การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นการรวบรวมกองกำลังของเจ้าตาก เพื่อขับไล่กองทัพพม่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยา ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง อันส่งผลให้เกิดสภาพจลาจลโดยทั่วไป ราชอาณาจักรอยุธยาเดิมจึงถูกแบ่งออกเป็นชุมนุมต่าง ๆ เป็นอิสระต่อกัน

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก
พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐาน ณ หัวทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี (วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์)

ราวปี พ.ศ. 2309 ก่อนเสียกรุง พระยาตากได้นำทหารในบังคับบัญชาตีฝ่าวงล้อมของกองทัพพม่าไปทางด้านทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา เพื่อรวบรวมผู้คนและยุทธปัจจัยต่าง ๆ มาสู้รบกับกองทัพพม่าอีกครั้ง ในระหว่างนั้นยังได้ตั้งตนเป็นเจ้าเมืองระยอง เมื่อ เจ้าตาก เตรียมกำลังรบจนพร้อมสรรพแล้ว จึงได้เคลื่อนพลกลับไปยังกรุงศรีอยุธยาทางด้านปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทำการขับไล่ทหารพม่าที่ยังคงเหลืออยู่ออกไปได้

เบื้องหลัง

พระชาติกำเนิดของสมเด็จพระเจ้าตากสิน

สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2277 ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอยุธยา พระนามเดิมว่า สิน หรือเจิ้งเจา (鄭昭 พินอิน: Zhèng Zhāo แต้จิ๋ว: dên7 ziao1 แตเจียว) หรือเจิ้งสิน (鄭信 พินอิน: Zhèng Xìn แต้จิ๋ว: dên7 sing3 แตเส่ง) เป็นบุตรของนายเจิ้งยง (鄭鏞 พินอิน: Zhèng Yōng) กับพระราชมารดาชื่อว่านางนกเอี้ยง ซึ่งอาจเป็นคนสยามหรืออาจเป็นคนจีนสกุลแซ่โหงวหรืออาจมีเชื้อสายมอญ เรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินก่อนการขึ้นครองราชสมบัติส่วนใหญ่ได้ข้อมูลมาจากงานเขียนเรื่อง"อภินิหารบรรพบุรุษ" ในพงศาวดารปรากฏหลายครั้งว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเป็นบุตรของ"จีนไหฮอง"หรือ"จีนไหหง" ซึ่งคำว่า"ไหฮอง"นี้อาจหมายถึงชื่อเดิมของนายเจิ้งยงพระราชบิดา หรืออาจหมายถึงอำเภอไห่เฟิงในเขตเมืองซัวเถา ซึ่งนามว่า"เจิ่งยง"นี้ได้มาจากเอกสารจีน ซึ่งระบุว่าเจิ้งยงเป็นชาวจีนแต้จิ๋วอพยพมาจากหมู่บ้านหวาฟู้ (華富) เมืองเฉิงไห่ มณฑลกวางตุ้ง

"อภินิหารบรรพบุรุษ"ระบุว่า เมื่อนายสินเกิดมาแล้ว มีงูมาพันรอบตัว บิดาคือนายเจิ้งยงเห็นว่าไม่เป็นมงคล จึงเอานายสินเมื่อครั้งยังเป็นทารกไปวางไว้หน้าบ้านเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาจักรีจึงรับเลี้ยงนายสินเป็นเห็นบุตรบุญธรรม และต่อมาเติบโตขึ้นได้รับราชการเป็นขุนนางมหาดเล็กในกรุงศรีอยุธยา เรื่อง"อภินิหารบรรพบุรุษ"ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2473 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์พินิตโปรดให้พิมพ์เป็นของชำร่วยในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าปิยะภักดีนาถ สุประดิษฐ์ "อภินิหารบรรพบุรุษ"อาจเป็นผลงานของก.ศ.ร.กุหลาบ นักประวัติศาสตร์ โดยคัดลอกมาจากหนังสือโบราณสมุดไทยขาวฉบับหนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้เผยแพร่เนื้อความของ"อภินิหารบรรพบุรุษ"ออกมาก่อนหน้านั้นแล้วในวารสารของตนเอง หนังสือเรื่อง"อภินิหารบรรพบุรุษ"นี้ไม่ใช่เอกสารร่วมสมัย มีความน่าเชื่อถือน้อย และข้อมูลขัดแย้งกับพงศาวดารหลายประการ เอกสารหลักฐานที่เขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ระบุไปในลักษณะว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น เดิมทรงเป็น"พ่อค้าเกวียนต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองตาก" ดังเช่นพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุในตอนที่มหาโสภิตเจ้าอารามวัดใหม่ ถวายพุทธทำนายเขียนใส่ใบตาลถวายเมื่อพ.ศ. 2319 หลังจากสงครามอะแซหวุ่นกี้ ว่า;

...กรุงเทพเสียแก่พม่าแล้ว ยังมีชายพ่อค้าเกวียนนั้นจะได้เป็นพระยาครองเมืองทิศใต้กรุงชายชเลชื่อเมืองบางกอก...

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับปลีก หมายเลข 2/ก101 บรรยายการวิ่งเต้นเป็นเจ้าเมืองตากโดยผ่านทางเจ้าพระยาจักรี;

ขนะนั้น ยังมีบุตรจีนคลองสวนพลูคนหนึ่งขึ้นไปค้าขายหยู่นะเมืองตากหลายปี ครั้นหยู่มา จีนผู้นั้นเปนคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ช่วยกรมการชำระถ้อยความของราสดรหยู่เนืองๆ เจ้าเมืองตากนั้นป่วยลงก็ถึงแก่ความตาย จีนมีชื่อผู้นั้นก็ตัดผมเปนไทย ลงมานะกรุงสรีอยุธยา จะเดินเปนเจ้าเมืองตาก

พรยาตากอาจไม่ได้เป็นผู้ดีอยุธยามาแต่ก่อน เอกสารเกี่ยวกับพระเจ้าตากสินที่เขียนขึ้นนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา มักกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระยาตากกับขุนนางเก่ากรุงศรีอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานชั้นต้นร่วมสมัยมาสนับสนุนและมักขัดแย้งกันเอง ข้อมูลที่ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯได้ทรงคุ้นเคยสนิทสนมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมาตั้งแต่ก่อนเสียกรุง รวมทั้งการที่นายสินรู้จักกับนายบุนนาคตาม"จดหมายเหตุประถมวงศกุลบุนนาค"ซึ่งรวบรวมโดยก.ศ.ร.กุหลาบ และมีซินแสมาทำนายว่าจะได้เป็นพระมหากษัตริย์นั้น มาจากเรื่อง"อภินิหารบรรพบุรุษ"และไม่มีหลักฐานชั้นต้นยืนยันเช่นกัน ในขณะที่พงศาวดารพระพนรัตน์ระบุว่าเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงปราบดาภิเษกแล้ว พระมหามนตรี (บุญมา) จึงได้นำพี่ชายมาถวายตัวเป็นข้าราชการกรุงธนบุรี "ขณะนั้นพระมหามนตรีจึ่งกราบทูลพระกรุณาว่า จะขอไปรับหลวงปลัดราชบูรีย์ผู้พี่นั้น มาถวายตัวทำราชการ จึ่งโปรดให้ไปรับเข้ามา แล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นพระราชริณ"

พงศาวดารพระพนรัตน์ระบุว่า ในระหว่างที่พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาตากได้เลื่อนขึ้นเป็นที่พระยากำแพงเพชรเจ้าเมืองกำแพงเพชร "ครั้งถึง ณะ เดือน ๑๒ น่าน้ำ จึ่งทรงพระกรรุณาโปรดให้พญาตากเลื่อนที่เปนพญากำแพงเพช" นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสนอว่า "พระยาวชิรปราการ" อาจเกิดจากการแปลชื่อเมืองกำแพงเพชรเป็นภาษาบาลี ว่า "วชิรปราการ" ในจุลยุทธการวงศ์ซึ่งเป็นพงศาวดารภาษาบาลี อีกทั้งราชทินนามโดยปกติของเจ้าเมืองกำแพงเพชรนั้นคือ"พระยารามรณรงค์สงคราม"ไม่ใช่พระยาวชิรปราการ อย่างไรก็ตาม พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ไม่ปรากฏเหตุการณ์ว่าพระยาตากได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรแต่อย่างใด ยังคงเป็น"พระยาตาก"อยู่จนเสียกรุงฯ

พม่ารุกรานกรุงศรีอยุธยา

ในช่วงที่ราชวงศ์ตองอูของพม่าอ่อนแอลงนั้น ชาวมอญในพม่าลุ่มแม่น้ำอิรวะดีตอนล่างสามารถแยกตัวเป็นอิสระฟื้นฟูอาณาจักรหงสาวดีขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ ในพ.ศ. 2295 พญาทะละ (Binnya Dala) กษัตริย์มอญหงสาวดียกทัพเข้ายึดเมืองอังวะราชธานีของพม่าได้ จับองค์กษัตริย์พม่ากลับไป เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ตองอูของพม่าที่ธำรงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ในสูญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นในพม่าตอนบน เปิดโอกาสให้ชาวบ้านนายพรานชาวพม่าชื่อว่าอองไจยะ (Aung Zeiya) ตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นที่หมู่บ้านมุกโซโบ (Moksobo ปัจจุบันคือชเวโบ Shwebo) เพื่อต่อต้านอำนาจการยึดครองของชาวมอญ อองไจยะปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าอลองพญา (Alaungpaya) ก่อตั้งราชวงศ์โก้นบอง (Konbaung dynasty) พระเจ้าอลองพญาทรงรวบรวมอำนาจและดินแดนในพม่าตอนบนและแผ่ขยายอำนาจไปยังพม่าตอนล่างซึ่งเป็นดินแดนของชาวมอญ พระเจ้าอลองพญาทรงสามารถยึดและทำลายเมืองหงสาวดีราชธานีของมอญได้สำเร็จในพ.ศ. 2300 ทำให้อาณาจักรมอญหงสาวดีสิ้นสุดลง

เมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ถูกลงพระราชอาญาจนถึงสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2298 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงแต่งตั้งกรมขุนพรพินิตเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นที่มหาอุปราชต่อมา โดยที่ทรงไม่แต่งตั้งให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีเจ้าฟ้าเอกทัศน์ให้เป็นอุปราชเนื่องจากทรงเห็นว่ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นขาดความสามารถ "กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น เป็นวิสัยพระทัยปราศจากความเพียร ถ้า จะให้ดำรงฐานาศักดิ์อุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่ง ก็จะเกิดวิบัติ ฉิบหายเสีย" เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคตในเดือนเมษายน พ.ศ. 2301 "เจ้าสามกรม"ยกกำลังพลขึ้นทำสงครามเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ นำไปสู่สงครามกลางเมืองอยุธยา แม้ว่าสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจะทรงเอาชนะเจ้าสามกรมได้ เจ้าสามกรมถูกสำเร็จโทษประหารชีวิต แต่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงอยู่ในราชสมบัติเพียงหนึ่งเดือนกว่าก็สละราชสมบัติถวายเวนคืนราชสมบัติให้แก่พระเชษฐากรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเจ้าอุทุมพรเสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้รับการขนานพระนามว่า"ขุนหลวงหาวัด" กรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์เป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรอยุธยา

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาแห่งพม่าราชวงศ์โก้นบองยกทัพพม่าเข้าโจมตีเมืองทวายมะริดตะนาวศรี เป็นจุดกำเนิดของสงครามพระเจ้าอลองพญา ฝ่ายพม่ายกทัพเข้ามาถึงล้องกรุงศรีอยุธยาในเดือนเมษายน แต่ทัพพม่าต้องเผชิญกับปรากฏการณ์น้ำท่วมรอบกรุงศรีอยุธยาและพระเจ้าอลองพญาประชวร เป็นเหตุให้พม่าจำต้องยกทัพถอยกลับ พระเจ้าอลองพญาเสด็จสวรรคตที่กลางทางในครั้งนั้น ต่อมาพม่าสามารถตีได้หัวเมืองเชียงใหม่ล้านนาในพ.ศ. 2306 และได้อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ในพ.ศ. 2308 เป็นเหตุให้อาณาจักรต่อแดนทางทิศเหนือของสยามล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าทั้งสิ้น ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2308 พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่มีพระราชโองการให้ยกทัพเข้ารุกรานโจมตีอยุธยาจากสองทางได้แก่จากทางเหนือและจากทางตะวันตก ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาระดมกำลังพลป้องกันกรุงศรีอยุธยาอยู่ภายในเมือง บรรดาหัวเมืองรอบนอกบ้างต่อสู้กับพม่าบ้างยอมจำนนต่อพม่า พม่าสามารถยกเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยาได้อย่างรวดเร็ว เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งในเดือนมกราคมพ.ศ. 2309

ประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ. 2309 สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชโองการให้เจ้าพระยาพระคลังยกทัพออกไปรบกับทัพของเนเมียวสีหบดีที่ปากน้ำประสบทางเหนือของอยุธยา ถูกพม่าตีโอบล้อม เจ้าพระยาพระคลังและบรรดาแม่ทัพนายกองต่างถอยลงมาอยู่ที่โพธิ์สามต้น มีเพียงแต่พระยาตากเท่านั้นที่ยังรอสู้รบอยู่แล้วถึงถอยตามมาในภายหลัง ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2309 ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาให้พระยาตาก พระยาเพชรบุรี (เรือง) และหลวงศรเสนี ยกทัพออกไปตั้งสกัดพม่าที่วัดใหญ่ชัยมงคล สู้รบกับพม่าที่วัดสังฆาวาส ทางตะวันออกเฉียงใต้ของราชธานีอยุธยาใกล้กับวัดใหญ่ชัยมงคล พระยาเพชรบุรี (เรือง) ถูกสังหารสิ้นชีวิตในที่รบ ในพงศาวดารระบุว่าพระยาตากเฝ้าดูอยู่ไม่ได้ยกออกมาช่วย (พันจันทนุมาศ: พระยาตาก หลวงศรเสนี ถอยมาแอบดูหาช่วยหนุนไม่ พระพนรัตน์: กองพญากำแพงเพชญ หลวงศรเสนี จอดรอดูเสีย หาเข้าช่วยอุดหนูนกันไม่)

พระยาตากเดินทัพไปจันทบุรี

พระยาตากออกจากอยุธยา

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก 
วัดพิชัยสงคราม ทางตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา สถานที่ซึ่งพระยาตากได้รวบรวมกำลังพลเพื่อตีฝ่าวงล้อมพม่าออกไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2310

ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2309 (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2310) ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ จุลศักราช 1128 ปีจอ อัฐศก ประมาณสามเดือนก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาฯ พระยาตากเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงต้องเสียทีแก่พม่า จึงตัดสินใจร่วมกับพระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี พร้อมด้วยพลทหารไทยและจีนราว 500 คน มีปืนเพียงกระบอกเดียว แต่ชำนาญด้านอาวุธสั้น ยกออกไปตั้งกองกำลังที่วัดพิชัยสงคราม ทางตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา และยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัยฯในคืนนั้น ตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าไปทางทิศตะวันออก ไปทางบ้านข้าวเม่า เมื่อพระยาตากเดินทัพถึงสามบัณฑิตในเวลาเที่ยงคืนสองยามเศษ ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา สว่างโชติช่วงจนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล

ในวันรุ่งขึ้น วันอาทิตย์ขึ้น 5 ค่ำ เดือนยี่ ทัพพม่าติดตามมาพบกับพระยาตากที่บ้านโพธิ์สังหาร (ตำบลโพสาวหาญ อำเภออุทัย) ทัพของพระยาตากได้ต่อสู้กับกองทหารพม่าในการรบที่บ้านโพธิ์สังหาร (บริติชมิวเซียม: โพสาวหาญ) จนฝ่ายพม่าล้มตายและบางส่วนแตกหนีไป ก่อนเดินทางไปตั้งค่ายพักอยู่บ้านพรานนก ในขณะนั้นมีทหารพม่ากองหนึ่งซึ่งประกอบด้วยทหารม้าประมาณ 30 คน ทหารเดินเท้าประมาณ 200 คน เดินทางมาจากบางคางแขวงเมืองปราจีนบุรี สวนทางมาพบทหารพระยาตากที่เที่ยวหาเสบียงอาหาร ทหารพม่าก็ไล่ตามมาแต่ถูกกลอุบาย "วงกับดักเสือ"ถูกตีกระหนาบจนแตกหนีไป

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก 
เส้นทางเดินทัพของพระยาตาก

รุ่งขึ้นวันจันทร์ขึ้น 6 ค่ำ ขุนชำนาญไพรสณฑ์ (บริติชมิวเซียม: ขุนชำนาญไพร่สน) เข้าสวามิภักดิ์ต่อพระยาตาก และนำช้างหกเชือกมามอบให้ จากนั้นพระยาตากเดินทางไปถึงบ้านดง (อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก) ขุนหมื่นพันทนายผู้นำท้องถิ่นไม่ยินยอมเข้าร่วมกับพระยาตาก กลับซ่องสุมกำลังพลไว้ต่อสู้ พระยาตากให้ทหารไปเกลี้ยกล่อมถึงสามครั้งไม่เป็นผล จึงในวันอังคารขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ (6 มกราคม พ.ศ. 2310) พระยาตากยกทัพเข้าโจมตีค่ายบ้านดง นำไปสู่การรบที่บ้านดง ฝ่ายค่ายบ้านดงนำกำลังจำนวน 1,000 คน ออกมาต้านทานพระยาตาก พระยาตากนำทัพเข้ายึดค่ายบ้านดงได้สำเร็จ ชาวบ้านบ้านดงแตกกระจายหนีไป ยึดได้ช้างเจ็ดเชือกและเสบียงเงินทองต่างๆ

หลังจากนั้นเจ้าตากจึงยกกองทหารไปทางนาเริง เมืองนครนายก ผ่านด่านกบแจะ ข้ามลำน้ำปราจีนบุรี ไปตั้งพักอยู่ชายดงศรีมหาโพธิ์ ข้างฝั่งตะวันออก พม่าที่ตั้งทัพอยู่ปากน้ำเจ้าโล้ หรือปากน้ำโจ้โล้ (บริติชมิวเซียม: ปากน้ำเจ้าโล้) เมืองฉะเชิงเทรา ปรากฏว่าพระเชียงเงิน ขุนพิพิธวาที (ตั้งเลี้ยง) และนักองค์รามฯ (นักองค์โนน) เจ้าชายกัมพูชา สามคนนี้เดินทางตามมาไม่ทัน พระยาตากจึงควบม้าไปกับหลวงพรหมเสนาย้อนไปตามตัวทั้งสามคนแต่ไม่พบ ต่อมาพระเชียงเงินเดินทางมาถึง พระยาตากมีคำสั่งให้โบยพระเชียงเงินสามสิบที จากนั้นพระยาตากเห็นว่ากิริยาของพระเชียงเงินไม่เป็นใจกับราชการ จึงมีคำสั่งให้ประหารชีวิตพระเชียงเงินเสีย แต่บรรดาแม่ทัพนายกองได้ขอให้ไว้ชีวิต

ในวันจันทร์ขึ้นสิบสามค่ำเดือนยี่ (13 มกราคม พ.ศ. 2310) พม่าติดตามมาและไล่ฟันแทงคนที่เลื่อยล้าล่าช้าอยู่ข้างหลัง พระยาตากได้เห็นแล้วจึงให้นายบุญมีควบม้าลงไปดูว่าพม่ายกมาจากที่ใด นายบุญมีพบว่าพม่ายกทัพมาจากปากน้ำโจ้โล้ ยกมาทั้งทางบกและทางเรือ มาขึ้นบกที่ท่าข้าม พระยาตากตั้งรับอยู่ที่ปราจีนบุรีออกคำสั่งให้ตั้งปืนใหญ่เป็นตับซุ่มอยู่สองข้างทาง เมื่อพม่ายกทัพมาถึง พระยาตากพร้อมทั้งขุนชำนาญไพรสณฑ์ พระเชียงเงิน นายบุญมี นายทองดี และนายแสง ยกกำลังทหาร 100 คน ออกมาลวงพม่าให้เข้ามาในที่ซี่งซุ่มปืนใหญ่ไว้ จากนั้นให้ยิงปืนใหญ่ออกพร้อมกันฝ่ายพม่าล้มตายลงไป พระยาตากล่อลวงฝ่ายพม่าให้เข้ามาในช่องซุ่มอีกรวมทั้งหมดสามครั้ง ฝ่ายพม่าจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด

จากนั้นพระยาตากเดินทางยกทัพลงมาตามแม่น้ำบางปะกง ไปถึงบางปลาสร้อย ที่บ้านนาเกลือบางละมุงพระยาตากได้ต่อสู้กับนายกลม (พันจันทนุมาศ: นายกล่ำ) จนนายกลมได้ยอมสวามิภักดิ์ และนายกลมยังได้นำพระยาตากเดินทางไปยังพัทยา ต่อไปยังนาจอมเทียน ต่อไปยังสัตหีบถึงชายทะเล และพักที่หินโด่งและน้ำเก่า

พระยาตากที่เมืองระยอง

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก 
ค่ายท่าประดู่ วัดลุ่มมหาชัยชุมพล เมืองระยอง สถานที่ซึ่งพระยาตากได้มาตั้งค่ายและพำนักอาศัยอยู่เป็นเวลาประมาณห้าเดือนในพ.ศ. 2310 ก่อนที่จะยกทัพไปตีเมืองจันทบุรี

ในวันพุธแรมเจ็ดค่ำเดือนยี่ (21 มกราคม พ.ศ. 2310) พระระยอง (บุญเมือง พระพนรัตน์: พระรยองบุญเมือง) ผู้รั้งเมืองระยองและกรมการเมืองระยอง ออกมาต้อนรับพระยาตากที่น้ำเก่าและมอบอาหารเสบียงให้ พระยาตากจึงมอบปืนคาบศิลากระบอกหนึ่งให้แก่ผู้รั้งเมืองระยองเป็นการตอบแทน ในวันนั้นพระยาตากได้ยกทัพมาตั้งค่ายที่ค่ายท่าประดู่วัดลุ่มมหาชัยชุมพลในเมืองระยอง ที่เมืองระยองพระยาตากได้แต่งตั้งพระเชียงเงินให้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ "ท้ายน้ำ" เรียกว่า พระเชียงเงินท้ายน้ำ

อีกสองวันต่อมามีนายบุญรอดแขนอ่อน นายหมอก และนายบุญมา ทั้งสามคนนี้เป็นน้องชายของภรรยาของพระยาจันทบุรี (เจ้าขรัวหลาน) ได้นำความมาบอกแก่พระยาตากที่วัดลุ่มมหาชัยชุมพล ใจความว่าขุนรามและหมื่นซ่อง นายทองอยู่นกเล็ก (พระพนรัตน์: นายทองอยู่น้อย) ขุนจ่าเมือง (ด้วง) และหลวงพลแสนหาญฝ่ายกรมการเมืองระยอง วางแผนยกทัพจำนวน 1,500 คน เข้าโจมตีพระยาตาก พระยาตากจึงเรียกตัวพระระยอง (บุญเมือง) ผู้รั้งเมืองระยองมาพบ ถามพระระยองว่าฝ่ายกรมการเมืองระยองวางแผนจะลอบโจมตีพระยาตากจริงหรือไม่ พระระยองปฏิเสธแต่พระยาตากไม่ไว้วางใจพระระยองจึงให้หลวงพรหมเสนานำตัวไปกุมขังไว้ แล้วพระยาตากจึงเตรียมอาวุธกำลังพลไว้รับป้องกันการโจมตี ดังนี้;

  • กองกำลังฝ่ายไทย ถือปืนคาบศิลา มีผู้นำได้แก่ พระเชียงเงินท้ายน้ำ หลวงชำนาญไพรสณฑ์ หลวงพรหมเสนา นายบุญมี นายแสง นายอยู่ศรีสงคราม นายนาค ธำมะรงค์อิ่ม
  • กองกำลังฝ่ายจีน ถือดาบและง้าว ประกอบด้วย หลวงพิพิธ (ตั้งเลี้ยง) หลวงพิชัยราชา ขุนจ่าเมือง เสือร้าย หมื่นท่อง หลวงพรหม

ในคืนของวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2310 เวลาประมาณทุ่มเศษ ขุนรามหมื่นซ่อง นายทองอยู่นกเล็ก ฯลฯ ยกทัพซุ่มเข้ามาในเมืองระยองเพื่อโจมตีพระยาตากที่วัดลุ่มมหาชัยชุมพล นำไปสู่การรบที่ระยอง ฝ่ายขุนรามหมื่นซ่องตั้งค่ายล้อมพระยาตากสองด้าน จากนั้นโห่ร้องเข้าโจมตี ขุนจ่าเมือง (ด้วง) ยกกำลังข้ามสะพานวัดเนินเข้ามาโจมตี พระยาตากให้ยิงปืนใส่สะพานถูกขุนจ่าเมือง (ด้วง) และทหารตกสะพานเสียชีวิตจำนวนมาก ฝ่ายขุนรามหมื่นซ่องจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด โดยที่ขุนรามและหมื่นซ่องหลบหนีไปตั้งหลักที่เมืองแกลง ในขณะที่นายทองอยู่นกเล็กไปอยู่ที่ชลบุรี ฝ่ายพระยาตากเก็บได้เสบียงอาวุธและเชลย

ภายในเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากที่เดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยา พระยาตากสามารถยึดเมืองระยองเป็นที่มั่นได้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่เหนือกว่าชุมนุมอื่น ๆ ในการกอบกู้กรุงศรีอยุธยา

ประมาณเจ็ดวันหลังจากได้รับชัยชนะที่ระยอง พระยาตากประกาศว่าจะนำเมืองจันทบุรีมาไว้ในอำนาจให้จงได้ โดยในชั้นแรกใช้วิธีทางการทูตก่อน โดยให้นายเผือกชาวญวนและนักมาชาวเขมร นำผู้แทนพระยาตากสามคนได้แก่ นายบุญมีมหาดเล็ก นายบุญรอดแขนอ่อน และนายบุญมา ทั้งสามคนนี้เป็นน้องชายของภรรยาพระยาจันทบุรี เดินทางโดยเรือออกไปจากปากน้ำเมืองระยองอีกห้าวันถึงเมืองจันทบุรี พระยาจันทบุรี (เจ้าขรัวหลาน) ให้การต้อนรับผู้แทนของพระยาตากเป็นอย่างดี พร้อมทั้งให้สัญญาว่าในอีกสิบวันจะจะจัดขบวนออกไปรับพระยาตากด้วยตนเองไปที่เมืองจันทบุรี พระยาจันทบุรีกระทำสัตย์สาบานต่อหน้าศาลเทพารักษ์ บรรดาผู้แทนพระยาตากเห็นว่าพระยาจันทบุรีให้สัญญาแล้ว จึงเดินทางกลับเมืองระยองนำความบอกแก่พระยาตาก เวลาผ่านไปสิบวัน พระยาจันทบุรีไม่มาตามที่ได้สัญญาไว้แต่ส่งข้าวเปลือกสี่เกวียนบรรทุกเรือมามอบให้แก่พระยาตากแทน

เมื่อครั้งที่พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น พระยาราชาเศรษฐีหมักเทียนตื๊อเจ้าเมืองบันทายมาศห่าเตียนได้เคยส่งทัพเรือมาช่วยที่ปากน้ำกรุงศรีอยุธยา พระยาตากจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือทางทหารจากหมักเทียนตื๊อที่เมืองพุทไธมาศ ซึ่งเป็นผู้นำชาวจีนที่ทรงอำนาจที่สุดในภูมิภาคในขณะนั้น โดยมีศุภอักษรให้พระยาพิชัยราชาและนายบุญมีนำไปมอบให้แก่หมักเทียนตื๊อ ในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2310 เป็นการติดต่อกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างพระยาตากและหมักเทียนตื๊อ พระยาพิชัยราชาและนายบุญมีเดินทางถึงเมืองบันทายมาศเมื่อวันแรม 14 ค่ำ เดือนสี่ (28 มีนาคม พ.ศ. 2310) นำศุภอักษรและเสื้อผ้าอย่างฝรั่งมอบให้แก่หมักเทียนตื๊อ

ฝ่ายขุนรามและหมื่นซ่องซึ่งได้แตกพ่ายแพ้ไปอยู่ที่เมืองแกลงนั้น ได้ส่งกองกำลังมาลอบโจมตีลักขโมยโคกระบือช้างม้าที่เมืองระยองอยู่บ่อยครั้ง ในวันอาทิตย์แรม 1 ค่ำเดือนสี่ (15 มีนาคม พ.ศ. 2310) พระยาตากจึงนำทัพออกไปปราบขุนรามหมื่นซ่องและกองกำลังฝ่ายศัตรูที่เมืองแกลง บ้านประแสร์ บ้านค่าย บ้านกล่ำ จนขุนรามหมื่นซ่องพ่ายแพ้อีกครั้งและครั้งนี้หลบหนีไปพึ่งพิงพระยาจันทบุรีที่เมืองจันทบุรี ฝ่ายพระยาตากจับได้เชลยทหารและช้างม้าโคกระบือกลับมาได้

การประกาศยึดเมืองระยองได้กระทำกลางทุ่งนาและไพร่พลจำนวนมาก พระยาตากได้ประทับ ณ บริเวณวัดลุ่มมหาชัยชุมพล หลังจากนั้นบรรดาแม่ทัพนายกองที่สวามิภักดิ์ ต่างพร้อมใจกันยกพระยาตากขึ้นเป็นผู้นำขบวนการกอบกู้แผ่นดินและเรียกพระยาตากว่า เจ้าตาก นับตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้จะเป็นเสมือนผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง แต่เจ้าตากก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ ให้เรียกคำสั่งว่าพระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอกเท่านั้น "จึ่งยกพญากำแพงเพ็ชขึ้นเป็นจ้าวเรียกว่า จ้าวตาก ตามนามเดีมแล้วรับพระประสาตร์หย่างหัวเมืองเอก"

วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310[I] เวลาประมาณบ่ายสามโมง พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนคร จากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่าย พอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง เวลา 2 ทุ่ม แม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน พม่าเอาบันไดปีนพาดเข้ามาได้ตรงที่กำแพงทรุดนั้นก่อน ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง

หลังจากกรุงแตกแล้ว กองทัพพม่าได้พักอยู่ถึงวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2310 ก่อนจะรวบรวมเชลยและทรัพย์สมบัติแล้วยกทัพกลับ ในบรรดาเชลยนั้นมีสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรไปด้วย เนเมียวสีหบดีได้แต่งตั้งให้สุกี้เป็นนายทัพ คุมพล 3,000 คน ตั้งค่ายอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น คอยกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินตามกลับไปภายหลัง

หลังจากนั้นทำให้เกิดชุมนุมทางการเมืองในระดับต่าง ๆ ซึ่งเป็น "รัฐบาลธรรมชาติ" ขึ้นมาในท้องถิ่นทันที ส่วนรัฐบาลธรรมชาติซึ่งมีขนาดใหญ่เกิดจากการที่บรรดาเจ้าเมืองขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนักได้ตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน เรียกว่า "ชุมนุม" หรือ "ก๊ก" ซึ่งมีจำนวน 4-6 แห่งทีเดียว นับเป็นมหันตภัยร้ายแรงเมื่อไม่มีชุมนุมทางการเมืองใดที่จะกอบกู้เอกราชหรือฟื้นฟูชาติให้กลับคืนดังเดิม

อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ข่าวกรุงแตกได้แพร่กระจายออกไปขณะที่พระยาตากอยู่ที่เมืองระยอง พระยาตากจึงได้ประกาศตนเป็นผู้นำในการกอบกู้กรุงศรีอยุธยาให้กลับรุ่งเรืองดังเดิม พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงคำพูดของพระยาตากไว้ตอนหนึ่งว่า

ตัวเราคิดจะซ่องสุมประชาราษฎรในแขวงหัวเมืองให้ได้มาก แล้วจะยกกลับไปกู้กรุงให้คงคืนเป็นราชธานีดังเก่า แล้วจัดทำนุบำรุงสมณพราหมณาประชาราษฎร ซึ่งอนาถาหาที่พำนักมิได้ให้ร่มเย็นเป็นสุขานุสุข แล้วจะยอยกพระบวรพุทธศาสนาให้โชตนาการขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน เราจะตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้นให้คนทั้งหลายยำเกรงจงมาก ซึ่งจะก่อกู้แผ่นดินจึงจะสำเร็จโดยง่าย ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด

— พระยาตาก
การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก 
วัดใหญ่อินทาราม อำเภอเมืองชลบุรี สถานที่ซึ่งพระยาตากยกทัพมาปราบนายทองอยู่นกเล็กที่เมืองชลบุรี

พระยาพิชัยราชาและนายบุญมีเดินทางกลับจากเมืองบันทายมาศถึงเมืองระยองในวันอาทิตย์แรม 15 ค่ำเดือนห้า (27 เมษายน) ในวันเดียวกันนั้นพระยาตากประกาศว่าจะยกทัพไปปราบนายทองอยู่นกเล็กที่เมืองชลบุรี พระยาตากยกทัพออกจากเมืองระยองในวันศุกร์ขึ้น 4 ค่ำเดือน 6 (1 พฤษภาคม) ยกทัพไปตั้งที่วัดหลวง (วัดใหญ่อินทาราม) ใกล้กับเมืองชลบุรี ให้นายบุญรอดแขนอ่อนและนายชื่นบ้านค่ายซึ่งเป็นเพื่อนกับนายทองอยู่นกเล็กเข้าไปเจรจาก่อน นายทองอยู่นกเล็กยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี นายบุญรอดแขนอ่อนจึงนำนายทองอยู่นกเล็กมาพบกับพระยาตากที่วัดหลวง กระทำพิธีสัตย์สาบานสวามิภักดิ์ต่อพระยาตาก แล้วนายทองอยู่นกเล็กจึงนำพระยาตากเข้าเมืองชลบุรี พระยาตากขี่ช้างมีนายบุญมีมหาดเล็กเป็นควาญท้าย ขี่ช้างเลียบชมเมืองชลบุรี พระยาตากแต่งตั้งนายทองอยู่นกเล็กให้เป็น"พระยาอนุราชบุรีศรีมหาสมุทร"เจ้าเมืองชลบุรี และแต่งตั้งขุนหมื่นกรมการเมืองชลบุรีตามตำแหน่ง พระยาตากมอบเสื้อเข้มขาบดอกแดกพื้นใหญ่ดุมทอง เข็มขัดทองประดับพลอยให้แก่พระยาอนุราชบุรีฯ รวมทั้งให้โอวาทสั่งสอนให้ประพฤติสุจริต

ฝ่ายพระยาจันทบุรี (เจ้าขรัวหลาน) ไม่ได้มาสวามิภักดิ์ต่อพระยาตากดังที่ได้สัญญาไว้แต่กลับร่วมมือกับขุนรามและหมื่นซ่องวางแผนโจมตีพระยาตาก พระยาจันทบุรีออกอุบายนิมนต์พระสงฆ์สี่รูปมาพบกับพระยาตากที่เมืองระยอง เชื้อเชิญให้พระยาตากเดินทางไปเมืองจันทบุรีเพื่อจับกุมพระยาตากโดยไม่ทันตั้งตัว พระภิกษุสี่รูปนั้นมาไม่ทันพระยาตากออกไปปราบเมืองชลบุรี เมื่อพระยาตากกลับมาเมืองระยองแล้วพระภิกษุสี่รูปนั้นจึงได้พบกับพระยาตาก บรรดาแม่ทัพนายกองต่างคัดค้านว่าอาจเป็นอุบายของพระยาจันทบุรี แต่พระยาตากพิจารณาแล้วว่าการเดินทางไปเมืองจันทบุรีนั้นจะเกิดประโยชน์ หากพระยาจันทบุรีคิดทรยศจะได้ปราบเสีย หากพระยาจันทบุรีสวามิภักดิ์จริงจะถือเป็นโอกาสให้โอวาทสอนสั่ง

การยึดเมืองจันทบุรี

ในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชาวจีนแต้จิ๋วอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในหัวเมืองชายทะเลตะวันออกของสยามได้แก่บางปลาสร้อยและจันทบุรี เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2310 เจ้าขรัวหลาน (เอกสารจีนเรียกว่า ผู่หลาน 普蘭 พินอิน: Pǔ Lán) ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองจันทบุรี

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310 เจ้าตากเดินทัพจากระยองผ่านแกลงเข้าบ้านพลอยแหวนบางกระจะ มุ่งยึดจันทบุรี ฝ่ายพระยาจันทบุรีให้หลวงปลัดออกมานำทางให้ทัพของพระยาตากให้เลี้ยวไปทางใต้เมืองจันทบุรี ข้ามแม่น้ำจันทบุรีไปยังฝั่งตะวันออกที่ซึ่งพระยาจันทบุรีได้เตรียมซุ่มกำลังไว้โจมตี แต่พระยาตากรู้ทันอุบายจึงมีคำสั่งให้นายบุญมีมหาดเล็กควบม้าไปห้ามทัพไม่ให้ข้ามแม่น้ำจันทบุรี พระยาตากยกทัพไปตั้งที่วัดแก้วบริเวณทางเข้าประตูท่าช้าง พระยาตากตั้งมั่นที่วัดแก้วส่วนพระยาจันทบุรีให้คนเข้าประจำที่เชิงเทินบนกำแพงเมือง พระยาจันทบุรีให้ตัวแทนของตนได้แก่"ขุนพรหมธิบาลผู้เป็นที่ท้ายน้ำ" นายลิ้ม นายแก้วแขก ธำมะรงค์พร นายเมฆแขก ออกมาต้อนรับพระยาตากและเชิญพระยาตากเข้าไปในเมืองจันทบุรี พระยาตากปฏิเสธ กล่าวว่าพระยาจันทบุรีเป็นผู้น้อย จะให้ผู้ใหญ่เข้าไปหาผู้น้อยไม่สมควร ต้องให้ผู้น้อยออกมาคารวะผู้ใหญ่ และให้พระยาจันทบุรีส่งตัวขุนรามและหมื่นซ่องออกมาให้พระยาตากเสียก่อน พระยาตากจึงจะไว้วางใจพระยาจันทบุรี

ขุนพรหมธิบาลนำความกลับไปบอกพระยาจันทบุรี พระยาจันทบุรีจึงให้ธำมะรงค์พรนำอาหารมามอบให้แก่พระยาตาก และให้พระภิกษุสงฆ์สี่รูปออกมาเชิญพระยาตากเข้าไปในเมืองจันทบุรีอีกครั้ง พระยาตากยังคงยืนยันให้พระยาจันทบุรีออกมาพบด้วยตนเอง สุดท้ายพระยาจันทบุรีส่งหลวงปลัดออกมาแจ้งแก่พระยาตากว่า ต้องการจะส่งตัวขุนรามหมื่นซ่องออกมาแต่ขุนรามหมื่นซ่องเกรงว่าจะถูกพระยาตากลงโทษ ฝ่ายพระยาตากเห็นว่าพระยาจันทบุรีบิดพลิ้วหลายครั้งจึงกล่าวว่า "พระยาจันทบูรมิได้ตั้งอยู่ในสัตยภาพแล้ว แลเห็นว่าขุนรามหมื่นส้องจะช่วยป้องกันเมืองไว้ได้ ก็ให้ตกแต่งการไว้ให้มั่นคงเถิด เราจะตีเอาให้จงได้"

เมื่อเจ้าเมืองจันทบุรีไม่ยอมสวามิภักดิ์ เจ้าตากต้องการยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นที่มั่นเพื่อรวบรวมกำลังมาตีพม่า จึงสั่งทหารทุกคนว่า "เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ ก็จะให้ได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว"

ในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2310 ครั้นถึงเวลา 19.00 น. เจ้าตากจึงได้สั่งให้ทหารไทยและจีนลอบเข้าไปอยู่ตามสถานที่ที่ได้วางแผนไว้แล้ว ให้คอยฟังสัญญาณเข้าตีเมืองพร้อมกัน จึงให้โห่ขึ้นให้พวกอื่นรู้ เมื่อเวลา 03.00 น. เจ้าตากก็ขึ้นคอช้างพังคีรีบัญชร ให้ยิงปืนสัญญาณพร้อมกับบอกพวกทหารเข้าตีเมืองพร้อมกัน ฝ่ายเมืองจันทบุรียิงกระสุนปืนลงมามากราวกับห่าฝน มีกระสุนปืนนัดหนึ่งลอดใต้ช้างของพระยาตาก ควาญช้างจึงเกี่ยวให้พังคีรีบัญชรถอยหนี แต่พระยาตากไม่ต้องการถอยหนีมีความโกรธเงื้อดาบจะฟันลงโทษควาญช้าง ควาญช้างขอให้ไว้ชีวิต พระยาตากจึงเอามีดแทงช้างพังคีรีบัญชร ช้างพังคีรีบัญชรได้รับความเจ็บปวดวิ่งเข้าพังทลายประตูเมืองจันทบุรี เจ้าตากจึงไสช้างเข้าพังประตูเมืองจนทำให้บานประตูเมืองพังลง ทหารเจ้าตากจึงกรูกันเข้าเมืองได้ พวกชาวเมืองต่างพากันละทิ้งหน้าที่หนีไป ส่วนพระยาจันทบุรีก็พาครอบครัวลงเรือหนีไปยังเมืองบันทายมาศ (ต่อมาพระยาจันทบุรีเจ้าขรัวหลานถูกจับกุมตัวได้เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพไปตีเมืองบันทายมาศในพ.ศ. 2314) เจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 3 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เพลา 3 ยามเศษ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน

ฝ่ายพระยาตากได้จับได้เชลย เงินทองเสบียงอาหารที่เมืองจันทบุรีได้จำนวนมาก ที่เมืองจันทบุรีพระยาตากได้พบกับหลวงศักดิ์นายเวร (หมุด) ข้าหลวงอยุธยาซึ่งติดอยู่ที่เมืองจันทบุรีตั้งแต่เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ได้พบกับนายสุดจินดา (บุญมา) และทรงรับอนุเคราะห์พระองค์เจ้าทับทิมหรือ"เจ้าครอกจันทบูร"มาไว้ในความดูแล

การยึดเมืองตราด

หลังจากตีเมืองตราดได้แล้ว เจ้าตากได้เคลื่อนทัพทางบกจำนวน 1,000 คนไปยังเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด) และให้พระพิชัยราชา หลวงราชนรินทร์ เป็นแม่ทัพเรือคุมเรือ 50 ลำ ยกไปเมืองตราด พระยาตากยกทัพพบกับฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืน ที่เมืองตราดพวกกรมการและราษฎรเกิดความเกรงกลัวต่างพากันมาอ่อนน้อมโดยดี แต่ทว่าที่ปากน้ำเมืองตราดมีเรือสำเภาจีนมาทอดทุ่นอยู่หลายลำ เจ้าตากได้เรียกนายเรือมาพบ แต่พวกจีนนายเรือขัดขืนต่อสู้ เจ้าตากจึงนำกองเรือไปล้อมสำเภาจีนเหล่านั้น ได้ทำการต่อสู้กันอยู่ประมาณครึ่งวันเจ้าตากก็ยึดสำเภาจีนไว้ได้หมด ได้ทรัพย์สินสิ่งของมาเป็นจำนวนมาก จีนเจียมหัวหน้าชาวสำเภาจีนเข้าสวามิภักดิ์และยกบุตรสาวให้แก่พระยาตาก เดอเฟลส์ (De Fels) เสนอว่า จีนเจียมนั้นเป็นคนเดียวกันกับเฉินไท่ (陳太 พินอิน: Chén Tài) พ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมีความขัดแย้งกับหมักเทียนตื๊อเจ้าเมืองบันทายมาศ และถูกหมักเทียนตื๊อส่งทัพเรือเข้าปราบปรามจนต้องหลบหนีมายังสยาม

การกอบกู้กรุงศรีอยุธยา

พระยาตากใช้เวลาประมาณสามเดือนในการรวบรวมกำลังพลและต่อเรือจำนวน 100 ลำ ที่เมืองจันทบุรี มีการพบหลักฐานทางโบราณคดีที่บ้านเสม็ดงาม (ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี) ซึงสันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ต่อเรือของพระยาตาก

เมื่อสิ้นฤดูมรสุมในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2310 พระยาตากรวบรวมกำลังพลได้ 5,000 คน ยกทัพเรือออกจากจันทบุรีมุ่งหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ที่เมืองชลบุรีพระยาตากมีคำสั่งให้ประหารชีวิตพระยาอนุราชบุรีฯ (ทองอยู่นกเล็ก) เจ้าเมืองชลบุรี พร้อมทั้งพรรคพวกคือหลวงพลและขุนอินเชียง เนื่องจากพระยาอนุราชบุรีฯได้ประพฤติตนเป็นโจรสลัดตีชิงเรือสำเภาวาณิช

การรบที่โพธิ์สามต้น

ฝ่ายพม่านับตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาฯ จำต้องยกกำลังส่วนใหญ่กลับไปสู้รบกับจีนในสงครามจีน-พม่า (Sino-Burmese War) ฝ่ายพม่าวางกำลังพลไว้จำนวนหนึ่งเพื่อรักษาการณ์ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย;

  • ค่ายโพธิ์สามต้น (อำเภอบางปะหัน) ทางตอนเหนือของเมืองอยุธยา มีสุกี้พระนายกองหรือนายทองสุกชาวมอญเป็นผู้นำ
  • เมืองธนบุรี มีชาวสยามชื่อนายทองอินเป็นผู้รักษาการณ์

นอกจากนี้ ยังมีขุนนางและเชื้อพระวงศ์ของอยุธยาบางส่วนที่ไม่ได้ถูกกวาดต้อนไปพม่ายังคงพำนักอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น

พระยาตากยกทัพเรือมาจนถึงปากน้ำสมุทรปราการปากแม่น้ำเจ้าพระยา รุ่งเช้าจึงยกทัพเรือเข้าโจมตีพม่าที่เมืองธนบุรี นำไปสู่การรบที่ธนบุรีในวันพุธขึ้น 13 ค่ำเดือน 12 (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310) เข้ายึดเมืองธนบุรีได้สังหารนายทองอิน ฝ่ายพม่าแตกหนีขึ้นไปแจ้งข่าวแก่สุกี้นายกองที่โพธิ์สามต้น สุกี้จึงให้มองย่าแม่ทัพพม่ายกกองกำลังลงมาตั้งสกัดทัพของพระยาตากที่เพนียด เมื่อเจ้าตากยึดเมืองธนบุรีและปราบนายทองอินได้แล้ว จึงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา ในเวลากลางคืนเรือของพระยากลาโหมซึ่งบรรทุกดินประสิวล่มจมลง พระยาตากจึงมีคำสั่งให้ลงโทษเฆี่ยนพระยากลาโหมและขุนนางทหารหลายคน พระยาตากเคลื่อนทัพเรือไปในเวลากลางคืนถึงกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายมองย่าที่เพนียดเมื่อพระยาตากยกทัพมาไม่สู้รบกลับถอยหนีไปโพธิ์สามต้น

วันรุ่งขึ้น วันพฤหัสบดีขึ้น 14 ค่ำ (5 พฤศจิกายน) เวลาสามโมงเศษ พระยาตากยกทัพเข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ สามารถยดค่ายโพธิ์สามต้นฝั่งตะวันออกได้อย่างรวดเร็ว ฝ่ายพม่าพ่ายแพ้ถอยไปที่ค่ายั่งตะวันตก ฝ่ายสุกี้พระนายกองอยู่ที่ค่ายฝั่งตะวันตก พระยาตากให้ทำบันไดพาดเข้าปีนค่ายฝั่งตะวันตก ให้พระยาพิพิธ (ตั้งเลี้ยง) และพระยาพิชัยราชา นำกองกำลังจีนเข้าประชิดที่วัดกลาง ซึ่งอยู่ห่างจากค่ายใหญ่ระยะทางประมาณเจ็ดเส้น วันรุ่งขึ้นวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ (ุ6 พฤศจิกายน) พระยาตากให้ทหารจีนเป็นกองหน้าเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น รบกันจนถึงเวลาเที่ยง ทหารจีนสามารถเข้าค่ายโพธิ์สามต้นได้ พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียมระบุว่า สุกี้พระนายกองส่งให้พระยาธิเบศร์บริรักษ์ผู้เป็นที่เจ้าพระยาศรีธรรมราชธิราช (พระพนรัตน์: พญาธิเบศบดี) ขุนนางอยุธยาออกมาเจรจากับพระยาตากขอสวามิภักดิ์ ในขณะที่พงศาวดารฉบับพระพนรัตน์วัดพระเชตุพนฉบับตัวเขียนระบุว่า พระยาตากตีค่ายพม่าโพธิ์สามต้นแตกสุกี้พระนายกองเสียชีวิตในที่รบ พระยาตากยึดค่ายโพธิ์สามต้นปราบพม่าจนราบคาบ สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมา เมื่อวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 13.00 น. ใช้เวลา 7 เดือนหลังจากคราวเสียกรุงศรีอยุธยา

การเข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้นทำให้อำนาจอิทธิพลของพม่าถูกกำจัดและขับไล่ออกไปจากสยาม และทำให้พระยาตากขึ้นมามีอำนาจครอบคลุมบริเวณภาคกลางตอนล่าง หลังจากยึดค่ายโพธ์สามต้นได้แล้ว พระยาตากเข้าพำนักในจวนของสุกี้พระนายกอง พระยาธิเบศร์บดีตัวแทนของขุนนางอยุธยาในค่ายโพธิ์สามต้น มาสวามิภักดิ์ต่อพระยาตากขอให้ไม่ให้พระยาตากทำอันตรายแก่ชาวค่ายโพธิ์สามต้น พระยาตากจึงมีคำสั่งห้ามไม่ให้พลทหารทั้งปวงทำอันตรายแก่ชาวค่ายโพธิ์สามต้น พระยาตากได้เห็นว่าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางอยุธยาในค่ายโพธิ์สามต้นได้รับความทุกข์ยากลำบาก พระยาตากจึงมอบทรัพย์สินและเสื้อผ้าให้แก่ชาวอยุธยาเก่า จากนั้นพระยาตากจึงเข้าพำนักในพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ พระยาตากยังให้อัญเชิญพระศพของพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์อยุธยา ซึ่งถูกพม่าฝังเอาไว้ที่โคกพระเมรุหน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร อัญเชิญขึ้นมาประกอบพิธีถวายพระเพลิงตามสมควร

หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรสยามตกอยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพง พระยาตากให้นำปืนใหญ่ของพม่ากระบอกหนึ่ง ระเบิดเอาทองลงสำเภาไปซื้อข้าวสารมาเลี้ยงคนโซได้กว่า 1,000 คน พระบรมวงศานุวงศ์อยุธยาที่ตกค้างอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้นประกอบด้วย พระธิดาของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้แก่ เจ้าฟ้าสุริยา เจ้าฟ้าพินทวดี เจ้าฟ้าจันทวดี และพระองค์เจ้าฟักทอง นอกจากนี้คือ หม่อมเจ้ามิตรพระธิดาของเจ้าฟ้ากุ้ง หม่อมเจ้ากระจาดพระธิดาของกรมหมื่นจิตรสุนทร หม่อมเจ้ามณีพระธิดาของกรมหมื่นเสพภักดี และหม่อมเจ้าฉิมพระธิดาของเจ้าฟ้าจีด สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงอัญเชิญพระบรมวงศ์อยุธยาไปประทับที่ธนบุรี ต่อมาเจ้าฟ้าสุริยาและเจ้าฟ้าจันทวดีสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าตากสินพระราชทานพระนามให้แก่หม่อมเจ้ามิตรว่าเจ้าประทุม หม่อมเจ้ากระจาดว่าเจ้าบุปผา

ปราบดาภิเษก

หลังจากที่พระยาตากมีชัยชนะเหนือพม่าในการรบที่ค่ายโพธิ์สามต้นแล้ว ในชั้นแรกพระยาตากหมายจะฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยาให้เป็นราชธานีดังเดิม พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า พระยาตากได้เห็นซากศพและกระดูกของผู้เสียชีวิตในอยุธยากองกันประดุจภูเขา ได้เห็นคนที่อดอยากอาหารรูปร่างผอมโซดั่งเปรตปีศาจ จึงเกิดความสังเวชเหนื่อยหน่ายจะเดินทางกลับจันทบุรี บรรดาสมณพราหมณ์เสนาบดีประชาราษฏร์วิงวอนพระยาตาก ฝ่ายพระยาตากเห็นว่าการอยู่รักษาบ้านเมืองนั้นเป็นประโยชน์ต่อโพธิญาณ จึงหยุดพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองธนบุรี

...ทอดพระเนตรเห็นอัฏฐิกเรวฬะคนทั้งปวงอันถึงพิบัติชีพตายด้วยทุพภิกขะ โจระ โรคะ สุมกองอยู่ดุจหนึ่งภูเขา แลเห็นประชาชนซึ่งลำบากอดอยากอาหาร มีรูปร่างดุจหนึ่งเปรตปีศาจพึงเกลียด ทรงพระสังเวชประดุจมีพระทัยเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติ จะเสด็จไปเมืองจันทบุรี จึงสมณพราหมณาจารย์เสนาบดีประชาราษฎรชวนกันกราบทูลอาราธนาวิงวอน สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระบรมหน่อพุทธางกูร ตรัสเห็นประโยชน์เป็นปัจจัยแก่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณนั้นก็รับอาราธนา จงเสด็จยับยั้งอยู่ณพระตำหนักเมืองธนบุรี...

พงศาวดารพระพนรัตน์ฯระบุว่า พระยาตากพำนักในกรุงศรีอยุธยาที่พระที่นั่งทรงปืน พระยาตากสุบินฝันว่า พระมหากษัตริย์อยุธยามาขับไล่มิให้อยู่ วันรุ่งขึ้นพระยาตากจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เจ้าของเดิมยังหวงแหนอยู่ จึงกวาดต้อนราษฏรชาวอยุธยาและอัญเชิญพระราชวงศ์อยุธยาลงมาอยู่ที่ธนบุรี

...ก็เสดจ์เข้าประทับแรมอยู่ ณะ พระธินั่งทรงปืนที่เสดจ์ออก บันทมอยู่คืนหนึ่ง จึ่งทรงพระสุบินนิมิตรว่า พระมหากระษัตรมาขับไล่เสียมิให้อยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเพลาเช้าจึ่งตรัสเล่าพระสุบินให้ขุนนางทั้งปวงฟัง แล้วจึงดำหรัดว่าเราคิดสังเวชเหนว่าบ้านเมืองจะร้างรกเปนป่าจะมาช่วยปฏิสังขรณะทำนุกบำรุงขึ้นให้บริบูรรณ์ดีดังเก่า เมื่อเจ้าของเดีมท่านยังหวงแหนอยู่แล้ว เราชวนกันยกลงไปสร้างเมืองธนบูรีอยู่เถีด แล้วตรัสสั่งให้เลีกกองทับกวาดต้อนราษฎร แลสมณพราหมณาจารย์ทั้งปวง กับโบราณขัติยวงษซึ่งยังหลงเหลืออยู่นั้นก็เสดจ์กลับลงมา ตั้งอยู่ ณะ เมืองธนบูรี...

กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีพระวินิจฉัยว่า ในขณะนั้นกองกำลังพลของเจ้าตากมีไม่เพียงพอไม่สามารถอยู่รักษากรุงศรียุธยาได้ หากพม่ายกมาโจมตีจะไม่สามารถใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นที่ตั้งรับได้ เมืองธนบุรีมีป้อมปราการคือป้อมวิชัยประสิทธิ์อยู่แล้ว เป็นที่ชัยภูมิอยู่ใกล้กับทะเล สามารถตั้งรับข้าศึกพม่าได้ เป็นเหตุผลที่พระยาตากเลือกที่จะย้ายที่มั่นจากอยุธยาลงมาอยู่ที่ธนบุรี

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก 
ภาพประธานด้านหลังธนบัตร 20 บาท แบบที่ 12 เป็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จำลองจากพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ สวนสาธารณะทุ่งนาเชย อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี

หลังจากสร้างพระราชวังบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ทรงจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยพอสมควร บรรดาแม่ทัพ นายกอง ขุนนาง ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ตลอดทั้งสมณะพราหมณาจารย์และอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย จึงพร้อมกันกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ณ วันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน จุลศักราช 1128 ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่เรียกขานพระนามของพระองค์ติดปากว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

เดิมพระองค์ทรงคิดที่จะปฏิสังขรณ์พระนครศรีอยุธยาให้กลับคืนเป็นดังเดิม แต่หลังจากตรวจดูแล้วยากต่อการฟื้นฟู จึงทรงให้อพยพผู้คนและทรัพย์สินลงมาทางใต้ และตั้งราชธานีใหม่ขึ้นที่เมืองธนบุรี เรียกนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร

ปรากฏว่าที่เมืองลพบุรี มีพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์อยุธยามาพำนักอยู่เป็นจำนวนมาก พระเจ้าตากจึงรับสั่งให้คนไปอัญเชิญมายังเมืองธนบุรี พระองค์ทรงขุดพระบรมศพของพระเจ้าเอกทัศ ขึ้นมาถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณี

อ้างอิง

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

Tags:

การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก เบื้องหลังการกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก พระยาตากเดินทัพไปจันทบุรีการกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก การกอบกู้กรุงศรีอยุธยาการกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก ปราบดาภิเษกการกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก อ้างอิงการกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก ดูเพิ่มการกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก แหล่งข้อมูลอื่นการกอบกู้เอกราชของเจ้าตากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองสภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอาณาจักรอยุธยา

🔥 Trending searches on Wiki ไทย:

จิราพร สินธุไพรวรกมล ชาเตอร์ติ๊กต็อกสาธุ (ละครโทรทัศน์)เอเรอดีวีซีบิ๊กแอสจังหวัดนครพนมณเดชน์ คูกิมิยะเบบีมอนสเตอร์ประวัติศาสตร์ภาคใต้ (ประเทศไทย)จักรพรรดิยงเจิ้งหม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุลธนาคารกสิกรไทยรัฐฉานไอยูพระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถจังหวัดน่านการรถไฟแห่งประเทศไทยมหาวิทยาลัยขอนแก่นนรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ทวีปยุโรปตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๔ ศึกนันทบุเรงช้อปปี้อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอัพภันตรีปชาพัชรวาท วงษ์สุวรรณกฤษณภูมิ พิบูลสงครามจิรภพ ภูริเดชประเทศอิสราเอลฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์มหาศึกชิงบัลลังก์ (ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์)ลิโอเนล เมสซิรายชื่อโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระจังหวัดหนองคายเปรม ติณสูลานนท์อนาคามีชาวมอญอินเทอร์เน็ตเลือดมังกรอุณหภูมิปีนักษัตรฟุตซอลชิงแชมป์เอเชียวัชรเรศร วิวัชรวงศ์สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเร็ว..แรงทะลุนรก 10รายชื่อธนาคารในประเทศไทยมหาวิทยาลัยนเรศวรพิศวาสฆาตเกมส์ประเทศมัลดีฟส์ณัฐฐชาช์ บุญประชมประเทศปากีสถาน1ภาษาเกาหลีสกูบี้-ดูชาเคอลีน มึ้นช์การบินไทยปรมาจารย์ลัทธิมาร (ละครโทรทัศน์)อัสนี-วสันต์คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยพระยศเจ้านายไทยจังหวัดชัยนาทหนึ่งในร้อยเมียวดีสโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลารายชื่อสถานีรถไฟ สายใต้รายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรายชื่อตอนในนารูโตะ ตำนานวายุสลาตันสหรัฐองศาเซลเซียสจังหวัดบึงกาฬก็อตซิลลากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ประเทศไทย)วชิรวิชญ์ ชีวอารี🡆 More