการทางทหารในสงครามโลกครั้งที่สองบริเวณยุโรปตอนใต้และบริเวณอื่นๆ ถูกจัดว่าไม่เกี่ยวกับแนวรบด้านตะวันตกนี้ การต่อสู้ในแนวรบด้านตะวันตกถูกแบ่งโดยปฏิบัติการสู้รบครั้งใหญ่ๆ ด้วยกันสองครั้ง คือ ช่วงแรกที่เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และฝรั่งเศส ยอมจำนนต่อกองทัพนาซีเยอรมนีในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ค.ศ.
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
1940 ภายหลังจากที่พ่ายแพ้การสู้รบในกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำและในพื้นที่กึ่งหนึ่งของฝรั่งเศสตอนเหนือ จากนั้นสงครามจึงดำเนินเข้าสู่การสู้รบทางอากาศระหว่างเยอรมนีกับสหราชอาณาจักร ซึ่งทวีความรุนแรงมากที่สุดในช่วงยุทธการที่บริเตน ช่องที่สองคือช่วงของการสู้รบภาคพื้นดินขนาดใหญ่ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 จากการยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดี และดำเนินไปจนกระทั่งสามารถปลดปล่อยกรุงปารีสและฝรั่งเศลให้พ้นจากนาซีเยอรมัน ต่อมาสามารถเอาชนะเยอรมนีได้ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945
แนวรบด้านตะวันตก | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
ตามเข็มนาฬิกาจากบนซ้าย: รอตเทอร์ดามหลังเดอะบลิตซ์, เครื่องบินไฮน์เคล เฮอ 111 ของเยอรมนีระหว่างยุทธการบริเตน, พลร่มฝ่ายสัมพันธมิตรระหว่างปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดน, กำลังอเมริกากำลังวิ่งผ่านเวิร์นแบร์ก เยอรมนี, การล้อมบาสตอง, กำลังอเมริกายกพลขึ้นบกที่อ่าวโอมาฮาระหว่างปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ฝ่ายสัมพันธมิตร สนับสนุนเฉพาะทางอากาศ | ฝ่ายอักษะ รัฐหุ่นเชิดของฝ่ายอักษะ วิชีฝรั่งเศส | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
1939–1940 | 1939–1940 | ||||||
กำลัง | |||||||
1939–1940
1944–1945
| 1939–1940
1944–1945
| ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
1940
1944–1945
รวม :
| 1940
1941–1945
รวม :
|
แม้ว่าพลทหารเยอรมันส่วนมากจะเสียชีวิตในแนวรบด้านตะวันออก แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในแนวรบด้านตะวันตกแทบจะไม่สามารถทดแทนกลับคืนมาได้ เนื่องจากทรัพยากรสงครามส่วนมากของเยอรมนีถูกโยกย้ายไปใช้ในแนวรบด้านตะวันตก ซึ่งหมายความได้ว่าในแนวรบด้านตะวันออกมีการเสริมกำลังและทรัพยากรเพื่อยืดระยะเวลาการสู้รบออกไปได้ ในขณะที่แนวรบด้านตะวันตกมีการส่งกำลังเสริมและทรัพยากรทดแทนเพื่อหยุดยั่งการรุกคืบของฝ่ายสัมพันธมิตรได้เพียงน้อยนิด การยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดีนับได้ว่าส่งสัญญาณเชิงจิตวิทยาในแง่ลบให้แก่กองทัพและผู้นำของนาซีเยอรมนีอย่างมาก เนื่องจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกรงกลัวสถานการณ์ที่เยอรมนีถูกขนาบด้วยการสู้รบจากแนวรบทั้งสองด้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สงครามลวง เป็นช่วงของการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งได้มีการทำปฏิบัติการทางทหารเพียงไม่กี่ครั้งในทวีปยุโรปกลางในเดือนที่ภายหลังจากที่เยอรมันได้บุกยึดครองโปแลนด์และก่อนยุทธการฝรั่งเศส แม้ว่าประเทศมหาอำนาจในทวีปยุโรปได้ประกาศสงครามกับอีกฝ่ายซึ่งกันและกัน แต่ทั้งสองยังไม่ได้มีเจตนาที่จะโจมตีอย่างมีนัยสำคัญและมีการสู้รบเพียงเล็กน้อยทางภาคพื้นดิน.นี่เป็นช่วงเวลาที่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศโปแลนด์อย่างเต็มที่ แม้ว่าจะเป็นพันธมิตรก็ตาม.
ในขณะที่กองทัพเยอรมันส่วนใหญ่กำลังสู้รบกับโปแลนด์,มีกองกำลังเยอรมันขนาดเล็กได้วางกำลังคนที่แนวซีกฟรีด (Siegfried Line),แนวป้องกันที่ได้ประจบกับชายแดนฝรั่งเศส,ที่แนวมาฌีโน (Maginot Line) ทางด้านอื่นๆของชายแดน,กองกำลังฝรั่งเศสได้เผชิญหน้ากับพวกเขา.ในขณะที่กองกำลังรบนอกประเทศบริติช (British Expeditionary Forces หรือ B.E.F.) และส่วนอื่นๆของกองทัพฝรั่งเศสได้สร้างแนวป้องกันตามชายแดนของเบลเยียม มีเพียงบางท้องถิ่น,มีการสู้รบเล็กๆน้อย กองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักรได้โปรยแผ่นพับโฆษณาชวนเชื่อไปทั่วเหนือเยอรมันและกองทัพแรกของแคนาดาได้ขึ้นฝั่งในอังกฤษ,ในขณะที่ทวีปยุโรปตะวันตกอยู่ในความสงบอย่างแปลกประหลาดเป็นเวลาเจ็ดเดือน
ในช่วงเวลาเร่งในการสร้างอาวุธใหม่,สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้ริเริ่มซื้ออาวุธจำนวนมากจากผู้ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการแผร่ระบาดของสงคราม.ได้มีการเสริมสร้างการผลิตด้วยตัวเอง ฝ่ายสหรัฐอเมริกาที่ไม่ต้องการสงคราม,ได้มีส่วนร่วมต่อสัมพันธมิตรตะวันตกโดยส่วนลดขายของอุปกรณ์ทางทหารและพัสดุในการบำรุงกองทัพ ฝ่ายเยอรมันได้พยายามในการขัดขวางการค้าขายทางเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกของฝ่ายสัมพันธมิตรบนทะเลทำให้เกิดยุทธการแห่งแอตแลนติก
ในขณะที่แนวรบด้านตะวันตกยังคงเงียบสงบในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1940 การสู้รบระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและเยอรมัน ได้มีการเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในการทัพนอร์เวย์ เมื่อฝ่ายเยอรมันได้เริ่มปฏิบัติการแวร์เซอร์รีบุง,เยอรมันได้บุกยึดครองเดนมาร์กและนอร์เวย์.ในการทำเช่นนี้,ฝ่ายเยอรมันจะชนะสงครามไว้ได้; ฝ่ายสัมพันธมิตรได้วางแผนที่จะยกพลขึ้นบกในสิ่งที่พวกเขาจะได้เริ่มที่จะโอบล้อมเยอรมนี,ทำการตัดการขนส่งของวัตถุดิบจากประเทศสวีเดน.อย่างไรก็ตาม,เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้จู่โจมและยกพลขึ้นบกในนอร์เวย์ภายหลังจากการยึดครองของเยอรมัน,ฝ่ายเยอรมันได้ขับไล่พวกเขาและกำจัดกองทัพนอร์เวย์,ที่กำลังหลบหนีออกนอกประเทศ, ถึงกระนั้น, กองทัพเรือครีกซมารีเนอ,ได้ประสบความเสียหายอย่างหนักในระหว่างสองเดือนจากการสู้รบตามความต้องการในการยึดครองแผ่นดินนอร์เวย์เอาไว้ท้งหมด
ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1940 ฝ่ายเยอรมันได้เริ่มการสู้รบที่ฝรั่งเศส.ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก (ส่วนใหญ่ของกองทัพบกของฝรั่งเศส,เบลเยียมและอังกฤษ) ต้องพบกับความปราชัยภายใต้การรุกโจมตีของกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า บลิทซ์ครีก (Blitzkrieg-การโจมตีสายฟ้าแลบ) กองทัพส่วนใหญ่ของอังกฤษและบางส่วนของกองทัพฝรั่งเศสได้ทำการอพยพที่ดันเคิร์กไปยังแผ่นดินอังกฤษ เมื่อการสู้รบได้ยุติลง ทางฝ่ายเยอรมันได้เริ่มทำการพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับวิธีจัดการกับอังกฤษ หากอังกฤษปฏิเสธที่จะยอมเจราจาต่อในการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ,อีกทางเลือกหนึ่งคือการรุกราน อย่างไรก็ตาม,ครีกซมารีเนอได้รับความเสียหายอย่างหนักในนอร์เวย์และเพื่อที่จะออกคำสั่งในการพิจารณาที่จะทำการยกพลขึ้นบก,กองทัพอากาศแห่งเยอรมนี (ลุฟท์วัฟเฟอ) จะต้องมีอำนาจเหนือทางอากาศเป็นครั้งแรกหรืออำนาจสูงสุดทางอากาศ
ด้วยการที่ลุฟท์วัฟเฟอไม่สามารถในการทำลายกองทัพอากาศแห่งอังกฤษในยุทธการที่บริเตน,การยึดครองสหราชอาณาจักรไม่สามารถทำได้อีกต่อไปได้ด้วยความคิดที่เป็นทางเลือก.ในขณะที่กองทัพเยอรมันส่วนใหญ่ได้ทำการรวบรวมกำลังพลเพื่อการรุกรานสหภาพโซเวียต,การริเริ่มก่อตั้งกำแพงแอตแลนติก-หนึ่งในป้อมปราการป้องกันตามแนวชายฝั่งของฝรั่งเศสบนบริเวณช่องแคบอังกฤษ.ป้อมปราการเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นตามความคาดการณ์ในการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรในการบุกยึดครองฝรั่งเศส
เนื่องจากการขนส่งแบบขนาดใหญ่เป็นอุปสรรคในรุกข้ามช่องแคบที่จะต้องเผชิญ,กองบัญชาการทหารสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตัดสินใจที่ทำการโจมตีทางปฏิบัติในบริเวณชายฝั่งของฝรั่งเศสในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 1942,ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มโจมที่เดียป,การโจมตีที่ท่าเรือที่เดียปของฝรั่งเศส.กองทัพส่วนใหญ่เป็นชาวแคนนาดา,กับกองกำลังเหล่าของอังกฤษบางส่วน,และกองกำลังขนาดเล็กของอเมริกันและกองกำลังเสรีฝรั่งเศสพร้อมกับการสนับสนุนจากกองทัพเรืออังกฤษและโปแลนด์.การโจมตีเป็นความหายนะ,จำนวนเกือบสองในสามส่วนของกองกำลังจู่โจมกลายเป็นการสูญเสีย, อย่างไรก็ตาม, มันก็ได้กลายเป็นบทเรียนอย่างมากจากผลของปฏิบัติการ-บทเรียนเหล่านี้ได้นำไปใช้ในการยกพลขึ้นบกที่ดีได้ในภายหลัง
จากเกือบสองปี,ไม่มีการสู้รบที่ใดๆเลยในด้านแนวรบตะวันตกยกเว้นการจู่โจมของเหล่าหน่วยคอมมานโดและปฏิบัติการรบแบบกองโจรในการต่อต้านซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยบริหารปฏิบัติการพิเศษ (SOE) และสำนักบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS).อย่างไรก็ตาม,ในขณะเดียวกัน,ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำสงครามกับเยอรมนี,ด้วยการโจมตีทางอากาศด้วยการทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ กองทัพอากาศแบบการทิ้งระเบิดที่ 8 แห่งสหรัฐจะทิ้งระเบิดในช่วงตอนกลางวัน และกองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักรจะทิ้งระเบิดในช่วงตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่ครอบครองในเมดิเตอร์เรเนียน ได้พยายามที่จะเคลียร์ทางทะเลไปยังมหาสมุทรอินเดียและเข้ายึดครองสนามบินฟอจจาคอมเพล็กซ์(Foggia Airfield Complex)
การโจมตีของอังกฤษสองครั้งในช่วงแรกสำหรับการสู้รบด้วยเกียรติยศได้มอบรางวัลจากปฏิบัติการคอลลาร์ในบูโลญ (วันที่ 11 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1940) และปฏิบัติการแอมบาเซเดอร์ในเกิร์นซีย์ (วันที่ 14–15 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1940).การโจมตีจากอังกฤษซึ่งได้มอบรางวัลจากการทัพยุโรปเหนือ-ตะวันตก การสู้รบด้วยเกียรติยศ: ปฏิบัติการไบติง - บุนเนเวล์ (วันที่ 27–28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942), แซ็ง-นาแซร์ (วันที่ 27–28 มีนาคม ค.ศ. 1942), ปฏิบัติการเมิร์นมิดอน -บายอน (วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1942), ปฏิบัติการแอปเบอร์คอมบี - ฮาร์เดอลูท์ (วันที่ 21–22 เมษายน ค.ศ. 1942), เดียป (วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1942) และปฏิบัติการแฟรงก์ตัน - ฌีรงด์(วันที่ 7–12 ธันวาคม ค.ศ. 1942).
การโจมตีเกาะซาร์กในคืนวันที่ 3-4 ตุลาคม ค.ศ. 1942 เป็นที่น่าสังเกต เพราะอีกไม่กี่วันหลังจากการโจมตี เยอรมนีได้ออกแถลงการณ์แบบโฆษณาชวนเชื่อซึ่งหมายความว่านักโทษอย่างน้อยหนึ่งคนได้หลบหนีและอีกสองคนถูกยิงขณะที่กำลังต่อต้านการมัดมือ นี่คือตัวอย่างของการผูกข้อมือนักโทษซึ่งสนับสนุนการตัดสินใจของฮิตเลอร์ในการออกคำสั่งของเขาคือคำสั่งคอมมานโด ในการชี้นำให้หน่วยคอมมานโดทั้งหมดหรือทหารของหน่วยคอมมานโดที่จับกุมมาได้นั้นจะต้องถูกดำเนินการประหารชีวิตตามกระบวนการอย่างเร่งรัด
ในช่วงฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1944 เมื่อความคาดเดาของการรุกรานของฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับการยอมรับอย่างเสรีจากผู้บัญชาการทหารเยอรมัน การจัดการของทหารได้อยู่ภายใต้โอบี เวสต์(กองบัญชาการในกรุงปารีส) จากนั้นก็ได้สั่งการให้กองทัพสามกลุ่ม: กองบัญชาการกองทัพแวร์มัคท์จากเนเธอร์แลนด์(Wehrmachtbefehlshaber#Niederlande) หรือ WBN ไปประจำการครอบคลุมชายฝั่งของเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม และกองทัพกลุ่มบีจะไปประจำการครอบคลุมชายฝั่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศสกับกองทัพเยอรมันที่ 15 (กองบัญชาการใน Tourcoing) ในพื้นที่ตอนเหนือของแม่น้ำแซน; กองทัพเยอรมันที่ 7 (กองบัญชาการในเลอม็อง) ระหว่างแม่น้ำแซนและแม่น้ำลัวร์เพื่อทำการปกป้องช่องแคบอังกฤษและชายฝั่งแอตแลนติก และกองทัพกลุ่มจีกับคอยรับผิดชอบดูแลจากอ่าวบิสเคย์และวิชีฝรั่งเศส, กับกองทัพที่ 1 (กองบัญชาการในบอร์โด) คอยรับผิดชอบดูแลจากชายฝั่งแอตแลนติกระหว่างแม่น้ำลัวร์และชายแดนสเปนและกองทัพที่ 19 (กองบัญชาการในอาวีญง) คอยรับผิดชอบดูแลจากชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรอาจจะเลือกที่จะเปิดฉากการรุกรานของพวกเขา โอกาสของการลงจอดเพื่อยกพลขึ้นบกนั้นจำเป็นต้องมีการแพร่กระจายขนาดใหญ่ของกองกำลังสนับสนุนที่เคลื่อนที่ได้เร็ว ซึ่งพวกเขาได้มีกองยานเกราะ (พันท์เซอร์) แต่ละกองทัพกลุ่มจะได้รับการจัดสรรให้เป็นกองกำลังสนับสนุนที่เคลื่อนที่ได้เร็ว กองทัพกลุ่มบีได้มีกองพลยานเกราะที่ 2 ในทางตอนเหนือฝรั่งเศส กองพลยานเกราะที่ 116 ในพื้นที่ปารีส และกองพลยานเกราะเยอรมันที่ 21 ในนอร์ม็องดี กองทัพกลุ่มจีได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการรุกรานทางชายฝั่งแอตแลนติก ได้มีการกระจายกองกำลังสนับสนุนที่เคลื่อนที่ได้เร็ว การตั้งอยู่ของกองพลยานเกราะเยอรมันที่ 11 ในฌีรงด์ กองพลยานเกราะเอ็สเอ็สที่ 2 ควบคู่กับดูแลรอบเมืองทางตอนใต้ฝรั่งเศสที่มงโตบ็อง และกองพลยานเกราะที่ 9 ประจำการในพื้นที่ Rhone delta
กองบัญชาการ OKW ยังคงมีกองกำลังสนับสนุนขนาดใหญ่ที่สำคัญของกองพลเคลื่อนเร็วดังกล่าว แต่พวกเหล่านี้ได้ถูกกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่: กองพลยานเกราะเอ็สเอ็สที่ 1 ยังได้ก่อตัวขึ้นและฝึกฝนในเนเธอร์แลนด์ กองพลยานเกราะเอ็สเอ็สที่ 12 และกองพลยานเกราะ-เลอร์(Panzer-Lehr Division) ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ปารีส-ออร์เลอ็อง ตั้งแต่เขตป้องกันชายฝั่งนอร์ม็องดีหรือ (Küstenverteitigungsabschnitte – KVA) ได้พิจารณาพื้นที่มากที่สุดสำหรับการรุกราน กองพลทหารราบยานเกราะเอ็สเอ็สที่ 17 ได้ตั้งอยู่ทางตอนใต้แม่น้ำลัวร์ในบริเวณใกล้เคียงของ Tours
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด(ยังเป็นที่รู้จักกันคือ"ดีเดย์") –การปลดปล่อยที่รอคอยมายาวนานของฝรั่งเศส แผนการล่อลวง, ปฏิบัติการความทรหดและบอดีการ์ด ทำให้พวกเยอรมันหลงเชื่อว่าการรุกรานจะเกิดขึ้นในปาดกาแล ในขณะที่เป้าหมายที่แท้จริงคือนอร์ม็องดี หลังสองเดือนของการต่อสู้ที่เชื่องช้าในประเทศรั้วต้นไม้, ปฏิบัติการคอบร้าได้ยินยอมให้อเมริกันได้หยุดเคลื่อนทัพที่ตะวันตกเพื่อตั้งที่พัก ไม่นานหลังจากนั้น, ฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้มีการแข่งขันกันในการเคลื่อนทัพฝรั่งเศส พวกเขาได้ทำการโอบล้อมทหารเยอรมัน 200,000 นายในวงล้อมฟาเลส์ เช่นเดียวที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแนวรบด้านตะวันออก ฮิตเลอร์ได้ปฏิเสธที่จะให้มีการถอนกำลังทางยุทธศาสตร์จนกระทั่งสายเกินไป จำนวนทหารเยอรมันประมาณ 150,000 นายสามารถหลบหนีจากวงล้อมฟาเลส์ไปได้ แต่พวกเขาได้ละทิ้งอุปกรณ์ทางทหารไว้เบื้องหลังที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้และทหารเยอรมันจำนวน 50,000 นายล้วนถูกสังหารหรือถูกจับเป็นเชลย
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับว่าจะเคลื่อนทัพไปข้างหน้าให้แนวรบกว้างขวางหรือแนวรบแคบจากก่อนดีเดย์ ถ้าอังกฤษฝ่าออกจากหัวสัะพานนอร์ม็องดี(หรือหัวหาด)รอบเมืองก็อง เมื่อพวกเขาได้เปิดฉากปฏิบัติการกู๊ดวู้ดและผลักดันไปตามชายฝั่ง ข้อเท็จจริงบนพื้นดิน(Facts on the ground)อาจมีการหันไปโต้แย้งในเห็นชอบในแนวรบแคบ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนทัพฝ่าได้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปฏิบัติการคอบร้าที่ด้านตะวันตกจนถึงหัวสะพาน กองทัพกลุ่มที่ 21 ซึ่งได้รวมถึงกองกำลังอังกฤษและแคนาดาหันไปทางตะวันออกและมุ่งหน้าไปยังเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และทางตอนเหนือเยอรมนี ในขณะที่กองทัพกลุ่มสิบสองแห่งสหรัฐ ได้รุกไปยังทางทิศใต้ผ่านฝรั่งเศสตะวันออก ลักเซมเบิร์ก และพื้นที่รูห์ การขับไล่ออกไปอย่างรวดเร็วจะทำให้แนวรบกว้างขวาง เนื่องจากเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์และส่วนใหญ่ของกองบัญชาการทหารอเมริกัน มันจะถูกนำไปใช้ในไม่ช้า
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปิดฉากปฏิบัติการดรากูน–การรุกรานทางตอนใต้ฝรั่งเศสระหว่างตูลงและกาน กองทัพสหรัฐที่ 7 และกองทัพฝรั่งเศสที่ 1 ได้สร้างกองทัพกลุ่มที่ 6 แห่งสหรัฐ ได้รวมตัวอย่างรวดเร็วบนหัวหาดและปลดปล่อยฝรั่งเศสทางตอนใต้ในสองสัปดาห์ จากนั้นพวกเขาเคลื่อนทัพขึ้นเหนือหุบเขาโรน์ การรุกของพวกเขาได้ชะลอลงในขณะที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับกองกำลังเยอรมันที่จัดกลุ่มใหม่และตั้งมั่นในเทือกเขาโวฌ
เยอรมันในฝรั่งเศสกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรสามกลุ่มที่แข็งแกร่ง: ในทางตอนเหนือ กองทัพกลุ่มที่ 21 ของอังกฤษภายใต้บัญชาการโดยจอมพล เซอร์.เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี ในภาคกลาง กองทัพกลุ่มที่ 12 ของอเมริกัน, ภายใต้บัญชาการโดยนายพลโอมาร์ แบรดลีย์ และทางตอนใต้ กองทัพกลุ่มที่ 6 ของสหรัฐ ภายใต้บัญชาการโดยพลโทเจคอบ แอล. ดีเวอร์ เมื่อกลางเดือนกันยายน กองทัพกลุ่มที่ 6 ได้รุกจากทางตอนใต้เข้ามาติดต่อกับการก่อตัวของแบรดลีย์ในการรุกจากตะวันตกและควบคุมทั้งหมดของกองกำลังของดีเวอร์ ผ่านจาก AFHQ (กองบัญชาการกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร)ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อให้กองทัพกลุ่มทั้งสามอยู่ภายใต้กองบัญชาการกลางของไอเซนฮาวร์ที่ SHAEF (กองบัญชาการทหารสูงสุด, Allied Expeditionary Forces).
ภายใต้การโจมตีในทั้งภาคเหนือและใต้ของฝรั่งเศส กองทัพเยอรมันต้องถอยร่น เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ขบวนการต่อต้านฝรั่งเศส (FFI) ได้รวมตัวกันเพื่อลุกฮือกำเริบไปทั่วและการปลดปล่อยกรุงปารีสได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เมื่อนายพลดรีทริซ ฟอน โคลทิซได้ตัดสินใจยอมรับคำขาดของฝรั่งเศสและยอมจำนนต่อนายพล Philippe Leclerc de Hauteclocque ผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 2 แห่งเสรีฝรั่งเศส ซึ่งได้ขัดคำสั่งจากฮิตเลอร์ว่ากรุงปารีสนั้นจะต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้และหากปกป้องไม่ได้ จะต้องทำลายเสียให้สิ้นซาก
การปลดปล่อยทางตอนเหนือของฝรั่งเศสและประเทศเบเนลักซ์ มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับพลเรือนชาวลอนดอนและทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ เนื่องจากไม่ยอมรับที่เยอรมันเปิดฉากส่วนที่สำหรับฐานยิงจรวด วี-1 และ วี-2 Vergeltungswaffen (reprisal weapons)
ในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้ก้าวเข้าสู่ฝรั่งเศส เส้นทางขนส่งเสบียงและยุทธภัณฑ์ได้ขยายไปถึงจุดแตกหัก Red Ball Express ความพยายามบรรทุกสินค้าขนส่งของฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่สามารถขนส่งเสบียงและยุทธภัณฑ์ที่เพียงพอจากท่าเรือในนอร์ม็องดีได้ทั้งหมดตลอดทางจนถึงแนวหน้า,ซึ่งโดยเดือนกันยายน อยู่ใกล้ชายแดนเยอรมัน
หน่วยทหารเยอรมันหลักในทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสที่ไม่ได้ทำหน้าที่ในนอร์ม็องดีต่างถอนกำลัง ไปยังทางตะวันออกของอาลซัส (บางครั้งได้ก้าวข้ามผ่านกองทัพกลุ่มที่ 6 ที่กำลังรุก) หรือเข้าสู่ท่าเรือด้วยความตั้งใจที่จะปฏิเสธพวกฝ่ายสัมพันธมิตร กลุ่มสุดท้ายเหล่านี้ไม่คิดว่าจะคุ้มค่าและถูกปล่อยให้"เน่า", กับยกเว้นที่เบเนลักซ์ ซึ่งได้รับการปลดปล่อยในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 โดยกองทัพฝรั่งเศสภายใต้บัญชาการของนายพล Edgard de Larminat (Operation Venerable)
การสู้รบบนแนวรบด้านตะวันตกดูเหมือนจะเสถียรภาพ และฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ารุกจนหยุดชะงักบนแนวซีกฟรีด(กำแพงตะวันตก) และทางตอนใต้ของแม่น้ำไรน์ เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน อเมริกันได้เริ่มสู้รบอย่างช้าๆและหลั่งเลือดผ่านบนป่าเฮิร์ทเจน(Hurtgen Forest) เพื่อทะลวงแนวป้องกัน
ท่าเรือที่แอนต์เวิร์ปได้รับการปลดปล่อยเมื่อวันที่ 14 กันยายนโดยกองพลยานเกราะที่ 11 แห่งอังกฤษ อย่างไรก็ตาม มันถูกกำหนดอยู่ที่ปลายของแม่น้ำยาวสเกลต์( Scheldt Estuary) และดังนั้นไม่สามารถใช้งานได้จนกว่าจะมีแนวทางที่จะเคลียร์ตำแหน่งการเสริมกำลังของเยอร มัน การโอบล้อมที่ Breskens ทางตอนใต้ของฝั่งแม่น้ำสเกลต์ได้รับการจัดการด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างหนักโดยกองกำลังแคนาดาและโปแลนด์ในปฏิบัติการสวิตซ์แบ็ค(Operation Switchback) ในช่วงยุทธการที่แม่น้ำสเกลต์ ภายหลังจากการทัพที่น่าเบื่อหน่ายเพื่อเคลียร์คาบสมุทรที่มีอำนาจบนปากอ่าว และในที่สุด การโจมตีสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกที่เกาะ Walcheren ในเดือนพฤศจิกายน การทัพเพื่อเคลียร์ปากแม่น้ำสเกลต์เป็นชัยชนะที่สำคัญสำหรับกองทัพแคนาดาที่ 1 และส่วนที่เหลือของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้มีการยินยอมให้มีการจัดส่งที่ดีมากขึ้นสำหรับวัสดูสนับสนุนโดยตรงจากแอนต์เวิร์ป ซึ่งอยู่ห่างใกล้จากหาดนอร์ม็องดี
ในเดือนตุลาคม อเมริกันได้ตัดสินใจว่าพวกเขาไม่สามารถลงทุนในอาเคินและปล่อยให้อยู่ในการโอบล้อมอย่างช้าๆ เพราะจะเข้าคุกคามปีกของกองทัพที่ 9 แห่งสหรัฐ เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญแห่งแรกของเยอรมันที่ต้องเผชิญกับการถูกยึดครอง ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้ปกป้องเมืองโดยทุ่มเทกำลังทั้งหมด ในการรบที่เกิดขึ้น, เมืองถูกยึดครองโดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 5,000 คนจากทั้งสองฝ่าย กับเชลยศึกเยอรมันประมาณ 5,600 คน
ทางตอนใต้ของป่าอาร์เดนส์ กองกำลังอเมริกันได้ต่อสู้ตั้งแต่เดือนกันยายนจนกระทั่งกลางเดือนธันวาคมเพื่อผลักดันเยอรมันออกจากลอแรนและไปยังหลังแนวซีกฟรีด การข้ามแม่น้ำมอแซลและเข้ายึดป้อมปราการที่แม็ส ปรากฏว่าเป็นเรื่องยากสำหรับทหารอเมริกันในการเผชิญหน้ากับการเสริมกำลังของเยอรมัน การขาดแคลนสเบียง และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยสะดวก ในช่วงระหว่างเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม กองทัพกลุ่มที่ 6 ของฝ่ายสัมพันธมิตร(กองทัพสหรัฐที่เจ็ดและกองทัพฝรั่งเศสที่หนึ่ง)ได้ต่อสู้ในการทัพที่ยากลำบากผ่านเส้นทางภูเขาโวฌซึ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านของเยอรมันอย่างทรหดและการรุกที่ล่าช้า ในเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม, แนวหน้าของเยอรมันได้แตกหักภายใต้แรงกดดัน เป็นผลทำให้การรุกอย่างรวดเร็วของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้เข้าปลดปล่อยเมืองแบลฟอร์ มูว์ลูซ และสทราซบูร์ และกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้วางกำลังตามแนวแม่น้ำไรน์ เยอรมันได้จัดการยึดหัวสะพานขนาดใหญ่(กอลมาร์พ็อกเกต) บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณรอบๆเมืองกอลมาร์ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มการรุกฤดูใบไม้ร่วงครั้งใหญ่ที่เรีกยว่า ปฏิบัติการควีน พร้อมกับการรุกโจมตีหลักอีกครั้งผ่านทางป่าเฮือร์ทเกิน ฝูงกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้รุกไปยังแม่น้ำรูห์ร แต่ล้มเหลวในเป้าหมายหลักของการเข้ายึดเขื่อนแม่น้ำรูห์รและกรุยทางไปยังแม่น้ำไรน์ ปฏิบัติการของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ประสบความสำเร็จจากการรุกป่าอาร์เดนส์ของเยอรมัน
ท่าเรือแอนต์เวิร์ปได้รับการปลดปล่อย เมื่อวันที่ 4 กันยายน โดยกองพลยานเกราะที่ 11 ของบริติช จอมพล เซอร์ เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี ได้บัญชาการกองทัพกลุ่มที่ 21 ของอังกฤษ-แคนาดา ได้ชักชวนให้กองบัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตรเปิดฉากการโจมตีอย่างกล้าหาญ ปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดน ซึ่งเขาได้คาดหวังว่าจะทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรก้าวข้ามแม่น้ำไรน์และสร้างแนวรบที่แคบที่เขาชื่นชอบ ทหารโดดร่มจะขึ้นเครื่องบินมาจากสหราชอาณาจักรและลงจอดเข้ายึดสะพานข้ามแม่น้ำสายหลักของเนเธอร์แลนด์ภายใต้การยึดครองของเยอรมันในสามเมืองหลักคือ ไอนด์โฮเวน ไนเมเคิน และอาร์เนม กองทัพสนามที่ 30 ของบริติซจะเจาะทะลวงแนวรบของเยอรมันตามแนวคลอง Maas–Schelde และเข้าสมทบกับกองกำลังทหารโดดร่มต่างๆ ได้แก่ กองพลทหารโดดร่มสหรัฐที่ 101 ในเมืองไอนด์โฮเวน กองพลทหารโดดร่มสหรัฐที่ 82 ในเมืองไนเมเคิน และกองพลทหารโดดร่มบริติซที่ 1 ในเมืองอาร์เนม หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี กองทัพสนามที่ 30 ก็จะรุกเข้าไปในเยอรมนีได้โดยปราศจากอุปสรรคสำคัญที่หลงเหลืออยู่ กองทัพสนามที่ 30 สามารถรุกได้เกินกว่าหกในเจ็ดสะพานที่กองกำลังทหารโดดร่มยึดครองอยู่ แต่ไม่สามารถสมทบกับกองทหารที่อยู่ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ที่เมืองอาร์เนม ผลที่ตามมาคือการถูกทำลายล้างเกือบหมดสิ้นของกองพลทหารโดดร่มบริติซที่ 1 ในช่วงยุทธการที่อาร์เนม ซึ่งคาดการณ์ว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายเกือบ 8,000 นาย การรุกได้สิ้นสุดลงด้วยเมืองอาร์เนมที่เหลืออยู่ยังอยู่ในเงื้อมมือของเยอรมันและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ถือว่าเป็นการขยายส่วนที่ยื่นออกจากชายแดนเบลเยียมไปยังพื้นที่ระหว่างไนเมเคินและอาร์เนม
เยอรมันได้เตรียมการโจมตีตอบโต้กลับครั้งใหญ่ในด้านตะวันตกนับตั้งแต่ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกทะลวงจากนอร์ม็องดี แผนดังกล่าวเรียกว่า Wacht am Rhein (เฝ้าดูไรน์) เป็นการโจมตีผ่านทางป่าอาร์เดนส์และมุ่งหน้าไปทางเหนือสู่แอนต์เวิร์ป ทำการแบ่งแยกกองทัพอเมริกันและบริติซออกจากกัน การโจมตีได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักกันคือ ยุทธการตอกลิ่ม การป้องกันเส้นทางผ่านป่าอาร์เดนส์เป็นหน้าที่ของกองกำลังทหารแห่งกองทัพสหรัฐที่หนึ่ง ความสำเร็จครั้งแรกในสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งทำให้พวกเขาถูกบดบังจากกองทัพอากาศฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นผลทำให้เยอรมันเข้ารุกได้ไกลถึง 80 กิโลเมตร(50 ไมล์) ไปยังภายในอย่างน้อยถึง 16 กิโลเมตร(10 ไมล์)ของแม่น้ำเมิซ เมื่อได้รับรู้ด้วยความประหลาดใจ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดตั้งกองทัพใหม่และเยอรมันได้หยุดชะงักโดยถูกโจมตีตอบโต้กลับแบบผสมคือทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ ซึ่งในที่สุดแล้วพวกเขาถูกผลักดันกลับไปยังจุดเริ่มต้น เมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1945
เยอรมันได้เปิดฉากขั้นที่สอง การรุกขนาดเล็ก(นอร์ดวินด์) เข้าไปยังแคว้นอาลซัส เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1945 ด้วยเป้าหมายที่จะยึดสทราซบูร์กลับคืนมาอีกครั้ง เยอรมันได้โจมตีกองทัพกลุ่มที่ 6 ในหลายๆจุด เพราะแนวรบของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยืดออกไปอย่างหนักหน่วงในการตอบสนองต่อวิกฤตในป่าอาร์เดนส์ การถือครองและการรุกของนอร์วินด์นั้นล่าช้ากลับกลายเป็นเรื่องที่มีราคาแพงซึ่งกินเป็นเวลาเกือบสี่สัปดาห์ จุดสูงสุดของการโจมตีตอบโต้กลับของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ฟื้นฟูแนวหน้าไปยังพื้นที่ของชายแดนเยอรมันและพังทะลายกอลมาร์พ็อกเกต
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 หัวสะพานข้ามแม่น้ำรูร์ของเยอรมันระหว่างไฮน์แบร์ก(Heinsberg) และเรอร์มอนด์(Roermond)ได้ถูกจัดการในปฏิบัติการแบล็คคอก ครั้งนี้ตามมาด้วยการเคลื่อนไหวแบบก้ามปูของกองทัพแคนาดาที่หนึ่งในปฏิบัติการเวริเทเบิล เข้ารุกจากไนเมเคิน พื้นที่ของเนเธอร์แลนด์ และกองทัพสหรัฐที่ 9 ได้ข้ามแม่น้ำรูร์ในปฏิบัติการเกรเนด เวริเทเบิลและเกรเนดเป็นแผนที่เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 แต่เกรเนดได้ล่าช้าไปสองสัปดาห์ เมื่อเยอรมันได้ทำให้เกิดน้ำท่วมหุบเขารูร์โดยการทำลายประตูเขื่อนแม่น้ำรูร์ที่ตั้งอยู่ทางต้นน้ำ จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท ได้ขออนุมัติในการถอนกำลังไปยังด้านตะวันออกหลังแม่น้ำไรน์ โดยยืนยันว่าการต่อต้านที่เพิ่มมากขึ้นจะช่วยถ่วงเวลาได้อย่างแน่นอน แต่ได้รับคำสั่งจากฮิตเลอร์ว่าให้ต่อสู้รบต่อไปอย่างที่กองทัพของเขาจะยืนหยัดได้
เมื่อถึงเวลาน้ำลดลงและกองทัพสหรัฐที่เก้าก็สามารถข้ามแม่น้ำรูร์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นๆยังได้ประชิดฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์ กองพลของฟ็อน รุนท์ชเต็ทซึ่งยังหลงเหลืออยู่บนฝังตะวันตกถูกโอบล้อมใน"ยุทธการที่ไรน์ลันท์"-จำนวน 280,000 นายถูกจับเป็นเชลย กับผู้ชายจำนวนมากที่ถูกจับกุม การต่อต้านของเยอรมันที่ดือรั้นในช่วงการทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อไปถึงแม่น้ำไรน์ในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 จึงทำให้มีราคาแพง ความสูญเสียทั้งหมดได้บรรลุถึงประมาณ 400,000 นาย เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเตรียมข้ามแม่น้ำไรน์ในปลายเดือนมีนาคม ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกได้จับกุมเชลยศึกชาวเยอรมันจำนวน 1,300,000 นาย ในยุโรปตะวันตก
เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรข้ามแม่น้ำไรน์ได้แล้ว บริติซก็ได้มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่เมืองฮัมบวร์ค ข้ามแม่น้ำเอลเบและมุ่งหน้าไปยังเดนมาร์กและทะเลบอลติก กองทัพบริติซได้เข้ายึดครองเมืองเบรเมิน เมื่อวันที่ 26 เมษายน ภายหลังสัปดาห์ของการสู้รบ ทหารโดดร่มบริติชและแคนาดาได้เดินทางมาถึงเมืองบนฝั่งทะเลบอลติกคือ วิสมาร์(Wismar) ซึ่งมาถึงก่อนกองทัพโซเวียต เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม กองทัพสหรัฐที่ 9 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งของกองบัญชาการบริติชนับตั้งแต่ยุทธการตอกลิ่ม ได้มุ่งหน้าไปทางใต้เช่นเดียวกับทางเหนือเข้าบรรจบกันเป็นคีบปากหนีบของการโอบล้อมที่รัวร์ เช่นเดียวกับผลักดันส่วนที่เหลือไปทางด้านตะวันออก กองทัพสนามที่สิบเก้าของกองทัพที่เก้าได้เข้ายึดครองเมืองมัคเดอบวร์ค เมื่อวันที่ 18 เมษายน กองทัพสนามสหรัฐที่สิบสามได้มุ่งหน้าไปทางเหนือเข้ายึดครองสเทินเดล(Stendal)
กองทัพกลุ่มที่ 12 ของสหรัฐได้แผ่ขยายออกไป กองทัพที่หนึ่งได้มุ่งหน้าไปทางเหนือเช่นเดียวกับทางใต้เข้าบรรจบกันเป็นคีบปากหนีบของการโอบล้อมที่รัวร์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน การโอบล้อมได้เสร็จสมบูรณ์ และกองทัพที่เก้าได้หวนกลับมาอยู่ภายใต้คำสั่งกองบัญชาการของกองทัพกลุ่มที่ 12 ของแบรดลีย์ กองทัพเยอรมันกลุ่มบีภายใต้บัญชาการของจอมพล วัลเทอร์ โมเดิล ถูกติดกับในรัวร์พ็อกเกตและทหาร 300,000 นายได้ตกเป็นเชลยศึกสงคราม กองทัพอเมริกันที่เก้าและหนึ่งได้หันมุ่งหน้าไปยังทางด้านตะวันออกและผลักดันไปยังแม่น้ำเอลเบในกลางเดือนเมษายน ในช่วงระหว่างการผลักดันทางด้านตะวันออก เมืองต่างๆ ได้แก่ ฟรังค์ฟวร์ทอัมไมน์, คัสเซิล, มัคเดอบวร์ค, ฮัลเลอ และไลพ์ซิชล้วนได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาโดยกองทหารรักษาการณ์เฉพาะกิจของเยอรมันที่ประกอบไปด้วยทหารประจำการ หน่วยทหารต่อต้านอากาศยาน ฟ็อลคส์ชตวร์ม และกองกำลังติดอาวุธสนับสนุนพรรคนาซี นายพลไอเซนฮาวร์และแบรดลีย์ได้หารือข้อสรุปว่าการผลักดันเกินกว่าที่แม่น้ำเอลเบนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย เนื่องจากเยอรมนีตะวันออกได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วในทุกกรณีที่ถูกยึดครองโดยกองทัพแดง กองทัพที่หนึ่งและเก้าได้หยุดทัพตามแนวแม่น้ำเอลเบและมัลเด(Mulde) ทำการติดต่อกับกองทัพโซเวียตที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำเอลเบในปลายเดือนเมษายน กองทัพสหรัฐที่สามได้แผ่ขยายออกไปทางด้านตะวันออกโดยไปทางภาคตะวันตกเข้าสู่เชโกสโลวาเกีย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่บาวาเรีย และทางภาคเหนือเข้าสู่ออสเตรีย ในวัยชัยแห่งยุโรป กองทัพกลุ่มที่ 12 ของสหรัฐเป็นกองกำลังจากทั้งสี่กองทัพ(หนึ่ง, สาม, เก้า และสิบห้า) ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1.3 ล้านนาย
กองทัพกลุ่มที่ 6 ได้แผ่ขยายออกไปยังภาคตะวันตกเฉียงใต้ เคลื่อนทัพผ่านทางตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ไปจนถึงบาวาเรียและเข้าสู่ออสเตรียและทางตอนเหนือของอิตาลี Black Forest และ Baden ถูกบุกรุกโดยกองทัพฝรั่งเศสที่หนึ่ง ได้มีการตั้งรับอย่างแน่วแน่ในเดือนเมษายนโดยกองทัพเยอรมันที่อยู่ในเมืองไฮล์บร็อน เนือร์นแบร์ค และมิวนิก, แต่กลับถูกพิชิตลงได้หลังผ่านไปหลายวัน ส่วนหนึ่งของกองพลทหารราบสหรัฐที่ 3 เป็นทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกลุ่มแรกที่เดินทางไปถึงแบร์ชเทิสกาเดินซึ่งพวกเขายึดครองมาได้ ในขณะที่กองพลยานเกราะฝรั่งเศสที่ 2 ได้เข้ายึดแบร์คโฮฟ(บ้านพักตากอากาศบนเทือกเขาแอลป์ของฮิตเลอร์) เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 กองทัพเยอรมันกลุ่มจีได้ยอมจำนนต่อกองทัพสหรัฐที่ฮารร์ ในบาวาเรีย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม จอมพลมอนต์โกเมอรีได้รับการยอมจำนนของทหารเยอรมันของกองทัพเยอรมันทั้งหมดในเนเธอร์แลนด์ ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือและเดนมาร์กบน Lüneburg Heath พื้นที่ระหว่างเมืองฮัมบวร์ค ฮันโนเฟอร์ และเบรเมิน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 เช่นเดียวกับผู้บัญชาการปฏิบัติการของกองทัพบางส่วนนี้คือ พลเรือเอก คาร์ล เดอนิทซ์ Reichspräsident(ประมุขแห่งรัฐ)คนใหม่ของไรช์ที่สามได้ยินยอมที่จะเซ็นลงนามสัญญาสงบศึกเป็นอันสงครามในยุโรปสิ้นสุดลง
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่สำนักงานใหญ่ของเขาในแร็งส์ ไอเซนฮาวร์ได้รับการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของกองทัพเยอรมันทั้งหมดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียต จากหัวหน้าเสนาธิการเยอรมัน นายพล อัลเฟรท โยเดิล เป็นผู้ลงนามคนแรกในตราสารยอมจำนนที่เวลา 0241 ชั่วโมง นายพล Franz Böhme ได้ประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของกองกำลังทหารเยอรมันในนอร์เวย์ การดำเนินการได้หยุดลงที่เวลา 2301 ชั่วโมงตามเวลายุโรปกลาง(CET) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ในวันเดียวกัน จอมพล วิลเฮ็ล์ม ไคเทิล ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของกองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์(OKW)และหัวหน้าของโยเดิล ได้ถูกนำตัวไปหาจอมพล เกออร์กี จูคอฟ ในคาร์ลชอร์สท์และเซ็นลงนามในตราสารยอมจำนนอีกครั้งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการลงนามในแร็งส์ โดยมีการเพิ่มเติมที่เล็กน้อยสองครั้งที่ถูกเรียกร้องโดยโซเวียต
This article uses material from the Wikipedia ไทย article แนวรบด้านตะวันตก (สงครามโลกครั้งที่สอง), which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.