ฟ้าแดดสงยาง

เมืองฟ้าแดดสงยาง เป็นเมืองโบราณ ตั้งอยู่ในอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันเหลือแต่ซากอิฐปนดิน มีคูเมืองสองชั้น มีลักษณะเป็นท้องน้ำ นอกจากนี้ยังมี พระธาตุยาคู ผังเมืองรูปไข่แบบทวาราวดี แต่มีตัวเมืองสองชั้น เชื่อว่าเกิดจากการขยายตัวเมือง มีการขุดพบใบเสมาหินทรายมีลวดลายบ้าง ไม่มีบ้าง ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมศิลปากร 130 แผ่น

ที่ตั้งและภูมิศาสตร์

พื้นที่ของเมืองตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มลำน้ำปาว ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 120 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ผังเมืองเดิมเป็นรูปไข่แล้วขยายออกมาทางทิศใต้และทิศตะวันออกจนมีรูปร่างค่อนข้างเหลี่ยม กว้าง 1,000 เมตร ยาว 1,800 เมตร มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ 2 ชั้น คันดินสูงราว 2-3 เมตร สามารถคาดเดาได้ว่า เมื่อมีการขุดคูล้อมรอบที่ตั้งชุมชน ลำคูคงกลายเป็นที่รับน้ำฝนและน้ำซึ่งไหลจากแหล่งรับน้ำโดยรอบนำมาเก็บไว้เพื่อให้ใช้ได้ตลอดปี

ประวัติและการขุดค้น

ชุมชนโบราณแห่งนี้ พบว่ามีการเข้ามาอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 หรือประมาณ 2,200 ปีมาแล้ว ซึ่งนับอยู่ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ยุคเหล็กตอนปลาย และมีการอยู่อาศัยเรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 12-16 ซึ่งเป็นยุคที่ชุมชนแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด พบร่องรอยการอยู่อาศัย 5 ระยะดังนี้

สมัยก่อนประวัติศาสตร์-ยุคเหล็กตอนปลาย (พุทธศตวรรษที่ 3-7)

พบร่องรอยการอยู่อาศัยในหลุมขุดค้นบริเวณโนนเมืองเก่า คือ ภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนพื้นครีม ซึ่งเป็นภาชนะที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในบริเวณแอ่งสกลนครและแอ่งโคราช กำหนดอายุอยู่ในราว 2,200 – 1,800 ปีมาแล้ว และยังพบภาชนะที่ตกแต่งผิวด้วยการทาน้ำโคลนสีแดงด้วย มีการปลงศพด้วยการฝังยาว โดยวางศีรษะให้หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมด แต่มีทั้งแบบนอนหงายและนอนตะแคง ไม่พบการอุทิศสิ่งของให้ศพ

นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของกิจกรรมการถลุงเหล็กด้วยเทคนิคโบราณทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโนนเมืองเก่า และชุมชนในชั้นนี้ยังรู้จักการผลิตเครื่องประดับสำริดประเภทกำไล แหวน ต่างหู ซึ่งจากหลักฐานที่พบ คือ เบ้าดินที่มีคราบโลหะติดอยู่ และอุปกรณ์การหล่อในรูปของแม่พิมพ์ดินเผา ทำให้ทราบว่าเป็นการผลิตสำริดด้วยเทคนิค กระบวนการผลิตขั้นที่ 2 (secondary metallurgical operation) ไม่มีการถลุงเพื่อสกัดโลหะออกจากแร่ดิบ เพียงแต่นำเอาโลหะที่ผ่านการถลุงแล้วมาหลอมแล้วหล่อให้ได้รูปทรงตามต้องการด้วยวิธี lost wax process คือ ใช้ขี้ผึ้งทำแบบขึ้นมาก่อนแล้วเอาดินพอกจากนั้นให้ความร้อนเพื่อให้ขี้ผึ้งละลายและไหลออก จากนั้นจึงเอาโลหะหลอมละลายในเบ้าดินเผาเทลงแทนที่ เมื่อแข็งตัวแล้วจึงทุบแม่พิมพ์ออก กระบวนการผลิตแบบนี้พบในแหล่งโบราณคดียุคโลหะในแอ่งสกลนครและแอ่งโคราชทั่วไป เช่น บ้านเชียง บ้านนาดี เป็นต้น

สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 7-12)

ระยะนี้รู้จักการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้จากเหล็ก ผลิตเครื่องประดับสำริดตลอดจนผลิตภาชนะดินเผารูปแบบต่างๆ โดยการขึ้นรูปด้วยแป้นหมุนมีการเผาทั้งแบบกลางแจ้งและเผาในเตาดินที่ควบคุมอุณหภูมิได้ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดในช่วงนี้คือประเพณีการปลงศพซึ่งเปลี่ยนจากการฝังยาวมาเป็นการฝังโดยบรรจุกระดุกทั้งโครงหรือโครงกระดูกบางส่วนโดยไม่ผ่านการเผาลงในภาชนะดินเผา การปลงศพแบบนี้ถือว่าเป็นประเพณีที่แพร่หลายอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง ชี มูล ในช่วงหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์

สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)

เป็นระยะที่มีการอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดเมื่อเทียบกับระยะอื่นๆ มีการประมาณกันไว้ว่าเมืองฟ้าแดดสงยางในยุคนี้มีประชากรราว 3,000 คนเลยทีเดียว โดยพบเครื่องมือเหล็ก เครื่องประดับสำริดประเภทแหวน กำไล ลูกกระพรวน นอกจากนั้นยังพบลูกปัดแก้วสีเขียวอมฟ้า รวมทั้งลูกปัดหินอะเกต และหินคาร์เนเลียน ส่วนภาชนะดินเผาส่วนใหญ่จะเป็นหม้อมีสัน กาน้ำ (หม้อมีพวย) ตะคัน ตลอดจนได้พบแวดินเผา และเบี้ยดินเผาแบบต่าง ๆ อาจกล่าวได้ว่าโบราณวัตถุที่พบในชั้นนี้เหมือนกับโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดีที่พบในแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีในลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-16

ในสมัยนี้ชุมชนเริ่มได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาเช่นเดียวกับเมืองโบราณอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน ซึ่งแพร่เข้ามาจากอินเดียในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-14 (สมัยคุปตะและปาละ) ดังปรากฏศาสนสถานที่มีลักษณะร่วมกันคือ เจดีย์ วิหารและอุโบสถ ซึ่งส่วนใหญ่จะก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ (มีความยาว 2 เท่าของความกว้าง) และไม่สอปูน แผนผังเจดีย์ที่นิยมในสมัยทวารวดีทั้งภาคกลางและอีสาน คือมีแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีบันไดทางขึ้นด้านเดียวหรือ 4 ด้าน มีการตกแต่งผนังอิฐด้วยการฉาบปูนแล้วประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นและดินเผา นอกจากนี้วัฒนธรรมการสร้างปริมากรรมรูปธรรมจักรลอยตัวยังพบที่เมืองฟ้าแดดสงยางแห่งนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ประติมากรรมที่ถือว่าโดดเด่นที่สุดที่พบในชุมชนสมัยทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งไม่ใช่พระพุทธรูปหรือธรรมจักรที่นิยมในภาคกลาง คือ ใบเสมา ทั้งแบบที่มีภาพเล่าเรื่องและแบบที่ไม่มี ใบเสามาเหล่านี้อาจใช้ในการปักเขตแดนศาสนสถาน ซึ่งพบว่ามีจำนวนมากกว่า 14 แห่ง ( จำนวนที่ขุดแต่งครั้งแรกในปี 2510-2511)

ประติมากรรมในทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจอีกประเภทคือ พระพิมพ์ดินเผา ซึ่งขุดพบที่เมืองโบราณแห่งนี้จำนวน 7 พิมพ์ด้วยกัน พิมพ์ที่พบมากที่สุด (83 องค์) ซึ่งอาจจะเป็นพิมพ์พื้นเมือง และแพร่หลายในเขตลุ่มน้ำชี เพราะพบที่เมืองโบราณคันธาระ อำเภอกันทรวิชัยด้วย คือ ปรางค์สมาธิบนฐานดอกบัว ส่วนพิมพ์ที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์พิเศษของพระพิมพ์ลุ่มน้ำชี คือ ปางธรรมจักร ซึ่งพบเฉพาะที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยางและเมืองโบราณคันธาระเท่านั้น ไม่ปรากฏในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา

นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการจารึกบนพระพิมพ์ดินเผาเมืองฟ้าแดดสงยางด้วย ซึ่งอักษรที่ใช้จารึกเป็นอักษรสมัยหลังปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ 14) ภาษามอญโบราณ ด้านบนมีเนื้อหากล่าวถึง พระเจ้าอาทิตย์ ส่วนด้านหลัง เป็นข้อความสั้นๆ กล่าวแต่เพียงสังเขปว่า "พระพิมพ์องค์นี้ ปิณญะอุปัชฌายาจารย์ ผู้มีคุณเลื่องลือไกล" ซึ่งก็อาจแปลความได้ว่า พระพิมพ์องค์นี้ ท่านปิณญะอุปัชฌาจารย์ เกจิผู้มีชื่อเสียงได้สร้างขึ้นไว้สำหรับให้สาธุชนได้รับไปบูชา

สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 17-18)

ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 17-18 เป็นต้นไปดูเหมือนว่าชุมชนโบราณแห่งนี้จะเริ่มเปลี่ยนค่านิยมเกี่ยวกับการปลงศพโดยนิยมการเผาแล้วเก็บอัฐิใส่โกศดินเผาไปฝังไว้ใต้ศาสนสถาน (บริเวณโนนฟ้าแดด) ดังที่พบผอบดินเผาเคลือบสีน้ำตาลอมเขียวที่ภายในบรรจุอัฐิ

สมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 19-23)

ช่วงนี้เองที่ชุมชนแห่งนี้มีการติดต่อกับชุมชนในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งภาคเหนือของไทยด้วย เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซุ่ย หยวน หมิง ที่เป็นสินค้าสำคัญในบริเวณลุ่มแม่น้ำมูล-ชี และลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็ปรากฏในเมืองโบราณแห่งนี้ด้วย สมัยนี้ยังพบว่ามีการอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น มีการสร้างศาสนสถานแบบอยุธยาซ้อนทับฐานศาสนสถานแบบทวารวดีเกือบทุกแห่ง ที่เห็นร่องรอยเด่นชัดที่สุดในปัจจุบัน คือ ฐานล่างของพระธาตุยาคู ซึ่งเป็นศิลปะสมัยทวารวดีที่มีเจดีย์เป็นแบบศิลปะสมัยอยุธยาสร้างซ้อนทับและมีการบูรณปฏิสังขรณ์สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

16°19′08″N 103°31′15″E / 16.318779°N 103.520867°E / 16.318779; 103.520867

Tags:

ฟ้าแดดสงยาง ที่ตั้งและภูมิศาสตร์ฟ้าแดดสงยาง ประวัติและการขุดค้นฟ้าแดดสงยาง อ้างอิงฟ้าแดดสงยาง แหล่งข้อมูลอื่นฟ้าแดดสงยางกรมศิลปากรจังหวัดกาฬสินธุ์ทวารวดีพระธาตุยาคูหินทรายอำเภอกมลาไสยใบเสมา

🔥 Trending searches on Wiki ไทย:

ซูเปอร์เซ็นไตซีรีส์นักเรียนราชวงศ์ชิงประเทศเกาหลีประเทศนิวซีแลนด์จังหวัดนครปฐมสัปเหร่อ (ภาพยนตร์)เก็จมณี วรรธนะสินโปรแกรมเลียนแบบรายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาครศุภชัย ใจเด็ดสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงสกีบีดีทอยเล็ตร่างทรง (ภาพยนตร์)เมษายนอินทิรา โมราเลสการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 25661ณัฐฐชาช์ บุญประชมภาษาในประเทศไทยจูด เบลลิงงัมรายชื่อละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 เอชดีฟุตบอลทีมชาติอังกฤษฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกสจิรายุ ตั้งศรีสุขญีนา ซาลาสประวัติศาสตร์จีนทวีปอเมริกาเหนือจังหวัดบุรีรัมย์ปิยวดี มาลีนนท์โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมีนาคมลาลิกา ฤดูกาล 2018–19ประเทศออสเตรียเอสบีโอเบทคาราบาวโลก (ดาวเคราะห์)กรงกรรมรายพระนามพระมหากษัตริย์ไทยพัฒน์ชัย ภักดีสู่สุขบอลทิมอร์มาสค์ไรเดอร์ซีรีส์ดาวิกา โฮร์เน่จังหวัดสุโขทัยฟุตบอลโลก 2026คณะสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่นศาสนาพรีเมียร์ลีกสโมสรฟุตบอลโอเดนเซรายชื่อตอนในโปเกมอนชญานิศ จ่ายเจริญเฟซบุ๊กดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)บัวขาว บัญชาเมฆพรรคภูมิใจไทยอัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์จังหวัดระยองรายชื่อโรงเรียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานักเตะแข้งสายฟ้าประเทศสวีเดนประวัติยูทูบธีรเทพ วิโนทัยโดราเอมอนนิโคลัส มิคเกลสันหอแต๋วแตก (ภาพยนตร์ชุด)อแมนด้า ออบดัมภาคใต้ (ประเทศไทย)เพลงอุณหภูมิอาณาจักรอยุธยาลุค อิชิกาวะ พลาวเดนนิภาภรณ์ ฐิติธนการโรงเรียนชลกันยานุกูลจังหวัดน่านพงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัยหม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุลสุจาริณี วิวัชรวงศ์🡆 More