มลพิษทางดิน หรือการปนเปื้อนดิน (อังกฤษ: soil pollution) เกิดจากการมีสารเคมีที่มนุษย์สร้างหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นในสิ่งแวดล้อมดินธรรมชาติ ตรงแบบเกิดจากกิจกรรมอุตสาหกรรม สารเคมีเกษตรกรรมหรือการกำจัดของเสียอย่างไม่เหมาะสม สารเคมีที่เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ ไฮโดรคาร์บอนปิโตรเลียม พอลินิวเคลียร์อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (เช่น แนฟทาลีนและเบนโซไพโรซีน) ตัวทำละลาย ยาฆ่าแมลง ตะกั่วและโลหะหนักอื่น การปนเปื้อนสัมพันธ์กับระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมและระดับการใช้สารเคมี
มลพิษทางดินอาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
มลพิษในดินที่เห็นได้ชัดเจน ดังนี้
จากการสำรวจดินโดยกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของจีน สำรวจพื้นที่สองในสามของจีน ประมาณ 10,000,0000 ตารางไมล์ พบว่า 99.1 % ของดินมีการปนเปื้อนโลหะหนัก20ตัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากมลพิษจากอากาศเนื่องจากควันส่งผลต่อดิน นอกจากนี้ยังพบว่า 19.4% ของพื้นที่เพาะปลูกมีการปนเปื้อนในดิน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีการทิ้งกากอุตสาหกรรมสู่ดิน จึงเกิดการปนเปื้อน
ในปี 2012 มีการตรวจพบโลหะยูเรเนียม เกิน 50 % ในดินของประเทศอินเดีย ที่ภูมิภาคมัลวะ (Malwa) ซึ่งมีค่าเกินจากมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนด ซึ่งสาเหตุมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนมีการปล่อยยูเรเนียมลงสู่ดิน ทำให้เกิดการปนเปื้อน
มลพิษทางดินมีผลเสียอย่างสำคัญต่อระบบนิเวศ มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของดินอย่างถึงรากซึ่งอาจเกิดจากการมีสารเคมีอันตรายหลายชนิดแม้มีสารนั้นในความเข้มข้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถแสดงออกเป็นการเปลี่ยนแปลงของเมแทบอลิซึมของจุลินทรีย์และสัตว์ขาปล้องประจำถิ่นในดินนั้น ๆ ส่งผลให้มีการกำจัดห่วงโซ่อาหารปฐมภูมิบางส่วน ซึ่งอาจมีผลลัพธ์ใหญ่หลวงต่อผู้ล่าหรือผู้บริโภคต่อไป ซึ่งผลกระทบภายในระบบนิเวศนั้นจะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน จากสิ่งมีชีวิตที่มีการใช้ดินในการดำรงชีวิต ได้แก่
พืชทุกชนิดต้องอาศัยดินในการเจริญเติบโตทั้งนั้น หากมีการปนเปื้อนในดิน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมทางการเกษตรของมนุษย์ เช่น การใช้ยาปรับศัตรูพืชชนิดแอมโมเนียมซัลเฟต แล้วละลายน้ำจะถูกเปลี่ยนเป็นไนเตรท ( Nitrate ) ส่งผลโดยตรงต่อการดูดซึมแร่ธาตุอาหารของพืชจากดิน จากเดิมพืชใช้รากดูดซึมอาหารจากดิน กลายเป็นรากดูดซึมสารพิษจากดินเข้าไปแทนที่ ทำให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ช้าลง เกิดการตกค้างของสารพิษในพืช ส่งผลให้อัตราการสร้างคลอโรฟิลล์ลดลง ใบพืชแห้งเหี่ยว ไม่มีดอกไม่มีผล จำนวนพืชค่อยๆลดลง และตายไป เมื่อพืชตายไปทำให้ดินขาดความสมดุล สามารถเกิดการผุกร่อน และพังทะลายของหน้าดินได้โดยง่าย ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์
สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในดิน เช่น ไส้เดือน มด แบคทีเรียต่างๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีผลทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ดินที่มีการปนเปื้อนจะส่งผลต่อห่วงโซ่อาหารของสัตว์ดังกล่าว ทำให้สัตว์ไม่สามารถใช้ดินในการสร้างอาหารได้ ไม่สามารถย่อยแบคทีเรียได้ ส่งผลต่อกระบวนการเมทาบอลิซึม ทำให้สัตว์และแบคทีเรียค่อยๆตายไป ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูณ์
การจะแก้ปัญหาการปนเปื้อนในดินนั้นคงจะทำให้หายไปหมดสนิทในทุกจุดคงเป็นไปแทบจะไม่ได้ ดังนั้นการแก้ไขจึงเป็นการควบคุมให้เกิดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารมลพิษให้น้อยที่สุด เพื่อลดปัญหา ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
This article uses material from the Wikipedia ไทย article มลพิษทางดิน, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.