แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

นิราศเมืองลอนดอน แก้ไข

๏ ลอนดอน นัคเรศเจ้าจอมอนงค์
นิราศ นาฎนวลผจงจากห้อง
วายสวาท ขาดเคียงองค์อรแอบ อกเอย
นานนัก รักแรมน้องนิ่มเนื้อเคยถนอม ฯ

๏ นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล
จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิน เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย
ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช ไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย
โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน อาสาไทจอมจักรหลักนคร
มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำ แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล
ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวนอย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย
ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล
ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไล ล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง
เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์ ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง
เดินเข้าในราชฐานพระลานกลาง ดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล
ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาด เดียรดาษธงทิวปลิวไสว
พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชย จะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ

๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์ เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน
อุปทูตที่สองรองถัดนั้น เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา
อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า
แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชา ส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง
จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์ บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง
ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทาง ต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน
คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์ ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน
ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออก พระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย
หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาใน บังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร
พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศ แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน
เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้ ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล
แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกล พอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา
สมถวิลภิญโญสโมสร รับพระพรแหวกวางหว่างเกศา
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา แล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย
จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์ เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย
ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบาย แต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา
แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศ ล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา
เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลา คนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม
เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อย เข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม
บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววาม ประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี
เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษ ล้วนทองเทศงามงดดูสดสี
นุ่งยกทองทำมาแต่ตานี ครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน
ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์น ประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น
อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณ ทานตวันพัดโบกระบายลม
ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับ ก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม
เปนสง่างามกระบวนควรจะชม ทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา
ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำ ปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา
ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชา พร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร
พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋ง ก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน
ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาล สุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี
จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่น ไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี
ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มี ช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ

๏ แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตก คิดชนกชนนีมิรู้หาย
ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลาย อิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร
นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่น แรกรักรื่นจำไปไกลสมร
จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทร ทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา
แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาท ควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา
ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยา มีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา
ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาท จึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา
อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซา ค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร
ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่ม ท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร
สู้ปลิดรักหักใจครรไลจร ถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล
ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกล้า ลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน
แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัล จะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ
ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตร สุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้
ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไป พอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ

๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพัก จอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน
ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควัน จนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ
บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหาร เสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว
ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟ ล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง
ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถี สุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง
ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรือง จะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย
ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมอง คิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย
หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชย ยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน
เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่ง ก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น
เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครัน นายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ
อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับ บ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ
คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำ สาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี
ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่ ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี
จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรี ต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ

๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหาร ให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง
แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปัง สนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ
สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบ ควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ
โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือ เหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย
ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะ กลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย
สู้ดำรงกายเดินดำเนินกราย เข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง
ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึก ดูคักคึกอลวนขนเข้าของ
บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากอง ที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง
พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่ง สิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง
พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพัง เฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม
ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตร แสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม
แต่นี้นับวันไกลอาลัยงาม จะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ

๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ จำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่
สะกรูหันผันพัดในนัที เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล
ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับ ฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน
เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวน ประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง
พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้าย เห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง
คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวง ดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง
ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับ จนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง
เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทือง พินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม
กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขา สล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม
คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความ ว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล
อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศ ดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส
ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอ แต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน
จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตร สุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน
เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลิน เรือก็เดินล่วงมาในสาคร
แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ เมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน
พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน เรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน
ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุก ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน
หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียน สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ
สุริยงลงลับคิรีศรี ได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ
จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอ แล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง
ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วน ไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง
โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคอง ไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล
นั่งรำฦกนึงถึงคนึงโฉม ยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล
คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจ จนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ
ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้าย ไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์
ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงัน เขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ
ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุด ชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ
เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำ แล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี
ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่น มาตามแผนที่ทางหว่างวิถี
พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวี ทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก
เจ็บระบมตรมในมิใคร่หาย เจียนจะวายชีวีไม่มีสุข
ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุก เฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม
ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรัก ช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม
สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออม เห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ
ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขก เพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ
ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวน เมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา
ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมร ต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา
ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมา พอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง
แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิด จึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง
ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึง นอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์
ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระ แต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร
มาอ้างว้างอาทวาในสาคร จะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง
อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่ง สุดประทังสุดทนกระมลหมาง
สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทาง สุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา
ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่ว เห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา
คิดก็แค้นแสนเวทนาตา ถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ
ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่ ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร
โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญ มาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน
นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้าย ยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน
ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์ อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย
ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบ ได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย
อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบย เมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง
ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้า โอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง
ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวง อยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ

๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่ง ให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา
ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทา เรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน
กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาด เห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน
จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียน ช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี
ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึก อึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี
ถืออาวุธทำท่าจะราวี กับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ
ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผง ควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร
ขนกระสุนดินดำทำอาการ จะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว
บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่ง ดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว
แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัว ชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี
แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่น เห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่
ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันที ดูราวีอย่างทหารชาญทเล
ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์ แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส
ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮ จนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา
สุริยงลงลับเหลี่ยมไศล ศศิใสส่องสว่างกลางเวหา
ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรา รีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน
พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อ ฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น
คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืน กลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน
ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัย นาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน
จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลน เรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ

๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาว ระยะยาวในชลาล้วนผาเผินบ้างผุดพ้นชลาธารเปนน่านเนิน กำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิด กลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่นล้วนศิลาดาระดะครุคระครัน เมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำมาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่าน ทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำมีหอคอยลอยโพยมโคมประจำ เวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญาค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์ จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหาสักสี่โมงเศษสายได้เวลา ก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่ง เสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโร ก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรองให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่ ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมองแล้วจัดเรือโบตงามตามทำนอง โดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดีให้มารับทูตไทยไปทั้งสาม ข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรี จะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ

๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่ง ด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมายจึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกาย แล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานีถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่ง ทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสีแขกชวามลายูชาวบุรี เสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไปเจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับ ต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัยได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจ ไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบเป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยาม เคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรปสิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบ ควันตลบมืดมนท์อนธการพวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอก มีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหารเสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวาน กลองประสานรัวเร่งตะรังตังพวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถ ม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวังสารถีตีขวับขับประดัง ทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ลถึงประทับกับบันไดเข้าในตึก ดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็นครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น ไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการแล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อน ค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์อันตรายราคีไม่มีพาน พวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัยอังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยม แต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัยบ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจ บ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความพระพิเทศพานิชสนิทนัก สามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยามภูวนาถโปรดปรานประทานนาม ตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทยมาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่น ด้วยความยินดีจิตต์พิสมัยแล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจ หมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวันได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่ง เขาตกแต่งต้อนรับดูขับขันวันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณ แมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศ บนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขินต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนิน พินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียรปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะ เปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียนแถวถนนคนกวาดสอาดเตียน ทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไปครั้นถึงเขตรเคหาสารถี หยุดพาชีรถเรียงเคียงไสวทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทย ริมบันไดสองข้างที่ทางจรคนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมาย มีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อนอิกเภตราในมหาชโลทร ถึงนครรู้ตรงธงสำคัญได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาด แลประหลาดตึกรามงามขยันแล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลัน เจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือ แล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับ ครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจรได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่น ค่อยแช่มชื่นภิญโญสโมสรแต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากร รวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลาก็ชวนกันผันผายออกจากที่ จรลีลงกำปั่นไม่หรรษาจะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุรา อนิจจาจำใจต้องไกลเมืองแต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยาก ยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลืองพี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคือง ไม่เปล่าเปลืองปลิดปลดรทดทวีโศกกำสรวญจนจวนประจุสมัย สกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษีดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรี กัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ

๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอ เปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่าจักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคา กำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไปเข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวา มีเกาะแก่งในมหาชลาไหลแต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจ ด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรามาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่าน เปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนาชื่อบุรียะกะตราชวาเนา แต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดากัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักร เข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋าจึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญา ฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับ ยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหวแล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทย ให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรีก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศ เที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถีมีโรงหนึ่งขึงขังหลังนที น้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็นแวะสนานธารสบายให้หายร้อน ที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปน เลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากันครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับ ก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครัน จนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพรายเห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่อง ล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขายผลาผลต่างต่างเอาวางราย ดูหลากหลายผักปลาสารพัดกะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่น ไว้เปนทุนกินไปได้ถนัดบ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัด เผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเลแต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนา ไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเร ทำโมเยหน้ายู่ใบหูยานบุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยม ใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐานอิเหนาจากจินตะหรายุพาพาน อาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจแม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือน พี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัยขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทย ถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายามนี่จนจิตต์กิจราชการหลวง จึงไกลดวงเนตรนางห่างสยามถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงาม ไม่เท่าความกตัญญูพระภูธรแต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้า ยิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมรจะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจร เขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดินกำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่าน จนสุริฉานบังเงาภูเขาเขินยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกิน เห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามืออังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่น ใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือ มันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทรายพ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้น แสนกะสันคิดไปแล้วใจหายมาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะราย เห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาครนิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่ ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอนไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอน ทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเลต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัด ซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเหละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเท คนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ

๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาด เขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐานก็วัดแดดโดยตำราวิชาการ เชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจแล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้ ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกล ก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทางไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถ กำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผางลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปาง แทบวายวางชีวันอันตรายถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบ คลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหายถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจาย ของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไปยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อน เรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถลศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัย มิใคร่ได้นิทราอุรารึงหลายทิวามากลางทางทุเรศ จนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึงด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้ง จะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มีทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้ สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรี เกิดกุลีลมกล้าสลาตันเสียงพิฦกฮึดฮือกระพือหวน กำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหันลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวัน ต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคาว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไข เราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้าคือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกา แจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์คอยดูดวงสุริยงจนลงลับ เจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอนจนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพร ทินกรผุดพ้นชลธีก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่า อิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรีครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวี มาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไรแต่พายุยังจัดพัดกระโชก เรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหวเต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบ แล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลายละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำ ประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหายต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดาย ไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวงได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้าน ข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวงโอ้จำทนทรมาน้ำตาตวง คิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ

๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อม กำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหารเปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการ เอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจรให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่าน ที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอนมันว่ายน้ำราวกับปลาในสาคร ไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจพวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้ง ก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใสลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไสว คว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียทีเพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือ สู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรีไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารี เอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมี ดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสารพี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทาน ต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกันเวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศ เที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดัน เผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรังถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้น อ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลังปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวัง ฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอนมันขยาดไม่อาจออกต่อต้าน ก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอนดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอน พอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมาเที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขาย เห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้าพวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญา ต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพงเมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่น ไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสงทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดง ฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปีต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหาย มีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรีหาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มี ช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณกำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้น ได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่านแล้วใช้จักรมากลางทางกันดาร ค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ

๏ เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่ ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนาถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมา จะวอนว่าไต่ถามนามกรฝูงกะโห้โลมาปลายี่สน บ้างดำด้นชลสายว่ายสลอนพิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จร เที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรยเหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึก หวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหยมัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดย ยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึงปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่ เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึงโอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึง นึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัยเห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อย ช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัยปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกล กลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลางปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้ง งับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหางในกระแสแลหลามตามหนทาง ลอยสล้างเหลือล้นคณนานกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัด ก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษานกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลา อังกฤษว่าบูบีปีกษีบอบ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถม จับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอ เอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวลได้ดูเล่นมากมายหลายชนิด ยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวนแม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวน ทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลินพายุพัดฮือหวนทวนข้าหน้า กระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่นเชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยิน เหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานานทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์ ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการ ให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรีก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่ง เห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรีชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรี ช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซเที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้ มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโขไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โต แกล้งพาโลขายคว้าราคาแพงมาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อ ลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่งแล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจง ใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ

๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอด พอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่านพี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญ กลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวนกัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหา ถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหนขายมิขายคงเอาด้วยคราวจน จะรีบขนแต่ราคาว่าพอควรขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผัน เข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วนเจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวน รับประมาญเปนธุระทุกประการต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิด ประสามิตรผูกรักสมัคสมานให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญ ไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจงครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศ ชมตลาดตึกรามตามประสงค์ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดง เอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบนพอบังลมร่มแดดที่แผดเผา ผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝนเขาคิดทำไร่นาประสาจน อาศรัยชลห้วยลหานธารคิรีเปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลาย มิให้ชายอื่นยลวิมลฉวีแม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรี ย่อมราคีบาปนักต้องรักตัวจะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้ม ช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัวสาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัว แต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไรเที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อย แล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไล จากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ

๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอด ระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนักไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทัก ประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญาสามราตรีถึงที่เมืองสุเอศ อยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่าให้ชักธงจอมจักรนัครา ขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญเขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึง สักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผันมารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลัน อิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรงทั้งสองข้างยิงปืนเสียครื้นครั่น บันฦๅลั่นในชลาป่ารหงยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธง ธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรีแล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหาร เคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนีให้สลูตส่งทูตสิบเก้าที ก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อยนั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาด เดียรดาษแลดูล้วนปูหอยนกยางย่องจ้องจับขยับคอย ลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกินนกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอด เที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบิน รู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวีตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใส นกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผีกระทุงทองล่องลัดในนัที ฉลาดดีเอาปากลงลากอวนถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียง ก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วนริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวล นับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพเห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้ ก็ตกใจบินบากจากกระแสฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอ ก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิดนั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษา ไม่เคลื่อนคลาดคลาดชมสมสนิทแต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตร โอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ

๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยว มาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่าชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดา เขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ลพวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่น ช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็นบ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็น บ้างพูดเล่นเจรจาภาษากันถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุก เปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์ถ้าไม้ใครไคลคลามาทางนั้น ได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกินมีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้ง จะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิลหมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณ อันราคินข้อไรมิให้มีแต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้าง ตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้พอทูตถึงที่พลันในทันที ของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทานสำเร็จกิจชวนกันจะผันผาย พอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉานมาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญ ขับทยานควบห้อไม่รอรั้งแต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐ แล้วตามทูตจรลีต่อทีหลังเสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกัง คนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถี แต่ไกลที่ตึกพักมาอักโขเหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโต กัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดีพาพวกเราเข้าไปข้างในนั้น ให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมี ตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกินจนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศ ล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายิน เทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวายแม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วย ถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหายพี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทราย ใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกรเห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่ม ให้มาชมตามทางต่างสมรเอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์ นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนานดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้น ไม่มีดินแดนน้ำลำลหานเมื่อพ้นจากวังวนชลธาร ก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวายหรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์ เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหายมาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย ถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราวว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือ ขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาวกลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาว โอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครันดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็น ยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญ ก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาครปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัย นึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอนเศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอน สักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟเสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุน เหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้ช่างรวดเร็วยวดยิ่งวิ่งสุดใจ เห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ

๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษ ถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขันชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครัน ธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์ที่ดำรงองค์มหาอุปราช ดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูล ดูมากมูลพลไพร่ในบุรีพอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุด อุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดี ให้เสนีมาคำนับคอยรับรองทั้งรัถาพอชีคนขี่ขับ โคมสำหรับนำหน้าพาผยองตำรวจถือคบไฟไม้ตะบอง เคียงประคองข้างรถบทจรบ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนี จนถึงที่ตึกโตสโมสรกำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอน ขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกายไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่ง ตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสายเห็นผู้คนคับคั่งมานั่งราย ขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศ ให้เอารถมาเรียงเคียงขนานขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์ ชมสถานวงวัดจังหวัดวังต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมอง ล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวังมาขึ้นรถม้าพยศผยองปัง ไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไปครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยน ดูแนบเนียนงดงามตามวิสัยศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างใน เสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมราแต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขก ตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนาพอแดดชายบ่ายสามนาฬิกา ก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโรในทวารมีทหารถือกระบี่ ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโสดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโช ประตูโทถัดนั้นทหารปืนล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับ พวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่นปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืน ที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชัก ช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อหกกระบอกม้าลากก็มากพอ ร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัวปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนา ผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่วขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัว ไม่พันพัวไพเราะเสนาะดีรถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียง ก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนี เธอพาทีจับมือไม่ถือยศให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตร โดยสนิทเสนหาเห็นปรากฏแต่พูดจาจวนตวันลับบรรพต ก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคลเจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวน แล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสวแดดก็ร่มลมชายสบายใจ มีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณกรรณิกาการเกดพิกุลแก้ว โสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์พุมเรียงรงโรกรักลักจั่น ขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทรางมลุลีมลิลากับกาหลง รำดวนดงดกดอกออกสล้างสละเสลาลางลิงมะปริงปราง ข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำคัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้ม ยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำ มะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดงยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอย ชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยง โลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซามหางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่น แจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนามมะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงาม ม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกรเกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่าง เล็บมือนางนมพิจิตรติดไสวชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟ เถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทางบ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอย เกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่างเมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้าง กลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมาแมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนี เหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้าภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเรา เรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจแล้วทำเฉยเลยชมสระสนาน ชลธารน่าเล่นช่างเย็นใสที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไร ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏมีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่ง กระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัดดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัด เห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาครปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้อง แต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมรปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอน ปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกรายตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพาก สุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมายปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกาย ยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละอองปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้ กระแหแหห่างให้ฤทัยหมองปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนอง อันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวมเห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสน บ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วมบ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวม บ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มาเขาก่อหินกันดินตามข้างข้าง มีลำรางร่องน้ำงามหนักหนาสลักรูปหอยปูเงือกงูปลา ถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงรายมีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศ ดูวิจิตรท่วงทีดีใจหายจัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบาย ทำลวดลายเลขาก็น่าชมสำหรับเจ้านัครามาประพาส สำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสมพี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์ ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์แล้วพากันกลับหลังมายังตึก อนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมรโอ้วันไรชิดชื่นคืนนคร ที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็นแม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับ อันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็น ด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนานฯ

๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผาย เคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถานต่างจัดแจงแต่งกายสบายบาน แสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟเวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรี ก็ลุที่ริมแควกระแสไหลเขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์ เห็นแพใหญ่จอดท่าหน้าสพานแต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำ ไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสานไว้สำหรับจรดลในชลธาร เคียงขนานเข้าจดรับรถไฟแล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึง พอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้ค่อยเคลื่อนลากจากแพให้พ้นไป รถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบินตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้า มาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์ เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬารอันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึก ผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญ เคยรอนราญไพรีไม่มีกลัวเขาเชิญราชทูตไทยไปสำนัก เข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่วแต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัว คิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครันขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่า ธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลัน นิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตามตื่นผวาหานางเห็นสางแสง กระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสามให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลาม เสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพังทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาท มิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลังสู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวัง ซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเลเดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัด แล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผลด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเท เขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูรได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่า ยิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญเข้าในห้องนองเนตรเทวศพูน จนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยง บนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหันทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพัน แกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดีครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้ว จะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่พอกัปตันขึ้นมาจึงพาที เชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ

๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผัน ถึงกำปั่นแสนโสมนัสาก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมา ห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรีเรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพัก ได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถีให้แวะจอดทอดสมอรอนาวี เจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทายแล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้าน แสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลายนั่งพูดจาเล่นตามความสบาย แล้วหกนายต่างพากันลาจรไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของ ให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมรอยู่สามวันจึงครรไลไกลนคร ไปในท้องชโลทรทางกันดารถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่ อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหารรวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการ สูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรงแต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้ ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็งถ้าใครขืนรบรับคงยับเอง ต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอากัปตันให้เรือรอสมอทอด ประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวาแล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนรา บอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์ ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหารให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนาน คำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทยยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบ ควันตระหลบดินดาลสท้านไหวแล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไป อยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมาเขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวาง ค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหาตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลา ได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กันพักอยู่สามราตรีค่อยมีสุข แล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์ต้องไปในชลสายอีกหลายวัน ทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรงนึกคนึงถึงกายไม่วายหมอง จนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสงต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจง บ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทยครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้น ก็ผายผันมายังท่าชลาไหลกัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟ แล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ

๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลด ทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเหไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเน ให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึกคลื่นระดมลมกล้าประดาเสีย นอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึกกำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึก จนยามดึกลมจัดพัดกระพือกระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะ ช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือคลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือ เสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือแต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่น ทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือ จนข้อเสือก้านจักรหักออกไปข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์ แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้ ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ

๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศ อยู่ริมเขตรวังวนชลสายคลื่นระดมลมกำลังยังไม่วาย จึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรีฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่ง ก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรีมาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรี ต่างยินดีปราไสกันไปมาบ้างขอดูของเครื่องเมืองสยาม ชมว่างามผิดอย่างต่างภาษาบ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดา บ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกายเขาผูกรักชักชิดสนิทสนม ชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหายอยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลาย ไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ

๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้าย ยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน พายุนั้นสามารถทายาดพอแต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อเช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอ คลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอมพี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดช จอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอมเหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อม ปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัยเห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิ ปรกติไปโดยสดวกได้ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัย เห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญคือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษ ที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถานเปนเวลาสุริยนอนธการ ราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลันให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่าง แลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่นระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์ โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไปดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์ เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัยชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้ รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญาครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหาให้ชักธงจอมโมฬิศอิศรา โดยถานายศใหญ่ไว้เสากลางธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้า ตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวางข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นาง แลสล้างทั้งสามงามวิไลฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบ ครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัยก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจ มาถามไถ่ทักทายเราะรายดีแล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่อง พระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรีมีประสาสน์พระราชเสาวนี ว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมาเธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่ง พร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหาไว้สำหรับรับราชสารา กับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจงจะได้เปนเกียรติยศปรากฏไป ว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวงเหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนง ร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทาแต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์ ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษาจะต้องทำตามตำหรับเคยรับมา มิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมืองแล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศ ว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่องสิ่งใดใดมีในบุรีเรือง แม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยลอย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาด อนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหนทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคน เงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลังแจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่น แล้วลาคืนกลับไปดังใจหวังกัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้ง เข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพานที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับ แลสลับน่าดูหมู่ทหารยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธาร แผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดังครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัด ก็แออัดสับสนคนสพรั่งมาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนัง บ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทยเขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอด มีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหวแล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไล ตลอดไปจนรถช่างงดงามสี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์น พระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยามพร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตาม ก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไลแอดมิรัลนายทหารชาญสมุท ฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหวสั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัย ผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์ทหารรับจับเชือกกระชากปราด พอนกฉาดปืนลั่นควันขมงยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรง คำนับธงแทนนาถบาทยุคลแล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถ ม้าพยศวิ่งวางกลางถนนไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดล ประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพสารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชัก ม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับแอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับ ประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวนให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่าย ชวนภิปรายปรีดาพากันสรวลแต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควร ก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ

๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนัก เข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณ สายตวันเวลาสักห้าโมงเขาเชิญให้ไปที่รถไฟพัก ต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผงบ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรง ไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้งสักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อน กระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่งต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดัง ขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคนพอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อน ดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหนจนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบน เห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรองมีทหารถือกระบี่เปนทีท่า ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผองงามอาชาร่าเริงเชิงลำพอง สามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไปอีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษ เทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหนเรียงประทับคอยรับพวกทูตไทย ต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคนพาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่ เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสนล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมล ใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึก ทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐานทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดาร โอฬาลานทีท่าน่าสบายทหารม้ากลับหน้ามาคำนับ รถประทับนายทวารเปิดบานผายผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนาย มาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจรแล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับ ของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอน มีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคนจะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่ คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสนเรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลน ไม่เกียจกลการงานขยันจริงเขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่ว รู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิงไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติง เสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือนแต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิด ถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือนเมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือน เจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดีปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัย สู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนีถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนที นั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวังเมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตร เชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลังนึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพัง จนระฆังขานก้องถึงสองยามก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์ ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสามตื่นผวาหวาดพะวงว่านงราม ละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนางยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญ สู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมางเอาพระเดชจอมจักรหักระคาง ว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรมเรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้า ไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉมพอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทม ก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลันแต่วิสัยใจบุถุชนนี้ ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสันหักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครัน ทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอนอันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่น ไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอนวายถวิลเพียงเวลาทิพากร คงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรีแล้วดำเนินเดินออกมานอกห้อง เห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรีก็พูดจาปราไสใจยินดี บ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ

๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขิน มิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผันไปดูละคอนฟ้องรำระบำบรรพ์ ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปองออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้า ขึ้นรัถาจรจรัลผันผยองอาชาชาติผาดโผนโจนลำพอง ช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลันเข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึก ทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวัน มีช่องชั้นห้องหับสำหรับดูแต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวง ห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปู ให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนายดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษ แต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลายจับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวาย เข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรงด้วยขัดข้องหมองใจนายทหาร บังคับการข่มขี่ทีข่มเหงข้างพวกแจกคนดำไม่ยำเกรง คุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวายฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับ ก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหายลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตาย ทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญ เคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือ ข้างแขกเหลือรบรับก็อัปราพวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะ ไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศายิงระดมล้มระดะดาษดา คนที่นั่งทัศนาก็ดีใจเห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือ ต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหวเปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้ ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพแต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อ ออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบ แล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลงบางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้าง ทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็งแล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเอง ไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำแกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่า บนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำสิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำ ก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไปยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่น ออกมายืนพูดจาอัชฌาสัยส่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไล ก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้ม รู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอถ้าแม้คนเลยหน้าม้าแหงนฅอ คนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตามครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้าง ถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสามทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงาม สิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้นจึงคืนคงลงจากพาชีชาติ ม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผันมีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลัน หวังจะกันกีดไว้มิให้จรม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์ ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อนแล้วนารีขี่ควบอัศดร ออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวนแต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัด เขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วนทำแยบคายหลายบทหมดประมวญ ก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ

๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อ ขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยงยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรง ควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวงบางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้า ยืนแยกขาทำตามความประสงค์คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจง เอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมนสองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่ว เลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสนบางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอน ไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบันบางทีขี่ทั้งสองวิ่งซนเสือก กระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลันกลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกัน พัลวันไวว่องทั้งสองนายครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง คืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมายขณะนั้นทันทีมีผู้ชาย ก็ผันผายขับอาชาออกมาพลันเอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้า ข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่นแล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครัน ช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนาอีกคนหนงวิ่งพวยฉวยได้บ่วง กลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้าฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้า โดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิมแล้วถือแพรยืนขวางกลางสนาม ก็โจนข้าได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิมแล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติม ทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขาม กระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไป แล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ

๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยด ดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนาชอมิศกุกเจนจัดหัดอาชา มือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตามแล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับ ประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนามสารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความ คำรบสามสั่งว่าให้ม้านอนพาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่ง ไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอนชายตลกยกเท้าอัศดร ให้กอดกายหงายนอนหว่างอุราม้าก็ทำตามใจมิได้ขัด สารพัดน่าเอนดูรู้ภาษาบัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลา แต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกายมิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนา ฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมายตลกจึงกล่าวคำทำภิปราย นี่แน่นายผู้สันทัดอัศดรถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้า ให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอนเราจะห้ามปรามไว้มิให้จร อย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดีมิศกุกรับคำทำเปนว่า มาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชี จงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือนสินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่ง ช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือนตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือน แล้วแย้มเยือนร้องว่าอย่าเข้าไปม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผัน ขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้มิศกุกเรียกกลับมาฉับไว ลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาทีจงคืนไปโรงในอิกเถิดหนา ฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋คนตลกจึงว่าแก่พาชี หยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จรม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลก สองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอนตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทร จงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนายทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์ โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมายมิศกุกนายม้าปรีชาชาย ต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียวแล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลัง ม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียวควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียว สักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าในคนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อ ก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหวคือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจ ขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ

๏ เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่ง เขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์เอานารีรูปร่างสำอางครัน เปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไลแต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็น ช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัยฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไก ดังเหาะได้จริงจังลำพังตนบางทีผุดผายผันจากบรรพต เห็นปรากฏแก่ตาน่าฉงนบางทีขึ้นจากพื้นภูวดล แต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจรคนที่เปนเทวดามาทั้งนี้ รัศมีแจ่มจำรัสประภัศรช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอร ดูละคอนจนเวลากว่าสองยามเขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับ คืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวามคิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงาม ถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ

๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศ ภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสวมิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทย จัดรถให้ห้ารถบทจรทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวน ประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอนเขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์ ราษฎรเสียให้จึงได้ดูมีพร้อมหมดจัตุบททวิบาท สิงหราชกรินีทั้งหมีหมูอิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรู ทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกันแรดแรงร้ายม้าลายมหิงษา พยัคฆาหมูละมั่งกวางสมันฟานกระจงเลียงผาสารพัน จิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขในกระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอก ข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัยอ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจ ดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียวเข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขัง ก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียวขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียว ไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตรายมีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขง เปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหายเหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลาย ใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคาทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบ คางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่าจรเข้หอยปูงูเต่าปลา สกุณาหลายอย่างต่างต่างกันทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่ เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผันแลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณ บางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทยถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็ก ซีกไม่เล็กแขงขันตันไม่ไหวแม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไร ใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละจิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่าง แล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะใส่หอยปูต่างต่างวางระยะ ที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโตถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้ง อยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซ กินเนื้อโคเข้าปลาสารพันเขาหาทำน้ำหญ้าผลาหาร ไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกัน จนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ

๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผัน ดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนายาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวา เปนมหานาเวศวิเศษนักประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อย แต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนักไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยัก คิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดีที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้น เขียนสุวรรณลวดลายระบายสีมีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มที ตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาด ระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำ เขาหาทำของเข้าเอามาไว้ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้อง แล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสวเสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบ ใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการบรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่น แม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้านเปนเรือใช้รับจ้างทางกันดาร ใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ

๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมด ขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมายถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคาย ลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลาไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้น ไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผาใส่ใบสอก่อนกั้นกันคงคา ถือปูนยามิดชิดสนิทเนียนที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่าง พื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยนเขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียร เที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัดอยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่อง ตามแถวท้องวารินยินถนัดเสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัด ด้วยจักรวัดวิดวักควักวารีอุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่น โดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมี เศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทยเปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอด ช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหลพี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไร ก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ

๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อย ช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอ เขามาขอเชิญทูตทั้งสามคนไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่ ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผลถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์ ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคลกินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง คืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัยมิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจ กำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดินอีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่ม มาควบคุมของขนไปจนสิ้นบรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์ ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมาแล้วท่านทูตสามนายก็ผายผัน กับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษาอีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชา ขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมืองได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้า พระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่องอันปรากฏยศฟุ้งย่อมรุ่งเรือง ดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่ ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคัน มีพระบัญชาตรัสดำรัสการว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถ ให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์นด้วยทเลลึกกว้างทางกันดาร ไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเราในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพ ทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้าจึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนา มาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรีเธอชื่นชอบขอบใจในพระบาท ไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรีหยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนี อัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใดขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้า จงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัย ผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนองราชทูตรับว่าอย่าปรารภ จะนอบนบโดยดังรับสั่งสนองแล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรอง ที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ

๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศ ล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหงเขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรง ว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิต พระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรีแสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี ในการที่รับทูตขอหยุดไว้อีกสักแปดราตรีพอมีสุข ค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัยได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจ ต้องรอไปป่วยการนานเวลาในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญ ให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหาเฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญา กลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปีแม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่น ก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรีคงจะมอดม้วยมุดสุดชีวี แต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ

๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผัน ดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถานต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญ ควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลันลงจากรถคลาไคลเข้าในตึก แลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์สำหรับให้คนดูรู้สำคัญ ว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไรประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของ มารับรองพูดจาอัชฌาสัยแล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไป ให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกลก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อน ดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหนสักสิบวาสูงครันถึงชั้นบน แล้วต่างคนจากที่เดินลีลาเที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอย เห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนามีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา ลำคงคาเรือแพออกแจจรรดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่าง ทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่นฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์ อเนกนันต์ด้วยคณาดารารายรัศมีแววแวมแจ่มกระจ่าง พื้นนภางค์โอภาษประลาดหลายแม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปราย คนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริงด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหล ทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่งไม่มีข้อสงสัยใจประวิง ช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่ จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำ ไปดูหนังฟังคำบทเจรจาอันรูปหนังดูงามตามวิสัย เมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนามีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดา บรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครันทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศ ไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขันตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้น ช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิดได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่าง ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์ ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนานครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผัน จรจัลกลับหลังยังสถานถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลาน เพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ

๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหน สุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวงยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง ให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็นเขามาชวนไปยังที่วังแก้ว ก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็นถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปน ไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศ อาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอนครั้นถึงวังรัตนาพากันจร เดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไลดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ว วับวามแววแสงสว่างกระจ่างใสทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไร ตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดาสูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้น เขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนาข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตา ปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างรายมีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่น ไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขายแล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชายประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญแต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์ ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวนรูปคนป่าราษีไม่มีนวล ทำกระบวนรู้อายใบไม้บังแล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อย ทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้งแต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวัง จนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลยมิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุด ช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉยให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคย แล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกินครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระ หวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้นด้วยสิ่งของควรชมนิยมยิน แต่พิรุณจวนรินโรยลอองต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิด คนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมองเศร้าฤทัยไสยาน้ำตานอง พอพวกพ้องที่รักมาชักชวนไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษ ต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญจึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวน แต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเคราแล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่ง เห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขาถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงา ไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอายจนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อย ล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหายใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกราย เมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญพี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่ง เขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขินดูจริตกิริยาก็น่าเพลิน ดูเมื่อเดินงามดีทีทำนองดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้า ดูพักตราราษีไม่มีหมองดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลออง ดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่ ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกัน เปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ

๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง มายับยั้งไสยาที่อาศรัยจนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัย พวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวนไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้น สารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วนรูปพระยอดยุพยงอนงค์นวล ทีสำรวลมิได้ผิดจริตนางทั้งรูปราชสามีเปนที่รัก วิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้างกับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอาง แลสล้างล้อมขนานพระมารดรรูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลาย ทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอนมีคนดำน้ำอดบทจร ในสาครทนจมอยู่นมนานแสนสบายหายใจก็ได้คล่อง ลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนานต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธาร วิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอาอันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อ ฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขาแต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนา เห็นลาดเลาคงมีที่ระแวงถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัย ดีฉันได้อธิบายจะหายแหนงด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลง ครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ

๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รัก มาชวนชักให้สนานสำราญกายต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศ วิไลเลิศแลอร่ามงามใจหายเลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชาย ดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทยนุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสน โจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหวบ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบใน ข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรดธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชร แต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยดทับทิมแดงแสงวามช่างงามงด มรกดไพฑูรย์จำรูญรายเข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหาร หมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมายสอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกราย ทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลันขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพัก ถึงสำนักรถไฟจะผายผันพอประสพพบเห็นเยนเนอรัล ก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจรหนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้น ได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษรถึงที่หยุดเกือบกระทั่ววังบวร ก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศ เชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สองขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทอง ทูตประคองเคียงตั้งระวังดูอันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์น ทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรู แปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอนกระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตร ประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศรกระหนกนอกดอกช่ออรชร ทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลายเทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่ ช่างเสนรู้พอสายถือมือขยายก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกาย พักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวังทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถ ก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวังริมถนนคนผู้ดูประดัง ยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโรตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์ ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโขน่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โต ไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครันบ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูต บ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมัน ทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดีแต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รัก ต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสีจะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมี ถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ

๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยว ประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่งประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวัง ทหารตั้งถือปืนยืนคำนับได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับเสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ กลองขยับมือถี่ตีออกรัวเยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหาร เชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่วดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัว ในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชนเชิญพวกทูตจากรถบทบาท ดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหนให้พักพาอาศรัยในตำบล เปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทยชื่อวิน์เซอเธออยู่ฤดูหนาว ถึงลมว่าพัดกล้าอย่าสงสัยจัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปใน กระจกใส่ช่องชิดสนิทดีเยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่น ค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรีดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมี ควรเปนที่สบายวายอาวรณ์บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์ ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศรแล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทร เชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นางเยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วง ถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้างทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทาง เสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพันถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤช คอยสถิตย์ทุกประตูดูขยันท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณ พานเดียวกันรวมรองทั้งสองรายครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสาม ก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผายเจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกราย แต่เจ็ดนายกรายก้มประนมกรครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาด ก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อนคุณมณเฑียรที่สามก็ตามจร พี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไปแล้วคุณราชามาตย์ชาติทหาร คุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใสแล้วขุนจรเจนมหาชลาลัย ขุนปรีชาล่ามในบวรวังทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงด เปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลังถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดัง จะคอยฟังเสาวนีมีบัญชาฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์ ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขาตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตา อยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนในแล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้า ก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสวท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทย เปนข้อไขคำแจ้งแสดงนามราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสอง ถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สามรับพระราชโองการบรรหารความ จอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬีให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่อง มาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรีโดยสนิทพิสมัยเปนไมตรี ร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกันจบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไข ที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผันสิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัล ข้างพวกทูตอภิวันทนาการอันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่ง คลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์นแล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพาน ดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกรายครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหง จึงนั่งลงชูพานสาส์นถวายพระยุพินเหยียดกรมาช้อนชาย วางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลัง พร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนานฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์ จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัยในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่า เราปรีดาโดยจิตต์พิสมัยได้รับทูตสององค์พระทรงชัย ก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืนด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้น เหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่นเปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืน จะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิมจึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่ เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่มก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติม จะส่งเสริมความสวาทราชไมตรีทั้งปรากฏยศถากว่าแต่ก่อน สองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรีพวกพานิชลูกค้าประชาชี ได้ไปที่ค้าขายสบายบานอนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้าง ด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหารไปรับทูตข้ามวนชลธาร ทางกันดารตั้งใจระไวระวังได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผล ตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวังโดยระบอบชอบธรรมตามกำลัง เสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่า กลับออกมาชี้แจงแถลงไขว่าพระนางยินดีมีพระทัย ที่ตรงได้รับสาราบรรณาการสองพระองค์อันดำรงอยุธเยศ กระเดื่องเดชเลิศลบจบสถานขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณ แล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทยค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้ พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฏไป ธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้า จึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้ามจะคายคมสมควรไม่ลวนลาม เวลานี้จงประณามประนมลาราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้อง ทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศาคลานถอยหลังจนกระทั่งทวารา เยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ

๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราช เถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหงอันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรง ทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบาที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่อง แลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้าใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพรา ช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตาริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชร ดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวาระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมา ถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติ เพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำ จะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใดเมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราช หมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใสมายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอใน ประมาณได้สามสิบพอดิบดีอันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์ ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรีสวยสอาดเปนพระราชสามี แต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาด เข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับอินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับ ขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยานยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้าย โดยเบื้องแบบแยบคายนายทหารสารพัดเครื่องราชบรรณาการ พนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ

๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้า สุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียงเขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียง ก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนาอังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น กินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวาประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวา ใช้จานฝาโถเถาเปนเงางามบ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาด บ้างเปนชาติทองแท้แลอร่ามดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววาม ที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ

๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผัน เยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียนลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียน ชมศัสตราดาเดียรดาษดูอันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำ รายประจำตามผนังวางเปนคู่มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนู ไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวังเดินดูของมาถึงห้องที่เคยพัก หยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่งเขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟัง เสนาะดังวังเวงบรรเลงลานสุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ ยุรยาตรคืนหลังยังสถานถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบาน แสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ

๏ จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศ ผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหาเสียงม้ารถอึงอัดรัถยา พลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกายชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้าง เสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมายเที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างราย เขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวยแล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่ง ช่างตกแต่งตึกรามงดงามสวยสารพัดจัดบรรจงน่างงงวย อุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ

๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่ บัญชาให้คนขำนำอักษรมาถึงทูตแจ้งความตามสุนทร ว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์ พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรีให้เชิญทูตทั้งสามตามคดี กับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกันจะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวย เหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉันต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครัน จนถึงวันนัดกำหนดก็บทจรขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถาน สุริฉานลับเงาเขาศิงขรเข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนคร ได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นายจวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศร เสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผายมิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลาย เจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลาคุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่ ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษาต่างดำเนินเดินด่วนลีลามา หยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทางพอสองทุ่มอัคเรศเกศสมร เหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมางพร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นาง แลสล้างดังคณาดารารายเสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์ เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลายจึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกาย บรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนางก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาท แล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวางเสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลาง ให้ปรากฏยศอย่างตรงทูตไทยต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่า นั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่อุปทูตที่สองรองลงไป เขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรีแล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวา ให้ทูตาที่สามนั่งตามที่ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามี แต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดาอันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้ ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษาเมื่อขณะเสพย์รสโภชนา นางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลยจนสำเร็จก็เสด็จดำเนินาฎ ลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวยไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคย โปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทยครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์ ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหนฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตร มายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทรทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศ ต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมรเสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจร ดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมานพระสามีที่สนิทพิศวาท งามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญจึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปราน แล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนายเสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์ ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผายราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกราย มาทักทายพูดจาแล้วลาไปเจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขย จึงเฉลยพจนาอัชฌาสัยเสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคล ประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชาดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้า ต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษาโปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชา อีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทองกินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิด เธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมองได้ตอบต่อข้อไขในทำนอง แล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟังพระบุตราบุตรีสามีราช มารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่งบ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพัง จนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตีนางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่น เสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดี ก็จรลีคืนกลับมาหลับนอนต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถาน โปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอนคนละห้องไสยาสถาวร จนทินกรแจ่มจบภพไตรฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศ เปนพระราชสามิศพิสมัยก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจ พิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์มารับของภูบาลผ่านพิภพ ที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์ ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยาต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนัก เห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษาทั้งสองข้างต่างคนสนทนา แล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไปพนักงานจัดแจงแต่งอาหาร ล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสวให้พวกทูตรับประทานสำราญใจ จนสี่โมงเศษได้เวลาจรก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับ ถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อนพี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอน นึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิดนิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉม มีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิด แนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรากำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่น พอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหาแล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลา ไปชมโรงแพทยารักษาคนต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์ แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหนทำเริงรื่นขืนมานะจรดล ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ

๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถ พร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสวยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างใน ตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้นมีกระดูกคนตายทั้งชายหญิง ประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขันอิกกระดูกคนบุราณที่นานครัน ดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอก ศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไหในตากลมกลวงโหวโตกะไร ปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟางกระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้ น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสางไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทาง ออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพันบางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอด แล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญหมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์ ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชนจึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้ว พี่เห็นแล้วผมพองสยองขนอนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคน ช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไปบางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิด แปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัยตัวเปนนั้นหัวเปนนี่ที่จัญไร ก็แช่ใส่ขวดวางสล้างรายบางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิง แต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลายก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมาย ให้หญิงชายทัศนาบรรดามีขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่น ช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผีถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดี ดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยลแต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัด ได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหนก็ออกจากโรงหมอจรดล ไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ

๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่น ฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉนวิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟ ทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดทีทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่าง ครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดี เหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ

๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อม ไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหารในนั้นมีตึกโตมโหฬาร สูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำรูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็ก ใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำ ล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงรายมีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิต คนที่คิดทรยศผิดกฎหมายเครื่องจำจองหลากหลากก็มากมาย อีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้ง ดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณ สารพันอาภรณ์บวรรัตน์มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบ วับวาววาบแววแวมแจ่มจรสรัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัด ช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟฯ

๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง คืนมายังที่สำนักพักอาศรัยครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไล ไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียรที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อน สโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียรหน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียน ศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวังตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้น เปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลังเห็นทวารบานปิดมิดกำบัง ก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่ง ออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสารเชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนาน ชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียรเปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้ จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียนลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียน ดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงามมีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่า แต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยามบรรดาห้องทั้งนั้นขนานนาม ร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไปที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสด ช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหนเบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไล แต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดายที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาด เรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉายมีชื่อตามสีสันดังบรรยาย ห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกันงามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียน วิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้นฝาผนังปิดกระดาษสอาดครัน บ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทองบ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วน ดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมองในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลออง ที่บางห้องปูพรมอุดมดีบางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับ เรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสีอันของใช้หลากหลากก็มากมี ประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปนเสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้น เปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสนของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคน ทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกันเอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์ วิเศษสุดท่วงทีดีขยันบ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยัน สารพันตั้งแต่งทุกแห่งไปสุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่ ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสวที่ยเวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจ แล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ

๏ ครั้นุร่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถ เชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผันไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณ ในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรงเขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึก ดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถงพอเวลาแดดชายบ่ายสักโมง เสียวโกรงโกรงรถรัถอัศดรล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาท วรราชนารีศรีสมรครั้นถึงที่ปรีดาสถาวร พากันจรขึ้นนั่งที่บังควรบ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุก บันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวนจนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวน มีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยาเปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขา ไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษาเมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมา มีรถหน้าขึงขำนำครรไลคือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศา ล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสวแล้วต่อมามีขนัดถัดลงไป ทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศสพายปืนขับขี่พาชีชาติ ห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิด เดินติดติดเนื่องแนวสองแถวรายถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็ก รูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมายถือกระบี่ทีจับขยับราย ดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดาต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่ง แต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนาถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลา อีกขนัดถัดมาหกสิบคนถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตร มาโดยเขตรสองข้างทางถนนมารยาตรอาจหาญชาญผจญ ตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศอีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำ ถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤชดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์ ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้นแล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์ พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผันจำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณ กระจกกันกั้นหวังให้บังลมบนหลังคาทำเปนตรานัคเรศ เทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสมสารถีขี่ประจำล้วนขำคม น่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัวทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถ ช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่วเสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัว เปนที่ยั่วยวนใจให้แลลานข้างหลังถัดมาถึงอัศวราช ผกผงาดเผ่นผางกลางทหารแต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการ พระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรืองครั้นทีหลังพาชีมีทหาร แสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลืองสพายปืนถือกระบี่ทีชำเลือง เปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมาล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อย งามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวาครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญา เสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์มีทหารถือขวานปลายเปนกฤช อำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้นยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็น ล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงทีต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอก หกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่คนเดินนำสามสิบพอดิบดี พระมาลากำมะหยี่สีบวรทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่าง มีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อนเมื่อเสด็จจากรถบทจร พระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคองทรงสไบกำมะหยี่สีสอาด ดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมองยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทอง กว้างสักสองศอกงามอร่ามพรายสตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่ ถือริมภูษาเดินเชิญถวายถัดออกมาเสนีอีกสี่นาย คอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลาทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้าย สี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวาเสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์ ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้ายราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวา เสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉายแต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พราย ด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลงขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบ ยืนขนาบริมราชอาสน์ระหงอีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรง สองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างามสี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้าย ข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลามโดยนาถาศักดิ์ศรีที่มีนาม แต่งตัวตามยศอย่างสำอางตาอันพระจอมสากลวิมลสมร ดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหาฉลององค์ทรงโขมพัตรา อีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชรเพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่าง แสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จเปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ด ครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญเปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจ จบลิขิตโฉมฉายก็ผายผันลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณ ทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ

๏ แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่ ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่นในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็น จะได้เห็นไกกลที่คนทำเขายอมให้คลาไคลดังใจหวัง ก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำ โอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับ ตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสารปานฉนี้ขนิษฐายุพาพาน จะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัยแต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่ง น้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสวก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจ พอเที่ยงได้เวลาพากันจรแสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์ ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอนเปนเพื่อนยากลำบากมาในสาคร คิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกันเมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพราก ต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจัล ก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ

๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถี มีไร่นาสาลีแลไสวนาข้าวโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไร เขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพงเมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัด ทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้งทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรง ต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงามบ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผัก เปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลามมีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกราม ในที่ตามทางรถบทจรแม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวาง ก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขรเหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อน ช่างขุดพลอนทำหินดังดินทรายถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้น มืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหายบางทีทางน้อยสั้นจะบรรยาย ก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญาบางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหล เรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนาแต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมา ดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการบางทีทำลำคลองเปนสองชั้น ข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหานข้างล่างชลลันไหลใต้สพาน เรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ

๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนัก เขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมองเห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรอง ต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทายเขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึก อนาถนึกหนาวใจมิใคร่หายค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบาย จนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถ มารับทูตไทยหมดให้ผายผันไปดูที่นานาสารพัน แห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วนกับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักร วิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วนทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญ โดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดงทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่าง เจียระไนใสสว่างเปนสีแสงที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจง ดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจงอีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่ ทั้งหีบใส่ของงามตามประสงค์ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยง เขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ

๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วน แล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผองจากบุรีรีบไปดังใจปอง จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลันชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉน ดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครัน สารพันพิศเพลินเจริญตาพอรถไฟไปประทับเข้ากับที่ ผู้รักษาธานีก็มาหาแล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลา ขึ้นรถม้าจรลีไปที่พักให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์ เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จักคิดชื่นชอบขอบคุณการุญรัก มาชวนชักพูดจาแล้วลาไปข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์ จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศลชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคล ดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลีอีกทั้งจักรทอผ้าสารพัด ช่างเจนจัดดอกก้านประสานสีของอื่นนั้นพรรนาจะช้าที เจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ

๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์ เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอนกำปั่นพวกลูกค้าในสาคร ได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือบางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่ หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือเหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือ ข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพังครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิด ก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถังสูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบัง เรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลงคนทำการนั่งยืนกับพื้นหิน ไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้งชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจง ในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่รายริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสา ดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลายสุดจะนับคณนาจนตาลาย ดูมากมายสับสนพ้นประมาณได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้ง หยุดเอนหลังปรีดากินอาหารจนสิ้นแสงสุริยนอนธการ พนักงานจัดแจงตกแต่งรถแล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัย ขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมดดูละคอนฟ้อนรำที่งามงด อันปรากฏมีอยู่ในบูรีต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใส ก็คลาไคลตามแนวแถววิถีถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดี จึงจรลีเข้าไปดังใจปองเขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์ ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของกวิ่งมาทำคำนับแล้วรับรอง ให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดูอันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขา จะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหูขอจับเรองอาชาเปนม้ารู้ ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรก หัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหารใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยาน พาชีชาญทำได้เหมือนใจคิดแล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่า ฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิดให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์ ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนายเรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบ แล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหายแต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคาย ทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมินจึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อม แกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหินแล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนิน เที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลันม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้า คาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่นเจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมัน สินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัวจนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุด วิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่วทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัว ม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมาเจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้านิ่ง เราจะทิ้งผ้าไปในเวหาจงคอยคาบรับเอาทุกคราวครา อย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดินแล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศ พาชีชาติรับได้ดังใจถวิลถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์ เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญแล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวด ดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการ ยังวิตถารมากมายหลายทำนองละคอนเลิกกลับมาเวลาดึก อนาถนึกหนาวในน้ำใจหมองถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรอง คนึงน้องเคยสนิทแนบนิทราเมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตก ใครจะกกกอดมิตรขนิษฐาพี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุรา เหลือปัญญาที่จะพบประสบกันทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับ นึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวัน ครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัยจนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่าง ไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัยอยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไล ขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ

๏ กลับมาแมนเชศเตอร์เออนี่เคราะห์ นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนานแต่วนเวียนไปมาให้ช้าการ คิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไรถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถาน ต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัยเขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไป เอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือนเวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้อง ทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อนต่างแต่งตัวโอเอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือน ดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำนักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่น ลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำ พวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรังได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์ ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวังอันค่ายในหมายประจญพ้นกำลัง เพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลยแต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่น ให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ยเราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชย เขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอาเปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือ ผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่าอังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตา พวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบาครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์ น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงาก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลา จนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ

๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศ พร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผันขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลัน ถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่ บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้นคนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดิน เปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคมอยู่สองวันซื้อหาสารพัด ไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสมขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยม ถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไปแวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วน ตวันจวนเจียนดับลับไศลจึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟ สี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดนเข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพ ค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสนเห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลน ถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ

๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎ มีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยันให้ชักรูปพวกไทยถวายพลัน คนสำคัญหกนายล้วนชายชาญถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชัก ก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนานแต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญ บอกอาการป่วยไปมิได้จรทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถา ถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอนไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกร แล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ

๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษร ทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรัก ให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนายกับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้า ดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลายพร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชาย มารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉน เปนจนใจไข้จับยังทับถมสุดดำรงทรงกายหมายนิยม แม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเราฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศ แล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้าได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบา อยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ

๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่ รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหาให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลา ทัศนารำเท้าเปนคราวดีครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์ ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรีจะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ที ต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถสารถีขับม้าพาลีลาศ ก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมดเข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลด ดูทรงยศโฉมยงองค์พระนางรำกับน้องของเจ้าอาลเบิต งามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวางควรจะชมสมสง่าเปนท่าทาง โดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยานารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่ พินิจดูงดงามตามภาษาเห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมา ว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวนกับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์ ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวนอันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวน ก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลานครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้าย เสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหารพร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาร เสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้งโปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยง มีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้งอีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดัง ขุนนางทั้งภรรยาก็มากินประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อย มิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้นต่างยินดีปรีดาไม่ราคิน ครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุมผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุก บันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุมเปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุม จนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ

๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหาร แทบสถานทุ่งเถินริมเนินผามิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจา เชิญทูตานุทูตไทยครรไลจรขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผาย ไปถึงชายที่แถวแนวศิงขรเห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดร ดูสลอนแลหลามเปนสามกองพวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่ พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมองพวกม้าดำดำดีทีลำพอง คำรนร้องเริงร่านหาญประจญพวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลาย ล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสนทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพล เสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียงทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่ แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียงก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียง เปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกันทหารม้าจรลีทีละตับ ไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรรทั้งแดงดำขำขาวราวสักพัน เมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดังเขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วง ไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลังพอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตัง เหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยานร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบ แต่สินธพอาชายังกล้าหาญเคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญ จึงแจ้งการในกลรณรงค์ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่ว แต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนง ทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโตเชิงฉลาดอาจหาญในการรบ รู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโสจนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโย ก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ

๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมาย จะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสมพระบุตรศรีสวัสดิ์กำดัดชม ให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียมเธอเปนราชกุมารชาญสมร อยู่นครปรูชาโออ่าเอี่ยมแต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียม ฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกันถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสาย พระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญ กับตัวฉันจรลีเปนสี่คนไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้ง ในตำแหน่งอาวาหสถาผลต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์ แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทยมาขึ้นรถม้าพยศผยองอย่าง ริมหนทางคนผู้ดูไสวครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันได ก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นายสักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราช พร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลายอีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชาย ก็นำสายสุดสวาทราชธิดาเข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมด องค์โอรสเขยขวัญก็หรรษาอันโฉมยงบุตรีศรีโสภา แต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัวชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำ ที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่วฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัว สอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจงภูษายาวราวประมาณสักสิบศอก เปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์ สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไลดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลัง เปนยศหวังว่างามตามวิสัยแต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไม เธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธกังเกงเสื้อน่าชมสมสง่า มีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุดคาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธ ดังประดุจเข้าสู่สู้สงครามครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย มายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลามฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างาม จึงคุกเข่าลงประณามประนมกรแล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์ เกษมสันต์ภิญโญสโมสรพระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทร ร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้นว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสอง ที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญจงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญ ขณะวันอาวาห์สถาวรแม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าว ให้แตกร้าวคู่ชมสมสมรครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอน แล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาทีว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์ จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรีถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคี ในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจาแม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้ คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษาทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนา ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไปแล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถาม โดยคดีมีความข้อสงสัยว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัย ท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รักจะรับราชธิดามาเปนคู่ แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยัก จะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่น คงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญมิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์ แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริงเจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่า แกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิงแล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิง เสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชายฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร รับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้ายพระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปราย กล่าวธิบายถามไถ่ในทำนองว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิง ให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนองฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลออง จึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดามามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่ ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสาพระครูรับจับกรสมรมา เอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลงแล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมาย ให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์ จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยานในใจความนั้นว่าข้าพเจ้า จะรับเอานวลอนงค์คงสมานตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงาน ไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจรถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละ ตามคำพระโอวาทประสาสน์สอนสัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอร เสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์พระครูจึงจับหัตถาธิดาราช มาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันที ให้เทวีว่าตามทุกคำไปความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่อง ก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไขแต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกล โดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมาต้องว่าจะฟังคำทำตามผัว รู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษาจะตั้งใจปรนิบัติภัศดา เสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกันเจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลา จึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลัน ทำเคียมคัลส่งไปให้พระครูท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์ แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชู ส่งให้กูมารรับคำนับลามาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้าย ของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐาแล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจา ว่าดูราทรามสวาทนาฎนารีพี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์ ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษีโดยคำมั่นสัญญาไม่ราคี ธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญจะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติ สารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลัน แล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์ สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลง แล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญเอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับ แกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสารว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌาน ได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครองแต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้น อย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมองจงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคอง จนตราบสองชันษาชีวาวายแล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์ ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลายพวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนราย ร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลงบันลือเสียงอึงมี่นีฤนาท ทั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็งที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลง ดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบังฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวี กับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลังพร้อมพระวงศ์พงศาดาประดัง คืนเข้าวังสุขสมภิรมยาแล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้ง บอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนาอันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามา ล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปรานถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็น เหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐานพวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆาร ต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไปยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่ง อย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจ จึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราช พวกพระญาติแลเสนาบดีศรีทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดี เหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงานหมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อย เปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหารครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญ ต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ

๏ พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ จันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขรเดียรดาษด้วยคณาดารากร พื้นอัมพรเมฆีไม่มีปนศรีสวัสดิ์สตรีนารีราช ใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคน จรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอจะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่ ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอครั้นทราบสารขานไขดีใจพอ พูดหัวร่อเฮฮาพากันไปมาถึงวังขึ้นยังตำหนักติก เห็นคักคึกคนผู้ดูไสวพร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าใน แต่งวิไลตามยศหมดด้วยกันพระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลา กับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญอีกบุตรีบุตราวิลาวรรณ ทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมในฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิง เสนาะจริงจับจิตต์พิสมัยมโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจ กลมกันไปกับเสียงสำเนียงคนครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่ง ให้แต่งตั้งภักษาผลาผลแล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคน ไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกันกินน้ำชากาแฟแลขนม มีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ อเนกอนันต์คาวหวานใส่จานรายอิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้ง อยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหายสองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลาย เสด็จผายผันกลับลับพระองค์ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด ขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนง นึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญเวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย ใครจะเชยแนบน้องประคองสงวนเราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวล ได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียงเมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์ แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียงก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียง ศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวงดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศ ภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวงพี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวง ครรไลล่วงเลยออกนอกประตูเห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อม แล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสูเขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดู ไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอายแล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถี ซื้อของดีตามห้างที่วางขายจนเวลาสายัณห์ตวันชาย ก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ

๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎ ให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวงด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวง จะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชาคือนครทรงยศโอรสเขย ต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศาไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดา เปนยอดยิ่งกัลยาในธานีได้เวลาทูตานุทูตหมด ขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถีถึงนิวเศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์ ก็จรลีขึ้นบนมณฑิราพร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาท เดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนาที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยา พี่ก้มหน้านึกอายระคายใจเขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่น ได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัยแต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไร จึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดินแลดูเขาเขาดูอดสูแสน ไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขินใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทิน ทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดูจนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษ กับสามิศแอบองค์ดำรงคู่เสด็จออกคนเคยเผยประตู เปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญบรรดาลอร์ดล้วนขุนนางคอยย่างเยื้อง เข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผันมาออกทางทวาราข้างขวาพลัน พวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไปเห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศ กับทรงเดชสามิศพิสมัยพระบุตรีนงรามงามประไพ ทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดายืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลด แถวหลังหมดพระญาติวงศาแม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลา เกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนครต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อ นั่นแลคือบอกนามตามอักษรเสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทร ให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดีว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้น จึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรีน้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันที พระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกายก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์ ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลายแต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปราย ให้คอยดูอยู่สบายข้างภายในจนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้า ข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัยอีกสามวันพระกุมารอันชาญชัย พานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ

๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่น ชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนาเอากิ่งไม้ใส่ผลเปนผกา ปักรายริมรัถยาตลอดแลบ้างยืนซ้องสองข้างทางถนน ลงไปจนนาเวศเขตรกระแสคนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแช ออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัยวันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำ ช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไขมือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟ เหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณบนหนทางน้ำค้างที่ตกขัง ดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้านลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญ สนุกสนานตามประสาพวกทารกคนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่น ด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอกแต่พอออกนอกทวารก็สั่นงก ดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ

๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชัก ด้วยความรักชอบชิดสนิทสนองจะพาชมคลังในที่ใส่ทอง ทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมืองต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมด มาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่องครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรือง ค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจรดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วน เห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขรทั้งราตรีแลเวลาทิวากร ทหารนอนเดินนั่งระวังระไวอันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐ น่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัยแม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทย ได้โภไคสักเท่านี้จะดีนักเราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช คงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรัก ในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาลแต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมาย ก็คลาดคลายกลับหลังยังสถานถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญ จนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ

๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้น เกษมสันต์ภิญโญสโมสร จะไปหาลอร์ดปามิศตอน กับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาในครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึก แลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสวดูก็น่าผาสุกสนุกใจ จึงเข้าไปในนั่งที่เก้าอี้วางฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับ ออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมางแกปราไสไต่ถามเนื้อความพลาง ธุระอย่างไรนั่นพากันมาราชทูตจึงแสดงแถลงเล่า ว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนาก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลา คืนกรุงเทพมหานครคงทั้งสองข้างสนทนาประสามิตร ที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจง ขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวนแล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่า แจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วนเขารับความตามอารมณ์โดยสมควร ต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุราก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึก คนึงนึกโหยหวนรัญจวนหารำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมา จะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ

๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบ พี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดู ท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุก บันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษมได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรม หน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคนแม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวง เรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสนหวนรำลึกนึกบ้านสถานตน คล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยามีสพานข้ามธารถึงแปดแห่ง ทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนาบางสพานการถ้วนล้วนศิลา ถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบาในระยะเขตรสพานธารติดตื้น กำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสาก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนา ไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพานแม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้าง แลสล้างเรือแพแซ่ประสานบางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญ บางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทยตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อน เขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผลที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้ หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำมีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้าง ไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำ บ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมีได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตก ไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถีจึงให้กลับคืนมาไม่ช้าที ประทับที่หน้าท่าพากันจรถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศ อนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอนจนรุ่งแรงแสงศรีรวีวร ปิ่นนิกรนาเรศเกศสกลรับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศ นำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคน จรดลสู่เขตรนิวเศน์วังด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมาย ทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลังมานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดัง จะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปีจวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้น จรจรัลตามทางหว่างวิถีถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรี ตรงเข้าไปในที่พระโรงเรืองเสด็จออกบอกให้เปิดประตูผาย เสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่องเข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมือง ตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกันฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์ มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัล พระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรงแล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้าย ทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์ แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลันฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้อง เอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขันแล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้น คือสำคัญรักใคร่ในพระองค์แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลัง มาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจง ดำเนินตรงเลยออกนอกทวารพวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอก ท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญ สทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกรายครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์ คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวายอัคเรศรับสาราเสนานาย แล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดลเขาทำตามความไขไว้แต่ก่อน ที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคน สุริยนเย็นพลับอับอัมพรเสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์ สำราญจิตต์ภิญโญสโมสรฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอน เยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจาว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษ เสาวนิศจอมวังสั่งให้หาพวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชา เข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์ คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรีก็รับคำอำลาไม่ช้าที มาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ

๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษ ดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหายพี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลาย จนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคลมาชำระสระสนานสำราญรื่น ค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัยต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไล ขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วงครั้นถึงวังจังหวัดราชฐาน ก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์จากรัถาพากันเดินดำเนินตรง เข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินีในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับ เครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมี เตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำกระจกฉากหลากสลับสำหรับห้อง ไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำวิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำ ประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดูเห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรี กับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่ข้างพวกเราเข้าไปในประตู แล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกันเธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้ โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลัน ว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเราก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อน สโมสรสวัสดีไม่มีเศร้าแต่เราคิดเสียใจมิใช่เบา ด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดูราชทูตทูลพร้องสนองถ้อย ช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหูว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรู ได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไปอันความหนาวคราวนี้มิสู้มาก ไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้พระเทพินจึงอวยอำนวยชัย ว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์จงไปดีอย่ามีระคายข้อง ที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถมตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคม ให้เสร็จสมปราถนาสถาวรท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนต กราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศรว่าเราขอน้อมกายถวายพร ในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนราให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อน จงถาวรยืนวันชันษาเสวยราชสมบัติวัฒนา ขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์อนึ่งการอันใดท่านได้รู้ แลได้ดูเห็นตามความประสงค์จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์ ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจงพี่จึงแปลข้อความตามรับสั่ง ให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลงแล้วทูลตอบพจมานสารแสดง มิให้แหนงเคืองขัดหัทยาถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึง สิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศาได้รับรองมีสุขทุกทิวา พระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัดการอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็น ไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัดให้ทรงทราบบาทาสารพัด โดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลายพระนงรามงามพริ้มยิ้มพยัก แล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉายจึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปราย ความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนีครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับ ถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี ก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนาพูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทด คอยกำหนดวันวานนานหนักหนายังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลา เร็วหรือช้าก็มิรู่ดูรำคาญแล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์ จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉานชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญ ได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ

๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้า ดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวงมีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวง อย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรองถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่ ตาครูแก่รู้รสบทสนองวิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกอง ทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทยในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้น บ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัยดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไร แลวิไลสรวยสอาดประหลาดตาถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้าย มักปีนป่ายโลดโผนโจนถลาบางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มา แล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คนเขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้อง มีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหนนุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตน ถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลยมีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติ สารพัดดูแลไม่แชเฉยทุกคืนวันโมงยามตามที่เคย ให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากินบ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วน บ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้นคนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณ ช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจเฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวาน ไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัยแกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไป หวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับ คืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสมแสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทม แต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ

๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์น ของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์กับสำเนาอีกฉบับกำกับกัน ให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุงแล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมด ขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่งถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุง ดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมาในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่าง ล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนาแต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวา เขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกันไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิต ช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยันทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์ สารพันนกปลาคณาเนืองครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับ ฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลืองเขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมือง แอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวันก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมด ขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผันจะไปชมของดีที่สำคัญ ในตึกนั้นหลากหลากมีมากมายเขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่าง ที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขายอันชั้นสองชั้นสามทำแยบคาย มีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คนเอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสี ทำท่วงทีกิริยาน่าฉงนมีรูปองค์อัคเรศเกศสกล กับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปนทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์ ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็นพร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญ ที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมในรูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลาย บ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัยรูปขุนนางท่าทางแลวิไล รูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญาบ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อน แล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวาบ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตา บ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทรรูปนารีไสยาช่างน่ารัก ดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอนเห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอน น่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจบรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือ กังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหมให้ปรากฏตามยศทุกคนไป ช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปนดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตร โดยสนิทได้ประสบมาพบเห็นครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้น ก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ

๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เข้ามาแจ้ง กล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์ ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดนพี่ฟังคำดังอำมฤตรื่น ให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสนดังยาจกจนยากที่กากแกน ได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนืองก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอก วายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้องจะกลับหลังยังที่บุรีเรือง ถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ

๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหาจึงชวนกันครรไลขึ้นไปลา กรมท่าลอร์ดใหญ่ในนครเขาต้อนรับนับถือจับมือหมด ให้เปนยศภิญโญสโมสรแกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พร ให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พานแล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุข บันเทาทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนาน แสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ

๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำ เวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัยต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคล ดูขวักไขว่อลวนสับสนกันใครมีที่ชอบชิดสนิทสนม ก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครัน บ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจบ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รัก บ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหลบ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัย โรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบางสงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้า ทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวางล้วนนารีรูปรวยสวยสำอาง จะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่ บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนักด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนัก ได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบายนิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็น ต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหายเพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดาย จำคลาศคลายล่วงลับกลับนครสองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชัก ก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอนพี่สุดแสนปรีดาสถาวร ต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟออกจากกรุงลอนดอนนครหลวง ก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศลมาถึงเมืองโดเวอเออกะไร ช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือแสนสนุกทุกตำบลถนนตึก เห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือมีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือ ดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการมิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้น แล้วให้กินนานาภักษาหารครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญ สบายบานหยุดพักสำนักเนาจนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่น ดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขาพายุจัดพัดผันไม่บันเทา เขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลังให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อน ข้ามสาครตรงไปดังใจหวังพวกเราเมาคลื่นซมล้มประนัง จนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรีเรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่า แถวชลาแขวงแควกระแสศรีเมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนที แลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้นคือฟากฝั่งข้างอิงแคลนแดนอังกฤษ เมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกัน เก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ

๏ ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าว จะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศรเปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทร สถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนากำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์ ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษาแต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำรา เพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มีอยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือ แต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถีที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรี พฤกษาศรีเบาบางห่างห่างรายมีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อย กำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขายตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวาย ประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตาเมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์ ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนาไม่มีกำแพงรอบขอบบุรา ตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดนมีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อย เปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสนวัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลน ดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ

๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลาย ทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียนทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียน ช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจงละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้ เขาทำที่ตึกรามงามระหงมิได้ไปเที่ยวรำตามจำนง เล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วันครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศ ก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสันกระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยัน บันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรีก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนด จึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคี สุดแต่มีเงินให้เปนได้ยลข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้า แล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสนถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจน อยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอนต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อย ชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อนแต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอน ด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ

๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้ กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนาที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมา อยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบลถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้าง ครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสนแม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจน ก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลาย เปนแต่อายอัประมาณการอดสูลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครู อุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางพอเอาตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์ ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอมีสักสองพันแห่งแต่งลออ พร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยาคุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วน ก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนาคนข้างในเขามิได้พันธนา เครองตรึงตราตรากตรำไม่จำจองเปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้ ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกอง ต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไปพวกทหารคอยระวังตั้งรักษา พร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหวลุกกระสุนดินดำประจำไว้ สำหรับได้รบรันประจัญบานในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาด ที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนานทั้งทสอนสาสนามีอาจารย์ รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟังให้หมออยู่คอยดูอาการไข้ เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขังใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวัง ไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือนที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้า ก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือนอันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือน พอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกันแต่ของกินสารพัดจะขัดสน ให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียวผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผย ถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียวแสนลำบากยากจนอยู่คนเดียว กินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ

๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่ง คนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนาที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวา บ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทางเอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐ แล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวางสำหรับม้ารถไปเอาไว้กลาง ริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้วปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษ ทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้วกว้างประมาณห้าศอกออกตลิว แลเปนทิวขวักไขว่คนไปมาถนนรายมีนายอำเภออยู่ ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษาระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตรา ทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนน งามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐบนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศ แลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลามิได้ปักปนคู่ดูจังหวะ ไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนาในระหว่างห่างราวสักสิบวา ให้แสงมาส่องต่อกันพอดีไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศ ดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรีประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคี ไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมันเปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติด แปลกชนิดธรรมดาวิชาขยันเมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญ ที่ควงขันบิดขวับพออับลมเปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วง ก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สมอันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดม ทุกนิคมใช้การในบ้านเรือนแต่บรรดาตึกรามดูงามงด ทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือนหนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือน ที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มีบางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น ตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถีบางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดี ทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไปบ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหก หลังคาตกแบนแต้แปล้ไถลบานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไว บานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรูมีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้า ให้บังตาข้อรำคาญการอดสูกระดาษลายปิดฝาก็น่าดู พื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดีจะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้ ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐีริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคี พอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบายแล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอด ให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหายคนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชาย ต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนาจึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่น ด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนาทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรา มีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่ง อย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอ ยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนามถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่ง เหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขามบางทีเข้ารับใช้ดังชายทราม ทำการตามนายสั่งทุกอย่างไปอันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้อง อิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัยจะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจ นายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิตจะออกหากินบ้างอยู่ต่างหาก ความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิด ทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนน ในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐานเขาขายของต่างต่างเปนห้างร้าน ช่างคิดอ่านหากำไรได้สบายมีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่าง เครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขายเครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลาย บ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชามอันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่ง อิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลามทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงาม สิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนงแม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนา เที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรง ไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ

๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหล เหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่นแต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้น นามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อย เที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษมทำท่วงทีที่ทางสำอางเอม น่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวงคอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่อง ไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวงอันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวง ชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลมฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้า บางรัถาสองคู่ดูพอสมบ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคม บ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบันคอยรับจ้างตามทางแถวถนน ที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผันเขาทำงามตามอย่างต่างต่างกัน บางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มีบางรถคนนั่งข้างในได้แต่สอง บ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดี อีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาวแต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำ ออกคลาดคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาวบนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราว เปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลักรถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมาก ไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนักเสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนัก ออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ

๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยม ไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริดคือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศ ในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกลหนทางที่รถเดินดำเนินนั้น ทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหวดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไป ถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวงถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่น เสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวงถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวง จะข้ามห้วงนทีมีสพานล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น ให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถานถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การ ก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควรแล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสอง บางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วนทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวน ทางที่มามาล้วนไม่มีไปด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลก จึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัยซึ่งเรียกหาปรากฏว่ารถไฟ ใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกันอันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้า ผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหันถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครัน แรงขยันเหลือล้นพ้นกำลังจะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนัก ด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลังเจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปยัง กำหนดตั้งตำราว่าไว้มีชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผัน ถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถีรถที่ไปใส่ขอต่อกันดี จัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวนรถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่อง เปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วนห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควร หมดประมวญสามห้องสิบสองคนมีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่น ทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขนแล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบน จะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดีข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิด ให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่สำหรับบังสุริเยศวิเศษดี ล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตารถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่อง ในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝานั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามา แต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลงยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำ แกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์คนยากจนหยากไปใจจำนง ค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลาแต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้อง จำจะต้องปนปะคละกันเข้าเก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพรา อนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มีรถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของ ช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชี ทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ

๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่ง ช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศรคนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอน หรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทางผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลาย ให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่างไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์ ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพรริมวิถีมีเสายาวหกศอก ตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอนแต่ประมาณการแลไม่แน่นอน ระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวาบนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่ว ที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศาสำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจา ด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลมใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่ เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสมอยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคม แต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไปจนนครราชสิมาหรือกว่านั้น จะบอกกันไปมาหาช้าไม่เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใด ได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความเราคนนอกบอกเองนั้นมิได้ ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถามคนต้นลวดที่รักษาพยายาม ก็ทำตามลัทธิเคยตริตรองคนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้อง ต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของเขาพูดมาว่ากะไรในทำนอง คนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกันจึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อ การตอบต่อเหตุผลชอบกลขันถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญ ลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ

๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวง คนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียรสร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียน ทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งามพื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษ ดูดังลาดพรมดีไม่มีหนามเขียวสดสีหรดานประสานคราม ใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรกบรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อ เย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปกไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนก มีทางบกทางเรือเหลือสบายแม่น้ำด้วนอยู่กลางระหว่างป่า ชายชลาริมแควกระแสสายแลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทราย ทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญน้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์ ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนานที่แถวท่าวารีนทีธาร ทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจงมีนาวาหลายลำประจำไว้ ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์จะไปชมลำน้ำตามจำนง เอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือหยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้น สมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือขายสุราอาหารคอยจานเจือ สนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอนอันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้าง แลสล้างคนผู้ดูสลอนเวลาเย็นสุริยาทิพากร ราษฎรคลาไคลไปประชุมทั้งผู้ดีเช็ญใจมิได้ว่า ต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุมบ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุม ที่ได้พุ่มพฤกษาน่าสบายบ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติ บ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลายบ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปราย สตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวลหนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์ ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวนขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวน เฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไปเขาแต่งตนงามงามตามภาษา ใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหมแต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทย ขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชายเท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขา ดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหายคล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควาย แต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงงถึงพาชีมีพยศจะห้อหก ทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยงไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลง เปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ

๏ เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมาก บางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหาซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวา ปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดงแล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัด เลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพง มฤคยงย่องหยัดระบัดกินแล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุข แสนสนุกตามจิตต์คิดถวิลบ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดิน ในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานกพวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติ ครั้งได้สัตว์สมหมายสบายอกแบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยก ให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกันที่เปนคนจนยากลำบากเหลือ ได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝันไปวางขายในตลาดไม่ขาดวัน สารพันหลายหลากดูมากมีทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะ อิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดี เนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลาเต่าตนุม่านลายเขาขายมาก ใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนาในตลาดมิได้ขาดสักเวลา ผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทรามเห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัด สารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถามช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความ ถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักคราคนสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่ง โดยลำพังจัดแจงแสวงหาเมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครา นางพระยาโปรดให้อาศรัยพักในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุข ที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานัก ด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวังเมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่าง ตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวังจึงแต่งกายดูให้งามตามกำลัง ใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวี ก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัยเข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟ เอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียงที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัด ประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยงน้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียง แล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลันครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้า อุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยันเอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอัน พอจุดไฟในนั้นตลอดคืนที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่ เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืนมิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืน เปนที่ชื่นวิญญาน่าสบายแล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษา ใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหายมาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวาย บุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ

๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศ จรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหาเวลาก่อนเสพย์รสโภชนา คนบรรดาที่สำหรับเคยรับการยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้ง ขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวานกับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาล ให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไปครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวย เป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหวทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้ ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลนเวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผล กินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสนขนมจืดขนมหวานจานแบนแบน อีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปนพอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้า มิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็น ไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือนถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟ โดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือมเวลากินมิให้พักต้องตักเตือน ไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญาขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหน ถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนาจะกินของดีดีมีราคา สั่งบรรดาคนใช้เปนได้การคงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้ แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขานแม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้าน มีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกลคงบอกไปโดยสายเตเลคราฟ ข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัย มารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ

๏ เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้น จะผายผันคลาไคลใจถวิลถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์ คงสมจินตนานึกที่ตรึกตราจะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์ ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนาหรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชา ตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยมจะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่น ของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสมต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชม อย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวงด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสร มีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวงให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวง จะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณแต่วันทูตถึงพักนัคเรศ ในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาลสี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวาร จึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย

๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำ ชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉนจะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัย ลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนานครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศ ค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการ จึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจรขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึก จนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอนครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวร ก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลันแล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่ว ดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผันสักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญ ทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวนพร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษ รักษาเขตรขอบแดนแสนสงวนตั้งสง่าน่าชมช่างสมควร ใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญบ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนัก แวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผลแล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดล สุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็นถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้าง สิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้นมิศเฟาล์นำเข้าไปในโฮเต็ล สำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมาเมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือ ล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษาคนที่ในธานีย่อมปรีชา เรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ

๏ ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่ง เข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัยแล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทย ไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนก ช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขันรูปมนุษย์หญิงชายมากมายครัน สิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางรายบ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาด ชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลายของพม่ามอญลาวชาวทวาย ล้วนแยบคายชอบกลให้คนดูได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้ง เฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหูโอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรู เข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรารำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับ แต่นั่งนับวันคิดขนิษฐาพอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยา จนเวลาผ่องพื้นโพยมบนชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศ เที่ยวประพาสร้านห้างทางถนนจนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยน ก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ

๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้ เสนาในเชิงชาญการขยันให้คุมรถงดงามทั้งสามคัน มาเรียงรันรอประทับกับทวารคนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้า ท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหารยืนประจำทำสง่าท่าทยาน สวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณมาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้า พระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณ ครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์ โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมดจนสองโมงสุริยงเธอลงลด พระทรงยศจึงเสด็จประเวศมากับเอกองค์มเหษีนารีราช ยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขาเกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลา ตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญเอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎ พร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหารอันเอกองค์กัลยายุพาพาน แต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงามพวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศ พระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถามอีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตาม ที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรีสนทนาทูตานุทูตถ้วน ให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรีพอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลี เข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด ขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถานแล้วไปชมวัดใหญ่สบายบาน น่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ

๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพ พระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหงนะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์ สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปีแต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝัง ใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรีเธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานี พระองค์นี้คือหลานผ่านนครจึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพ ด้วยเคารพทรงพระอนุสรกตัญญูรู้คุณอันสุนทร ให้ถาวรเกียรติยศปรากฏไปอันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่ ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้คเนนึกโดยลึกกำหนดใจ เห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้นแต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาว ลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์ที่สำหรับรับศพมีครบครัน อยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลายโมราดีสีดำทำประดับ แลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉายคิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคาย ของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึก อนาถนึกข้อนอุราน่าสงสารขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลาน เหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วายจนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขร ดารากรลับฟ้าเวหาหายกระจ่างแจ้งสุริยันพรรณราย ก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวารพอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์ จึงชวนชักกันออกนอกสถานเปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์ ต้องรับการแทนทูตไปพูดจาเที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่ง อีกตำแหน่งมนตรีมียศถาครั้นสำเร็ตเสร็จสรรพก็กลับมา กินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญแต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศ ถ้าจะคิดวันต้นจนอวสานเจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านาน ครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ

๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น เกษมสันต์ภิญโญสโมสรขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนคร เข้าดงดอนแดนป่าพนาเนินจะเชยชมสกุณาพฤกษาไสว ที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขินพอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลิน รถก็เดินวับวู่ดูไม่ทันถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อ ไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขันอันปักษินแม้จะบินแข่งพนัน อย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่ง ทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะเขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะ สำหรับจะได้หยุดสุดสำราญถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนัก ให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหารครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทาน ไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืนน้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือ ถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืนเอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืน สุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ

๏ ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่ง ก็ลุถึงแขวงแควกระแสใสมีบุรีริมที่ชลาลัย ขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคันนามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซ อยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขันมิศเฟาล์นำหน้าพาจรัล ก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ลแต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผล จนมาเซสามหมื่นหกพันเส้นครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น ก็จำเปนขึ้นรถบทจรพอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอก ระอาออกอ่อนใจฤทัยถอนอยู่บนบกวกลงมาในสาคร จะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทนแล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศ สุริเยศลับหล้าเวหาหนยังไม่จรถอนสมอจรดล ด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครันคอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้า ยิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสันแสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบัน จำจากกันอนิจจานึกอาลัยเคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง มาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหลเขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจ มิได้ให้ขุ่นข้อมหมองวิญญาจะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวง ก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนาอุส่าห์สู้พยายามติดตามมา จนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดนเมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับ ให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสนถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลน เสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดานิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์ เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้าต้องไกลกลับลับเนตรเวทนา ทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ

๏ เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาด จะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอน้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอ เปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวงมิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อย ค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนง หวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเราแต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวก กลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่าทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบา ควรรักเขานับถือว่าซื่อตรงพอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับ หทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลงใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์ ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลายแล้วหักห้ามความโศกให้ห่างเศร้า อะไรเรามัวหมางไม่ห่างหายมิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชาย ต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมียครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์ มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสียที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนีย ละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจมาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะ เกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหลชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไป ได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ

๏ ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้ง ถึงตำแหน่งธานีที่สถานแวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาล พอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไลแอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่ง จนสุเอศเขตรลงชลาไหลอันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจ เขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผัน ฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญให้ใช้จักรมากลางทางกันดาร สี่วันวารถึงท่าหน้าบุรีชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้ง เคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรียังจำได้สารพัดถนัดดี ด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบลเจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับ ก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสนบรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคน จรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวังขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับ ต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลังแล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟัง เจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมามีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำ ได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้าว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลา แม้กลับมาถึงเขตรประเทศเราจงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อน ให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขาจัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบา ประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์ โดยจำนงจินดาอัชฌาสัยอย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจ กว่าจะได้จรดลพ้นนครถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศ ขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อนราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทร จึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความในเราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบ แต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทย ถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้น จะผายผันจากบุเรศประเทศสถานเจ้าไกโรมีกำหนดพจมาน ให้นายล่ามพนักงานที่ดูแลไปตามส่งลงถึงลำกำปั่น ยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแสราชทูตตอบความให้ล่ามแปล อย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจเสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับ ทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัยกำหนดถ้วนสามวันก็ครรไล ขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ

๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับ คนสำหรับนำหน้าม้าทหารเชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาล ในสถานโฮเต็ลเปนสบายอยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่าม มาแจ้งความตามเค้าเล่าขยายว่าสุเอศเขตรแควกระแสชาย เขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับ ให้มารับทูตไทยดังบรรหารบัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวาน สุดแท้จะโปรดปรานประการใดได้ฟังสารปานอำมฤตรส ที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใสครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไร สำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ

๏ จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่ง บ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรมจะเร่งไปใจตรึกนึกนิยม หวังไปชมเพื่อนยากที่จากจรชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุด ด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมรเวลาค่ำยามหนึ่งถึงนคร ชโลทรท่าสุเอศเขตรทเลครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่ มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเหแสนวิตกอกโอ้มาโรเร นึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวงเรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่ เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวงจะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวง ในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทางคนที่คอยส่องกล้องมองเขม้น พอแลเห็นเรือไฟใบสล้างสำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลาง ว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทยไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบ ด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไขหนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจ ที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคายทั้งอาหารการกินก็ขัดสน ไม่มีคนหยากมาคิดค้าขายเมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบาย ของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมีท่านจะไปไกโรหรือไฉน ตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่ราชทูตตอบต่อข้อคดี มาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควรอันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้ มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญอั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญ หมดประมวญจะขออยู่ในบูรีจนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับ จะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรีฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคี จึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจงถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉน ให้คนไปแจ้งความตามประสงค์คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนง แล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ

๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้น ถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษรว่าเรือรบที่มากลางสาคร จะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วันแรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึก ก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผันเหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตัน เรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมืองครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้า กัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่องจะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรือง แต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือสนิมหนักจักรจัดต้องขัดสี ให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือกับสะเบียงอาหารจะจานเจือ ของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติมได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อน เหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริมโอ้ทนทุกข์เวทนาแต่เดิม จะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ

๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่าย แสนสบายเบาใจดังได้เหาะลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะ ให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเลถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่น ก็แช่มชื่นชักชวนกันสวรลเสแสนสุขาอารมณ์สมคเน บ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจากัปตันให้ยิงสลูตทูตสยาม คำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษาสิบเก้านัดจัดไว้ในตำรา ธรรมดารับทูตสลูตปืนข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่ง ตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืนมาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืน ล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศ นึกอนาถน่าคิดพิศวงเปนไฉนไยหนอพระสุริยง จึงตกลงในที่นทีธารเมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่อง ขึ้นจากท้องวังวลชลฉานหรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการ ว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอพระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อน แต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโขอันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โต เราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไรพอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้ง เสียงจักรดังดูธารสท้านไหวออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชย เลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ

๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะ ริมระยะแขวงแควกระแสศรีเปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรี ดูบุรีโซเซเกเรเกนังถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือพอ จะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวังต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟัง เที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มีได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำ พอประจำใช้พลางกลางวิถีต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรี แล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ

๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถาน ป้อมปราการเอเดนเปนศิงขรก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทร ให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศ ผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉันบรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกัน ฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการราชทูตรับตามเนื้อความสิ้น เขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหารให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงาน อภิบาลเภทภัยระไวระวังแล้วจัดแจงนาวาให้มาส่ง โดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวังขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพัง ได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคลลงกำปั่นผันผายออกจากที่ แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหวมาหลายวันสลาตันค่อยซาไป กัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชายขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสา เมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงายมากระทบถูกสีข้างแทบวางวาย จนเจียนตายตกน้ำระยำยับเหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่ง ปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับเอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับ แล้วพากลับคืนมาไม่ช้าทีหมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนัก ซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดี ให้นอนที่เปลไปหลายเวลาแล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง อยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษาฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยา สักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ

๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อย เปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถีสลาตันพัดกล้าจนนาวี เกือบเสียทีอับปางลงกลางคันลูกเรือทำการงานพานจะขัด ด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหันแต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทัน เสาสะบั้นหักยับทับลงมาใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อน พี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนาละลอกจัดพัดเข้าในนาวา บนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพทีชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่า ดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหนบ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแย เสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวายบ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลด แสนกำสรดสุดที่คิดหนีหายบ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีราย ถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บนบ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วย อย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหนบ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์ จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราวบ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่ง บ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาวอสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราว ทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียนถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อย ดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียนเหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียน สะอิดสะเอียนอกใจไม่สบายละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่น นภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบายสักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกาย พอฝนหายสลาตันนั้นก็ซากัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสา อีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนาแล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา ในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ

๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศ ถึงประเทศเกาะลังกามหาสถานมีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธาร แต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลีสำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่า เรือไฟมาในระหว่างทางวิถีถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มี เข้าจอดที่รับขนมาจนพอครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าว เสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอเจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอ ลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจรให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศ เปนขอบเขตรตึกโตสโมสรครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร ลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงามป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหาร เขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยามเสียงนกฉาดไฟปราดประกายวาม ครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิงพวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศ ดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิงแต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริง ถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอังหนทางทูตจรลีมีทหาร เคียงขนานถือปืนยืนสพรั่งเหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพัง พวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญสิริรวมพลปืนยืนคำนับ เขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวนในบาญชีมีกำหนดจดจำนวน นับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดีมาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับ รถประทับแล้วครรไลเข้าในที่ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมี ตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองามให้สองชายนายถนนคนฉลาด ทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขามมาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายาม ระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ

๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผา เจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมานให้พวกทูตหกนายชายชำนาญ ไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวนราชทูตพูดจาประสามิตร ต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวนเขามานั่งสนทนาเวลาควร ก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอนจนแสงสายสุริยนพ้นบรรพต จึงให้รถมารับสลับสลอนต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกร ขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลันกินสำเร็จเสร็จการวิสาสะ สิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผันแล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมัน ดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรงเร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่า ปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลงดังหนึ่งเทพดามาสำแดง ให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระ สาธุสะใครหนอก่อวิหารทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญ อยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนินมีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้าง ทำที่ทางควรจะสรรเสริญแต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญ ทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไรแม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่า อย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทย เอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ

๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนัก ก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษาว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมา ถึงลังกาธานีก็ดีครันจำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้ว เหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกัน เจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความในบอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมาย แห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัยเขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไป ตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคืองแต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุ ประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่องสถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรือง อยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้นแม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศ อันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยันหนทางไกลไปลำลองสักสองวัน แม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลาจนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สม โดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนาคิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมา ราวสักห้าหกวันเปนมั่นคงในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้าย มักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผงเรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลง แต่คนตายวายชีวงก็มากมายอันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขัน พวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหายไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบาย คงผันผายมิให้ข้ามสามทิวาท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุ โดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนาข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลา ออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัยถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียน พอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไขด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจ เห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปางครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่า จึงจะมารับรองอย่าหมองหมางราชทูตคิดสงสัยใจระคาง ว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทยไม่นับถือพุทธบาทสาสนา จึงพูดจากลับแกล้งแถลงไขเอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไป หมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์ขณะทูตพูดกับนายกำปั่น มีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญอยู่วัดในคาลีที่สมภาร อีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมาเยี่ยมเยียนทูตเมื่องไทยเหมือนใจหมาย คุณพระนายท่านจึงถามตามภาษาเปนข้อไขในมคธพจนา ชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกันทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์ อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผันไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตัน ก็เปนอันจนในมิได้จรจึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้ ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวร ใช่ว่าจรโดยขนาดราชการซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผาย ออกแล่นล่องท่องสายกระแสสานจนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานาน ทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควรครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่ ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวนว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญ เห็นแต่ล้วนการยากลำบากทีถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อน แล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดี จะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยากัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้น เกษมสันต์แสนโสมนัศาแต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกา ได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไลตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่ง โดยจำนงจงจิตต์พิสมัยแล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคล คิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืนสู้มาส่งจนลงถึงกำปั่น ด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืนตามหนทางจรจรัลทหารปืน ดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมาเขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัด แล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่ากำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลา พระพายพาล่องแล่นแสนสำราญค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่ง เรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉานกำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวาร ถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึงจวบประสบพบมิตรขนิษฐา มาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึงเวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึง คิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ

๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้ง ลงมานั่งไต่ถามความปฐม
ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคม ค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย
พระพิเทศพานิชจิตต์จงรัก ในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย
ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทย ขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน
มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้าง เปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน
มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญ พินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์
เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผัน ลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน
มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจร ริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง
ยิงสลูตทูตตามความคำนับ หูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง
รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียง ครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได
ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐาน ค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย
เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัย ยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที
ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าว มันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี
รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานี เขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง
จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์ คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง
ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบัง หมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี
พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้น ก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี
เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรี โดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน
ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่น ได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส
จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกร ครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ

๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึก อึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา
ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดา สักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ
พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูต ขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ
ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับ บ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์
ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถา ไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์
พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์ จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง
แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่น หมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง
ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวาง หัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ
เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษ แรมทุเรศมาในแควกระแสใส
ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัย คลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ

๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำ เห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี
ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑี ก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน
ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือ เรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน
เร่งโรยรอกนาวาลงสาคร ให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา
เห็นเรือโบตสามลำประจำที่ กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า
พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวา นายรักษาอยู่ประจำลำละคน
บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ด ครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน
ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดล ฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน
ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วน พระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน
ได้สมหวังกลับยังนครคืน ก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ

๏ ถึงหน้าด่านเมืองสมุทหยุดประทับ เห็นคั่งคับคนผู้ดูไสว
ต่างจรจากนาวาแล้วคลาไคล ขึ้นอาศรัยปรีดาศาลากลาง
ท่านพระยาผู้รักษาเมืองสมุท ก็แสนสุดยินดีไม่มีหมาง
ลงมานั่งพูดจ้อหัวร่อพลาง ทั้งฝ่ายข้างท่านผู้หญิงวิ่งเปนควัน
หาสำรับตั้งเรียงเลี้ยงพวกทูต หน้าไม่บูดเบิกบานงานขยัน
อันอังกฤษแต่บรรดามาด้วยกัน ก็จัดสรรค์เลี้ยงสิ้นกินจนพอ
ผลไม้นานาซื้อหาให้ เหล้าใส่ไหตวงตักไม่พักขอ
บุหรี่ยาเพ็ชบูรณ์ที่ฉุนตอ คนละห่อให้ถ้วนจำนวนมา
กะลาสียินดีเปนที่ยิ่ง ก็ขนสิ่งของส่งลงตีนท่า
บรรทุกท้องกองเรียบเพียบนาวา ครรไลลาไปกำปั่นนอกสันดอน ฯ

๏ พระยาสมุทบุรานุรักษ์นั้น ให้จัดสรรค์เรือแพแซ่สลอน
ฝ่ายพระยามหาอัคนิกร ก็รีบร้อนเร่งฝีพายชายชำนาญ
เรือเก๋งพั้งทั้งสองสำรองเสร็จ กับเรือเป็ดจอดเรียงเคียงขนาน
ต่างคนลาสองพระยาไม่ช้านาน ออกจากด่านเมืองสมุทรีบรุดมา
พิรุณโรยโปรยด้วยลอองสาด น้ำลงปราดเชี่ยวเหลือเบื่อหนักหนา
พอย่ำฆ้องสองยามตามเวลา ถึงกรุงเทพมหานครคง
เข้าประทับกับท่าที่หน้าบ้าน ขึ้นสถานยลมิตรพิศวง
ทั้งพงศามาพร้อมล้อมเปนวง พูดกันส่งไปจนแจ้งแสงอุทัย ฯ

๏ แต่พวกทูตกราบบังคบบรมบาท ออกจากราชธานีที่อาศัย
จนถึงเมืองลอนดอนพักผ่อนไป ตามหัวเมืองเนื่องในระยะทาง
ทั้งได้เที่ยวหลายบุรีที่อังกฤษ สบายจิตต์สารพัดไม่ขัดขวาง
ตัวเจ้าเมืองกรมการทุกด่านทาง ไม่เมินหมางต้อนรับประคับประคอง
ได้ปรากฎยศยิ่งทุกสิ่งสิ้น สมถวิลเอาใจมิให้หมอง
แต่พอถึงที่ประทับคอยรับรอง ทั้งเข้าของกินอยู่ดูระวัง
อันเจ้าเมืองมาคำนับรับทั้งนี้ เพราะเดชาบารมีไปคุ้มขัง
สองพระองค์ซึ่งดำรงนัครัง ดังฉัตรบังกั้นเกศกันเภทภัย
พระนางนาฎจึงประสาสน์เสาวนิศ ให้เขาคิดรับรองได้ผ่องใส
พวกข้าหลวงทั้งหลายสบายใจ แต่วันไปจนมาถึงธานี ฯ

๏ เรื่องที่กายรายที่กวนล้วนเปนสุข ต้องจนแท้แต่ใจทุกข์ขุกหมองศรี
ไปห่างน้องปองหานุชสุดโศกี กรรมมากมายกายมัวมีที่คำนึง
แทบเกือบปีที่การไปไกลเหลือล้ำ ลงนอนแซ่วแล้วนั่งซ้ำร่ำจนถึง
เปนสุดจนป่นเสียจริงนิ่งรำพึง ทนไปแน่แท้เปนหนึ่งถึงชีวา
นี่หากบุญหนุนให้บ้างครั้งคราวยาก ร้อนแรมจรรอนรักจากพรากเคหา
คงได้ชื่นคืนได้ชมสมจินดา มาแนบเนื้อเมื่อแนบหน้าพาแนบนวล
พี่ละบ้านพานลำบากมากหม่นหมาง ครุ่นถึงนวลครวญถึงนางครางโหยหวน
จึงเขียนคำจำข้อคิดจิตต์รัญจวน เรื่องการเศร้าเรากำสรวญจวนแหลกลาญ
หวังจะให้ไว้จงเห็นเปนฉบับ ได้สืบดูรู้สำหรับตรับตรองสาร
แนะสังเขปในสิ่งข้อพอประมาณ ทราบแถวถิ่นสิ้นที่ถานบ้านเมืองเอย ฯ

๏ ตัวเราเกลากล่าวเกลี้ยงกลอนไข
คือหม่อมราโชทัยที่ตั้ง
แสดงโดยแต่จริงใจจำจด มานา
ห่อนจักพลิกแพลงพลั้งพลาดถ้อยความแถลง ฯ
๏ บางยลบางเรื่องรู้รหัศการ
จึงนิพนธ์พจนสารสืบไว้
สำหรับแผ่นดินนานเนาเนื่อง ไปเอย
คนเกิดภายหลังได้อ่านแจ้งอนุสนธิ์ ฯ
๏ ใช่จิตต์คิดอาจอ้างอวดดี
จักแข่งวากย์วาทีเทียบสู้
ถือตนทัดเทียมกระวีหวังเสนาะ โสตนา
สักแต่ว่าพอรู้เริ่มกล้ากล่าวสาร ฯ
๏ ขอจงสารสวัสดิ์นี้เนานาน
จนตราบถึงอวสานสุดหล้า
สูญภพแผ่นดินดาลแดนโลก
จึงลิขิตคำข้าขาดสิ้นโทรมสูญ ฯ

(หมายเหตุวิกิซอรส์: ท้ายหนังสือนิราศลอนดอนฉบับพิมพ์ครั้งแรกที่โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์มีข้อความต่อท้ายดังนี้)

๏ แถลงความนามดอกเต้อบรัดเล
เป็นช่างการพิมพขะเนขนบรู้
คือชาวชาติอะเม-ริกันเกิด โพ้นเฮย
มาสั่งสอนสาศนสู้สละด้าวแดนสถาน ฯ

๏ ขอแต้มต่อข้อธิบายไว้ท้ายสาร
เหมือนชี้เช่นเปนหน้าสารบาล เชิญวิจารณเรื่องรศบทสำคัญ
ท่านผู้ใดใจนักเลงเพลงฉลาด ซื้อนิราษเรื่องลอนดอนกลอนกระศัลย
ไปอ่านฟังข้อคำที่รำพรรณ ว่าคมขันฤๅจะเขินดำเนินกลอน
ฉันขอบจิตรคิดตรองหาช่องชอบ เปนคนรอบรู้รักษในอักษร
สู้เสียทรัพยซื้อหาไม่อาวรณ ได้มานอนนั่งอ่านสำราญใจ
บัดสีแทนที่ท่านแสนกระหนี่เหนียว ทำบิดเบี้ยวบากเบือนเชือนไถล
เงินก็มีแต่ไม่ซื้อถืออย่างไร การนี้ไม่เหลือแรงแพงหนักนัก
ควรจะหามาไว้ดูให้รู้เรื่อง ที่บ้านเมืองใกล้ไกลได้ประจักษ
เล่นขอยื้มกันอ่านสงสารภักตร จะเสื่อมศักดิ์เสียนามความขจร
ถึงคิดลอกเล่าก็ยากลำบากช้า ทั้งเสียค่าสมุดดีที่บางซ่อน
สิ้นดินสอหอรดารป่วยการนอน เงินเงินป้อนส่งให้ได้สบาย
แต่ก่อนนั้นสาราติดหายาก ไม่กระดากยืมกันได้ดังใจหมาย
เดี๋ยวนี้กรุงฟุ้งเฟื่องประเทืองพราย ตีพิมพขายเกลื่อนกลาดดาษดา
ซื้อทิ้งไว้ศักฉบับสำหรับบ้าน พอลูกหลานอ่านมี่ที่เคหา
ไม่ภักยืมเขาให้ยากลำบากตา ฉันช่วยว่าเตือนสติจงตริตรอง
ไม่ใช่แกล้งแต่งคารมด้วยคมปาก มาถางถากทำให้ฤไทยหมอง
การที่ว่าเหนไม่งามตามทำนอง อย่าขัดข้องหมองหมางระคางทรวง
แม้นผู้ใดจะใคร่ซื้อหนังสือบ้าง เชิญไปห้างปากช่องคลองบางหลวง
มีกฎหมายสำหรับความตามกระทรวง ฉบับหลวงตีความตามเนื้อไทย
เชิญไปดูจะได้รู้หลายชนิด ฤๅจะจ้างข้างปิดใบปกใหม่
ไม่แพงมากเกินราคาระอาใจ เชิญท่านไปชมบ้างที่ห้างเอย ฯ

กลับไปหน้าหลัก
ก่อนหน้า