อัมสเตอร์ดัม

อัมสเตอร์ดัม (ดัตช์: Amsterdam ออกเสียง: ) เป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเติล จังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ ปัจจุบันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ มีประชากรในเขตตัวเมืองประมาณ 872,680 คน แต่ถ้านับรวมประชากรในเขตเมืองโดยรอบทั้งหมด จะมีประมาณ 1,380,872 ล้านคน (ข้อมูลปี ค.ศ.

2019)

อัมสเตอร์ดัม
นครและเทศบาล
อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม
ธงของอัมสเตอร์ดัม
ธง
ตราราชการของอัมสเตอร์ดัม
ตราอาร์ม
คำขวัญ: 
Heldhaftig, Vastberaden, Barmhartig
(กล้าหาญ, แน่วแน่, มีเมตตา)
ที่ตั้งกรุงอัมสเตอร์ดัมในประเทศเนเธอร์แลนด์
ที่ตั้งกรุงอัมสเตอร์ดัมในประเทศเนเธอร์แลนด์
พิกัด: 52°22′23″N 4°53′32″E / 52.37306°N 4.89222°E / 52.37306; 4.89222
ประเทศเนเธอร์แลนด์
จังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์
เขตCentrum (กลาง)
Noord (เหนือ)
West (ตะวันตก)
Nieuw-West (ตะวันตก-ใหม่)
Zuid (ใต้)
Oost (ตะวันออก)
Zuidoost (ใต้-ตะวันออก)
Westpoort (ประตูตะวันตก)
การปกครอง
 • นายกเทศมนตรีเฟมเกอ ฮัลเซอมา (GL)
พื้นที่
 • นครและเทศบาล219 ตร.กม. (85 ตร.ไมล์)
 • พื้นดิน166 ตร.กม. (64 ตร.ไมล์)
 • พื้นน้ำ53 ตร.กม. (20 ตร.ไมล์)
 • รวมปริมณฑล1,815 ตร.กม. (701 ตร.ไมล์)
ความสูง2 เมตร (7 ฟุต)
ประชากร
 (กุมภาพันธ์ 2560)
 • นครและเทศบาล851,573 คน
 • ความหนาแน่น3,506 คน/ตร.กม. (9,080 คน/ตร.ไมล์)
 • เขตเมือง1,351,587 คน
 • รวมปริมณฑล2,289,762 คน
 • Randstad7,891,564
เขตเวลาCET (UTC+01)
 • ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)CEST (UTC+02)
รหัสไปรษณีย์1011–1109
รหัสพื้นที่020
เว็บไซต์www.amsterdam.nl

ชื่อของอัมสเตอร์ดัมมาจากคำว่า อัมสเติลเรอดัมเมอ (Amstelredamme) หมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ริมเขื่อนของแม่น้ำอัมสเติล มีประวัติศาสตร์เริ่มต้นจากการเป็นหมู่บ้านชาวประมงในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก่อนจะกลายเป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน และการเดินเรือที่สำคัญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์ และขยายตัวออกไปอีกในศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่ระบบคลองที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ยังได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การยูเนสโก

ปัจจุบัน อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์การการค้าและการเงิน และเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของของเนเธอร์แลนด์ แต่ศูนย์กลางของหน่วยงานรัฐบาลนั้นอยู่ที่เฮก บริษัทยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม เช่น ฟิลิปส์ อักโซโนเบิล โตมโตม และไอเอ็นจี ส่วนบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็มีสำนักงานใหญ่สาขายุโรปอยู่ในอัมสเตอร์ดัมเช่นกัน เช่น อูเบอร์ เน็ตฟลิกซ์ และเทสลามอเตอร์ส

อัมสเตอร์ดัมเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมสคิปโฮล ท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมาเป็นอันดับ 3 ของยุโรป และที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ไรกส์มิวเซียม พิพิธภัณฑ์ฟันโคค พิพิธภัณฑ์สเตเดไลก์ และบ้านอันเนอ ฟรังค์ ทั้งยังเป็นบ้านของผู้มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งแร็มบรันต์ ฟินเซนต์ ฟัน โคค บารุค สปิโนซา และอันเนอ ฟรังค์ จึงมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกว่า 5 ล้านคนต่อปี

ประวัติศาสตร์

ยุคกลางและการปฏิวัติ

อัมสเตอร์ดัม 
โบสถ์เก่า (เอาเดอแกร็ก) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1306

เมื่อเทียบกับเมืองเก่าแก่ในเนเธอร์แลนด์อย่างไนเมเคิน รอตเทอร์ดาม และยูเทรกต์แล้ว อัมสเตอร์ดัมถือเป็นเมืองที่อายุน้อยกว่ามาก นักประวัติศาสตร์ระบุว่าพื้นที่รอบๆอัมสเตอร์ดัมเกิดขึ้นราวๆปลายคริสต์ศตวรรษ 10 จากการผันน้ำทะเลออก ก่อเป็นพื้นที่เกษตรกรรม จนเติบโตและยกระดับเป็นเมืองเมื่อราว ค.ศ. 1300 หรือ 1306 จากนั้น ในศตวรรษที่ 14 อัมสเตอร์ดัมเติบโตขึ้นมาจากความสำเร็จในค้าขายกับสันนิบาตฮันเซอ

ต่อมาในศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์ก่อการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน เนื่องจากระบบเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมและการไต่สวนทางศาสนาต่อต้านนิกายโปรเตสแตนท์อย่างรุนแรง การปฏิวัตินำไปสู่สงคราม 80 ปีกับสเปนแและการจัดตั้งสาธารณรัฐดัตช์ เป็นเอกราชต่อการปกครองของสเปน มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ทำให้ชาวยิวจากคาบสมุทรไอบีเรีย ชาวอูว์เกอโนจากฝรั่งเศส พ่อค้า จิตรกร และผู้ลี้ภัยศาสนาจากฟลานเดอร์สทางตอนใต้ของกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ อพยพเข้ามาอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม การย้ายถิ่นครั้งใหญ่นี้ทำให้อัมสเตอร์ดัมเติบโตขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าของยุโรป ทั้งยังเปิดกว้างรับแนวคิดภูมิปัญญาที่หลากหลาย มีเสรีภาพทางสื่ออย่างสูง

ศูนย์กลางของเนเธอร์แลนด์ในช่วงยุคทอง

อัมสเตอร์ดัม 
ชาวเมืองอัมสเตอร์ดัมเฉลิมฉลองการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย รับรองเอกราชของเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1648

ในช่วงศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงที่เรียกว่ายุคทองของเนเธอร์แลนด์ จากการรุ่งเรืองของการค้าขายและการขยายอิทธิพลใหญ่ของจักรวรรดิดัตช์ไปจนถึงอินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา และอินเดีย(ในปัจจุบัน) อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์กลางการระดมทุนของพ่อค้าผู้หวังจะทำกำไรจากบริษัทอินเดียตะวันออกและบริษัทอินเดียตะวันตกของเนเธอร์แลนด์ ผู้ผูกขาดการค้ากับชาวอาณานิคมในดินแดนโพ้นทะเล มีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกที่เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนเมื่อปี ค.ศ. 1602 และก่อตั้งธนาคารแห่งอัมสเตอร์ดัมเพื่อให้บริการเต็มรูปแบบแก่พ่อค้าชาวดัตช์ในปี ค.ศ. 1609 และเป็นแหล่งทุนสำรองของประเทศไปพร้อมๆกัน

การเสื่อมและยุคใหม่

ความรุ่งเรืองของอัมสเตอร์ดัมถึงคราวต้องสะดุดในศตวรรษที่ 18 และ 19 จากผลพวงของสงครามระหว่างสาธารณรัฐดัตช์กับอังกฤษและฝรั่งเศสหลายต่อหลายครั้ง จนมาถึงจุดตกต่ำที่สุดเมื่อเนเธอร์แลนด์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศสในสมัยของจักรพรรดินโปเลียน เมื่อฝรั่งเศสเสื่อมอำนาจลง ได้มีการสถาปนาสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ขึ้นในปี ค.ศ. 1815 อันเป็นจุดเปลี่ยนผันกลับอีกครั้ง

ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นจุดที่เป็นยุคทองยุคที่สองของอัมสเตอร์ดัมอีกครั้งเมื่อมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ สถานีรถไฟ และโรงคอนเสิร์ตขึ้นใหม่หลายแห่ง และในขณะเดียวกันก็เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมพร้อมๆกันทั่วประเทศ มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างอัมสเตอร์ดัมกับแม่น้ำไรน์และทะเลเหนือโดยตรง ทำให้การค้าของอัมสเตอร์ดัมกับต่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง

คริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21

ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เนเธอร์แลนด์มีนโยบายเป็นกลาง แม้อัมสเตอร์ดัมจะไม่ถูกโจมตีแต่ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารและเชื้อเพลิงจนเกิดการจลาจลทั่วเมือง มีการบุกปล้นร้านค้าและโกดังหลายแห่งและมีผู้เสียชีวิตหลายรายจากเหตุการณ์ครั้งนี้

อัมสเตอร์ดัม 
ย่านดัมสแควร์ ในกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม ช่วงต้นศตวรรษที่ 20

หลังเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี ค.ศ. 1916 มีการปรับผังเมืองโดยรวมเอาเมืองดูร์เกร์ดัม โฮลีสโลต ซุนเดร์โดร์ป สเคลลิงเวาเดอ ยอร์ดัน และเฟรเดริก เฮนดริกบูร์ตเข้ากับอัมสเตอร์ดัม

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมนีบุกยึดเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 และปกครองประเทศ กวาดต้อนชาวยิวเข้าไปใช้แรงงานที่ค่ายกักกันของนาซีจำนวนกว่า 100,000 คนโดยกว่า 60,000 คนในจำนวนนี้อาศัยอยู่ในอัมสเตอร์ดัม รวมถึง อันเนอ ฟรังค์ หญิงสาวชาวยิวผู้มีชื่อเสียงจากการบันทึกของเธอที่เขียนขึ้นก่อนจะโดนนาซีจับกุมตัวไปและเสียชีวิตที่ค่ายกักกันก่อนสงครามโลกสิ้นสุด หลังสงครามสงบ ระบบโทรคมนาคมยังใช้การไม่ได้ อาหารและเชื้อเพลิงยังขาดแคลน ชาวเมืองหลายคนต้องเดินทางออกสู่ต่างจังหวัดเพื่อหาอาหาร กล่าวกันว่ามีการนำสุนัข แมว หัวผักกาดหวาน หรือแม้แต่หัวดอกทิวลิปมาปรุงอาหารเพื่อความอยู่รอด ต้นไม้ในอัมสเตอร์ดัมถูกโค่นเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง

ย่านโอสโดร์ป สโลเตร์ฟาร์ต สโลเตร์เมร์ และเกอเซ็นเฟลด์ ถูกสร้างขึ้นแถบชานเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีสวนสาธารณะและพื้นที่เปิดแทรกอยู่ทั่วไป บ้านเรือนสมัยใหม่ก่อสร้างขึ้น สงครามทำให้เมืองได้รับความเสียหายหนัก สภาพสังคมอัมสเตอร์ดัมจึงเปลี่ยนใหม่ นักการเมืองและผู้มีอำนาจรื้อแผนเมืองขึ้นมาวางระบบใหม่ นำไปสู่การก่อสร้างอาคารสำนักงานที่ทันสมัยจำนวนมาก ตลอดจนถนนสายใหม่ รถไฟใต้ดินสายแรกที่เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1977 ตลอดจนมีแผนสร้างทางด่วนพิเศษเชื่อมใจกลางเมืองกับส่วนอื่นของเมือง ย่านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิวถูกรื้อถอนเพื่อสร้างชุมชนใหม่ ขยายการรื้อถอนออกไปเรื่อยๆตามการขยายตัวของเมืองจนบางครั้งนำมาซึ่งความไม่พอใจของชาวเมือง ออกมาประท้วงหลายครั้ง เป็นผลให้แผนการสร้างทางด่วนพิเศษต้องยุบเลิกไป การปรับโครงสร้างเมืองมีความรอบคอบมากขึ้นและค่อยเป็นค่อยไป พื้นที่ใจกลางเมืองโดยเฉพาะภายในเขตคลองทั้งสามชั้นได้รับการอนุรักษ์จนต่อมาได้ขึ้นทะเบียนกลายเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก

ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 อัมสเตอร์ดัมกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยมีมากถึง 17 ล้านคนต่อปี ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น มีการสร้างรถไฟใต้ดินส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดิน ขยับขยายเมืองออกสู่บริเวณชานเมืองตามแผนการสร้างอัมสเตอร์ดัมรูปแบบใหม่ให้เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2040

ภูมิศาสตร์

แผนภาพแสดงพื้นที่อัมสเตอร์ดัมและชานเมือง ค.ศ. 2014
แผนภาพแสดงใจกลางเมืองอัมสเตอร์ดัมและจุดท่องเที่ยวที่สำคัญข้อมูลเมื่อ เมษายน 2017

อัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ทางตะวันตกของเนเธอร์แลนด์ในจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ แม้จะเป็นเมืองหลวงของประเทศแต่เมืองหลวงของจังหวัดนี้คือฮาร์เลม แม่น้ำอัมสเติลเป็นแม่น้ำหนักที่เริ่มต้นที่ใจกลางเมือง เชื่อมต่อคลองต่างๆและไหลหลงสู่ทะเลสาบไอ อัมสเตอร์ดัมอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 2 เมตร พื้นที่โดยรอบค่อนข้างต่ำ มีป่าเทียมอัมสเตอร์ดัมเซอโบสทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง เชื่อมต่อกับทะเลเหนือผ่านทางคลองทะเลเหนือ

อัมสเตอร์ดัมเป็นมหานครที่มีการพัฒนาพื้นที่เมืองสูง มีพื้นที่ 219.4 ตารางกิโลเมตร มีชาวเมืองอาศัยอยู่ 4,457 คนต่อตารางกิโลเมตรและมีบ้าน 2,275 หลังต่อตารางกิโลเมตร มีพื้นที่สีเขียวคิดเป็นร้อยละ 12 ของแผ่นดินอัมสเตอร์ดัม

น้ำ

อัมสเตอร์ดัมมีคลองยาวรวมกันกว่า 100 กิโลเมตร ทำให้สามารถสัญจรได้โดยเรือ คลองหลักสามคลองของเมืองได้แก่ ปรินเซินคราชท์ เฮเรินคราชท์ และเกเซอร์สคราชท์ ไหลผ่านใจกลางของเมือง

อัมสเตอร์ดัมในยุคกลางถูกล้อมรอบด้วยคูเมืองที่เรียกว่า ซิงเกล นับเป็นคลองชั้นในสุดของเมือง ทำให้ใจกลางของเมืองมีลักษณะคล้ายเกือกม้า พื้นที่อัมสเตอร์ดัมมีลักษณะเป็นเกาะแก่งด้วยการตัดผ่านของคลอง นับรวมกันได้กว่า 90 เกาะ มีสะพานมากกว่า 1,200 แห่ง

ภูมิอากาศ

อัมสเตอร์ดัมมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร ได้รับอิทธิพลจากทะเลเหนือทางทิศตะวันตกค่อนข้างมาก ฤดูหนาวมีอากาศเย็นและฤดูร้อยมีอากาศอบอุ่น อุณหภูมิแปรเปลี่ยนตลอดทั้งปี บางครั้งมีหิมะในฤดูหนาวและมีอากาศร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 838 มิลลิเมตรต่อปี มักเป็นฝนปรอยๆ ช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ตุลาคมจนถึงมีนาคมท้องฟ้ามักปกคลุมด้วยเมฆและหมอก

ประชากร

การเติบโตของจำนวนประชากร

เมื่อปี ค.ศ. 1300 อัมสเตอร์ดัมมีประชากรเพียง 1,000 คน ได้จำนวนได้พุ่งสูงขึ้นมากในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 จากการค้าขายธัญพืชกับสันนิบาตฮันเซอ แต่ยังเล็กกว่าเมืองใหญ่ในฟลานเดอร์สและบราบันต์ ที่อยู่ในกลุ่มประเทศต่ำเช่นกัน แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของสเปนและการเสียแอนต์เวิร์ปให้กับสเปนในปี ค.ศ. 1585 ผู้คนหลั่งไหลมาอยู่ในอัมสเตอร์ดัมทั้งมาจากสเปน โปรตุเกส ยุโรปตะวันออก เยอรมนี และสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะชาวยิว จำนวนประชากรจากปี ค.ศ. 1585 (ราว 41,000 คน) เพิ่มเป็นเท่าตัวในปี ค.ศ. 1610 (ราว 82,000 คน) จนเมื่อสาธารณรัฐได้เอกราช ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คนราว ค.ศ. 1660 จนมาคงตัวที่ตัวเลข 240,000 คนตลอดช่วงศตวรรษที่ 18

ในปี ค.ศ. 1750 อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรปรองจากลอนดอน ปารีส และเนเปิลส์ นับเป็นการขยายตัวของเมืองที่น่าสนใจเพราะอัมสเตอร์ดัมไม่ได้เป็นศูนย์กลางของรัฐบาลและอาณาจักรของเนเธอร์แลนด์ก็มีขนาดเล็กกว่าของอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือจักรวรรดิออตโตมันมาก

จำนวนประชากรเริ่มหดตัวในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ลงมาเหลือ 200,000 คนในปี ค.ศ. 1820 ก่อนที่จะกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรของอัมสเตอร์ดัมแตะ 872,000 คนเมื่อปี ค.ศ. 1959 ก่อนจะลดลงมาเล็กน้อยหลังจากที่รัฐบาลสนับสนุนการขยายตัวของเมืองในบริเวณชานเมืองและเมืองรอบข้าง ทำให้ชาวอัมสเตอร์ดัมย้ายออกไปอยู่ปืร์เมอเร็นด์และอัลเมเรอเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1985 อัมสเตอร์ดัมเหลือประชากร 675,570 คน ก่อนจะมีการปรับโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมืองเติบโตขึ้นและเกิดการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยในอัมสเตอร์ดัมอีกระลอก ปัจจุบัน มีผู้อพยพต่างชาติเข้ามาอยู่มากขึ้น จนมีประชากรมากกว่า 872,680 คน ในปี ค.ศ. 2019

การอพยพย้ายถิ่น

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ผู้อพยพย้ายถิ่นมาอยู่อัมสเตอร์ดัมส่วนใหญ่คือชาวอูว์เกอโน ชาวฟลานเดอร์ส ชาวยิวเซฟาร์ดี และชาวแคว้นเว็สท์ฟาเลิน สามกลุ่มแรกเป็นผู้อพยพหนีภัยศาสนา ส่วนชาวเว็สต์ฟาเลินนั้นอพยพเพื่อการค้าขายเป็นหลัก อัมสเตอร์ดัมมีผู้อพยพย้ายเข้ามาอยู่เรื่อยมาในศตวรรษที่ 18 และ 19 ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะมีการกวาดต้อนชาวยิวไปใช้แรงงานและสังหารหมู่ที่ค่ายกักกันโดยนาซีเยอรมนี คิดเป็นราวๆร้อยละ 10 ของประชากรทั้งเมือง

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ครั้งแรกเมื่อหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ประกาศเอกราชกลายเป็นประเทศอินโดนีเซียราวๆทศวรรษที่ 1940 และ 1940 จากนั้นในทศวรรษที่ 1960 มีแรงงานอพยพจากตุรกี โมร็อกโก อิตาลี และสเปนย้ายเข้ามาหางานทำในอัมสเตอร์ดัม ต่อด้วยการอพยพหลังการประกาศเอกราชของประเทศซูรินามที่ผู้อพยพย้ายเข้ามาอาศัยในแถบไบล์เมอร์

นอกจากนี้ยังผู้ลี้ภัยและผู้หลบหนีเข้าเมืองจากยุโรป อเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ชาวอัมสเตอร์ดัมที่อยู่มาก่อนเริ่มอพยพไปยังเมืองใหม่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้ย้ายมาอยู่อย่างปืร์เมอเร็นด์และอัลเมเรอในช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง 1980 กลุ่มคนทำงานและศิลปินจึงย้ายเข้าไปอยู่ยังย่านเดอไปป์และยอร์ดันที่เป็นแหล่งที่อยู่เก่าของกลุ่มผู้ย้ายออก ผู้อพยพที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกมักอาศัยอยู่ตามอาคารเคหะที่รัฐบาลจัดหาให้ซึ่งอยู่ที่ย่านตะวันตกและย่านไบล์เมอร์ ปัจจุบันชาวอัมสเตอร์ดัมที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อสายอื่นๆที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกมีมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ในขณะเดียวกัน เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มีพ่อแม่เป็นชาวดัตช์ดั้งเดิมมีเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ผู้มีเชื้อสายต่างชาติส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในย่านนิวเว็สท์ เซบืร์ค ไบล์เมอร์ และบางส่วนของอัมสเตอร์ดัมโนร์ด

ปัจจุบัน ชาวเมืองอัมสเตอร์ดัมมาจาก 180 ประเทศ เป็นหนึ่งในเมืองที่มีสัญชาติของประชากรหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ทิวทัศน์และสถาปัตยกรรม

อัมสเตอร์ดัม 
ทิวทัศน์ของใจกลางเมืองเมื่อมองจากอาคารโอสเตอร์โดกสกาเดอไปทางตะวันตกเฉียงใต้

ลักษณะของอัมสเตอร์ดัมเป็นเหมือนเมืองที่กระจายตัวออกเป็นพัดโบราณโดยมีจุดกึ่งกลางอยู่ที่สถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมเซ็นทราลและถนนดัมรัก บริเวณเมืองเก่าคือย่านที่เรียกว่า เดอวัลเลิน (หมายถึง ท่าเรือ) โดยอยู่ทางตะวันออกของถนนดัมรักและมีย่านเรดไลท์ซ่อนอยู่ ทางตอนใต้ของเดอวัลเลินเคยเป็นชุมชนของชาวยิวที่เรียกว่า วาเตอร์โลเพลน

อัมสเตอร์ดัมเมืองเก่าถูกล้อมรอบด้วยคลองสามชั้น ถัดออกไปเป็นย่านยอร์ดันและเดอไปป์ที่เคยเป็นย่านกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ทางใต้มีมิวเซียมเพลนที่มีพิพิธภัณฑ์สำคัญตั้งเรียงรายและโฟนเดิลปาร์กที่กว้างใหญ่ ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติกับโยสต์ ฟันเดนโฟนเดิล พื้นที่หลายเขตของอัมสเตอร์ดัมเคยเป็นผืนน้ำมาก่อนและถูกผันน้ำออกเพื่อสร้างเป็นผืนดินการเกษตร สังเกตได้จากการมีคำว่า "เมร์" (meer) ต่อท้ายชื่อ ซึ่งหมายถึง ทะเลสาบ นั่นเอง

คลอง

อัมสเตอร์ดัม 
เฮเรินคราชท์
อัมสเตอร์ดัม 
ปรินเซินคราชท์

ระบบคลองในอัมสเตอร์ดัมเกิดจากการวางผังเมืองที่มีแบบแผนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 พื้นที่ภายในคูคลองทั้งสามชั้นเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวเมือง คลองทั้งสามได้แก่ เฮเรินคราชท์ (คลองของลอร์ดผู้ปกครองอัมสเตอร์ดัม) เกเซอร์สคราชท์ (คลองของจักรพรรดิ) และปรินเซินคราชท์ (คลองของเจ้าชาย) นอกจากนี้ยังมีคลองชั้นที่สี่ที่เป็นเหมือนการเรียกรวมๆคลองรอบนอกว่า ซิงเกลคราชท์ (แต่ไม่ใช่คลองซิงเกลที่เป็นคลองดั้งเดิมที่อยู่ใจกลางเมือง)

คลองทำหน้าที่เป็นด่านปราการ ระบบจัดการน้ำ และเส้นทางขนส่งของชาวเมือง มีการสร้างคันดินและเขื่อนดินบริเวณจุดสำคัญของเมืองพร้อมด้วยประตู เริ่มการขุดคลองเมื่อปี ค.ศ. 1613 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1656 และมีการสร้างอาคารที่อยู่อาศัยเรื่อยมา แต่เดิมมีการวางแผนให้ขุดคลองทางตะวันออกเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมกับแม่น้ำอัมสเติลและอ่าวไอแต่ได้ล้มเลิกแผนไป อย่างไรก็ตาม ในช่งปลายปีที่ผ่านมามีการถมคลองและก่อสร้างขึ้นเป็นถนนและจัตุรัสต่างๆ เช่นที่นิวเวอไซด์สโฟร์บูร์กวัล และ สเปา

การขยายเมือง

หลังจากมีการพัฒนาระบบคลองในศตวรรษที่ 17 การพัฒนาเมืองของอัมสเตอร์ดัมไม่เคยเกินรัศมีของของคลองเป็นเวลาเกือบสองศตวรรษ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซามูเอล ซาร์ปาตี นักวางผังเมืองได้วางผังของอัมสเตอร์ดัมใหม่โดยดูแบบของปารีสและลอนดอนเป็นหลัก ผังเมืองใหม่ส่งเสริมให้มีการสร้างบ้านเรือน อาคาร และถนนนอกอาณาเขตคลองสามชั้นของอัมสเตอร์ดัมเพื่อพัฒนาสุขอนามัยของชาวเมือง แม้แผนจะไม่ได้ทำให้เมืองเติบโตเท่าไหร่นักแต่ได้มีการสร้างอาคารสาธารณะขนาดใหญ่บริเวณรอบนอก เช่นอาคารปาเลสโฟร์โฟล์กสไฟลท์ (Paleis voor Volksvlijt) อันเป็นหอแสดงสินค้าขนาดใหญ่ที่ถูกไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1929

ต่อมา อัมสเตอร์ดัมได้ว่าจ้าง ยาโคบุส ฟันนิฟตริก และยัน กาล์ฟฟ์ ออกแบบบริเวณพื้นที่วงแหวนรอบนอกรอบอัมสเตอร์ดัม พื้นที่เหล่านี้กลายมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในเวลาต่อมา

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการสร้างเมืองใหม่ทางตะวันตก ทางตะวันออกเฉียงใต้ และทางเหนือของอัมสเตอร์ดัมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ให้คนมีบ้านในงบประมาณที่เข้าถึงได้ ย่านที่อยู่อาศัยเหล่านี้มักเป็นอาคารชุด มีพื้นที่สีเขียวอยู่ตรงกลางชุมชน เชื่อมต่อด้วยถนนกว้าง สัญจรด้วยรถยนต์สะดวก

สถาปัตยกรรม

อัมสเตอร์ดัม 
อาคารสเคปฟาร์ตเฮาส์ สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในรูปแบบโรงเรียนอัมสเตอร์ดัม ออกแบบโดยโยฮัน ฟันเดร์เมย์

สถาปัตยกรรมในอัมสเตอร์ดัมมีประวัติศาสตร์ยาวนาน อาคารที่เก่าแก่ที่สุดคือเอาเดอแกร็ก (โบสถ์เก่า) ใจกลางย่านเดอวัลเลิน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1306 ส่วนอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดคือ เฮ็ทเฮาเติเฮยส์ (Het Houten Huys) ใกลักับย่านเบไคน์โฮฟ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1425 และเป็นหนึ่งในสองอาคารไม้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันและมีสถาปัตยกรรมแบบกอทิก

ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีการรื้อถอนอาคารไม้และสร้างอาคารอิฐแทนที่ มีการก่อสร้างตึกในรูปสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีจุดเด่นอยู่ที่หน้าจั่วของหลังคาที่เป็นแบบขั้นบันได สถาปนิกที่โด่งดังในยุคนี้คือเฮนดริก เดอเกย์เซอร์ ผู้ออกแบบเว็สเตอร์แกร็ก (โบสถ์ตะวันตก) จากนั้นในศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมบาโรกได้รับความนิยมทั่วยุโรป ประจวบเหมาะกับช่วงเวลายุคทองของเนเธอร์แลนด์ที่ชาวดัตช์มั่งคั่งไปด้วยการค้า สถาปัตยกรรมที่เน้นความโอ่งโถงหรูหรานี้จึงได้รับเสียงตอบรับดีจากชาวเมืองอัมสเตอร์ดัม สถาปนิกที่โดดเด่นในยุคนี้ได้แก ยาค็อบ ฟันคัมเพิน ฟิลิปส์ ฟิงโบนส์ และดาเนียล สตัลแปร์ต นอกจากฟิลิปส์ ฟิงโบนส์จะออกแบบบ้านให้กับพ่อค้าผู้มั่งคั่งแล้วยังเป็นผู้ออกแบบอาคารสำคัญในอัมสเตอร์ดัมอีกมากมาย เช่น พระราชวังหลวงที่ดัมสแควร์ใจกลางเมือง

ต่อมาในศตวรรษที่ 18 สถาปัตยกรรมของเนเธอร์แลนด์ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสค่อนข้างมาก ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 หลังเนเธอร์แลนด์ได้รับเอกราชต่อการปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมก็เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ (นีโอ) อาคารโกทิกกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในรูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก ก่อนที่ศิลปะแบบอาร์นูโว ที่เน้นรูปแบบธรรมชาติจะได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงเวลาที่อัมสเตอร์ดัมขยายเมืองอย่างรวดเร็ว อาคารสมัยใหม่จึงมีสถาปัตยกรรมแบบนี้ เช่น บ้านเรือนแถบมิวเซียมเพลน

อัมสเตอร์ดัม 
ห้องสมุดสาธารณะอัมสเตอร์ดัม หนึ่งในตัวอย่างของสถาปัตยกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 21

จากนั้น สถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโคที่เน้นการผสนผสานศิลปะหลากหลายรูปแบบ มีความเป็นสมัยใหม่และมีประโยชน์ทางการใช้สอย เข้ามามีบทบาทในการสร้างอาคารสมัยใหม่ในอัมสเตอร์ดัม มีการพัฒนารูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เรียกว่า โรงเรียนอัมสเตอร์ดัม (Amsterdamse School) ซึ่งเน้นโครงสร้างอิฐ มีการตกแต่งที่เด่นชัด และบางครั้งมีหน้าต่างและประตูรูปทรงแปลก

โดยรวมแล้ว อาคารสมัยเก่ามักกระจุกรวมอยู่ที่บริเวณใจกลางเมือง ส่วนเมืองใหม่ที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 นั้นจะกระจายอยู่รอบนอก

สวนสาธารณะ

อัมสเตอร์ดัมมีสวนสาธารณะ พื้นที่สีเขียว และจัตุรัสอยู่ทั่วเมือง โฟนเดิลปาร์กเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโดยตั้งอยู่ทางใต้ ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติกับโยสต์ ฟันเดนโฟนเดิล กวีผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 17 มีผู้เยี่ยมชมกว่า 10 ล้านคนต่อปี ภายในสวนยังมีโรงละครกลางแจ้ง นอกจากนี้ ทางใต้ของอัมสเตอร์ดัมยังมีสวนเบียทริกซ์ปาร์ก ที่ตั้งชื่อเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ มีการปลูกป่าอัมสเตอร์ดัมเซอโบสทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง เป็นพื้นที่นันทนาการที่ใหญ่ที่สุดของอัมสเตอร์ดัม มีขนาดราวๆ 3 เท่าของเซ็นทรัลปาร์กในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

เศรษฐกิจ

อัมสเตอร์ดัม 
ตลาดหลักทรัพย์อัมสเตอร์ดัม ตลาดหลักทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองหลวงทางการเงินและธุรกิจของเนเธอร์แลนด์ ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองธุรกิจระหว่างประเทศอันดับที่ 5 ของยุโรปรองจากลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต และบาร์เซโลนา บริษัทขนาดใหญ่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อัมสเตอร์ดัม เช่น อักโซโนเบิล ไฮเนอเกิน ไอเอ็นจี อาเบเอ็นอัมโร โตมโตม เดลตาลอยด์ บุคกิงดอตคอม และฟิลิปส์ บริษัทข้ามชาติหลายแห่งเลือกที่จะตั้งสำนักงานอยู่รอบนอกอัมสเตอร์ดัมเพราะเมืองรอบข้างอนุญาตให้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแบบเต็มรูปแบบ ส่วนอัมสเตอร์ดัมนั้นอนุญาตเพียงการให้เช่าที่ดินเท่านั้น

ย่านเซาดัสทางตอนใต้ของอัมสเตอร์ดัมเป็นแหล่งศูนย์กลางด้านการเงินแห่งใหม่ มีบริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจหลายแห่งตั้งสำนักงานที่นี่ เช่น บอสตันคอนซัลติงกรุ๊ปและแอกเซนเจอร์ และยังมีย่านการเงินขนาดเล็กกว่าตั้งอยู่ในย่านใกล้สถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมสโลเทอร์ไดก์ ย่านใกล้สนามกีฬาโยฮัน ไกรฟฟ์อาเรนา และย่านใกล้สถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมอัมสเติลที่มีอาคารแร็มบรันด์ สำนักงานใหญ่ของฟิลิปส์ตั้งอยู่

ท่าเรือและท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัม

ท่าเรืออัมสเตอร์ดัมเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรปและอันดับ 38 ของโลกเมื่อวัดตามจำนวนบรรทุกในเมตริกตัน มีการขนส่งสินค้า 97.4 ล้านตันในปี ค.ศ. 2014 มีเรือสำราญเข้าจอดกว่า 150 ลำต่อปี

ส่วนท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมสคิปโฮลเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ทีสุดของประเทศ เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเนเธอร์แลนด์

การท่องเที่ยว

อัมสเตอร์ดัม 
ย่านเดอวัลเลิน อันเก่าแก่ของอัมสเตอร์ดม

อัมสเตอร์ดัมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป มีนักท่องเที่ยวกว่า 4.63 ล้านคนต่อปี (โดยไม่นับรวมนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมเพียงรายวัน) จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โรงแรม 2 ใน 3 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง โรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีจำนวนเตียงราวร้อยละ 42 ของจำนวนเตียงทั้งหมด อัตราการเข้าพักอยู่ที่ร้อยละ 85 ในปี ค.ศ. 2017 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากยุโรป (ร้อยละ 74) และสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 14)

ย่านเดอวัลเลินเป็นย่านที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว นอกจากจะเป็นเมืองเก่าแล้วยังเป็นย่านที่มีแหล่งค้าประเวณีที่ถูกกฎหมายในเนเธอร์แลนด์อันรู้จักในชื่อเรดไลท์

อัมสเตอร์ดัมมีแหล่งจับจ่ายซื้อสินค้าปลีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถนนกัลเฟอร์สตราต ที่เป็นย่านการค้ามาตั้งแต่ยุคกลาง ถนนเนเคินสตราตเจอส์ (แปลว่า เก้าซอย) ถนนฮาร์เลมเมร์ไดก์ และถนนฮาร์เลมเมร์สตราต นอกจากนี้ยังมีตลาดกลางแจ้งอีกหลายแห่งที่จะคึกคักเป็นพิเศษในวันหยุดสุดสัปดาห์

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Tags:

อัมสเตอร์ดัม ประวัติศาสตร์อัมสเตอร์ดัม ภูมิศาสตร์อัมสเตอร์ดัม ประชากรอัมสเตอร์ดัม ทิวทัศน์และสถาปัตยกรรมอัมสเตอร์ดัม เศรษฐกิจอัมสเตอร์ดัม อ้างอิงอัมสเตอร์ดัม แหล่งข้อมูลอื่นอัมสเตอร์ดัมจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ประเทศเนเธอร์แลนด์ภาษาดัตช์เมืองหลวง

🔥 Trending searches on Wiki ไทย:

เซอา โอซาซูนาอวตาร (ภาพยนตร์)พระเจ้าบุเรงนองแมวชวลิต ยงใจยุทธพระพรหมวชิรโมลี (ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ)นามสกุลพระราชทานรายชื่อตอนในโปเกมอนลักษณ์ ราชสีห์จังหวัดพัทลุงท่าอากาศยานดอนเมืองคณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์จังหวัดเพชรบูรณ์นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์รายชื่อตัวละครในยอดนักสืบจิ๋วโคนันการอับปางของเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติกองทัพเรือไทยดราก้อนบอล ซูเปอร์กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)กังฟูแพนด้า (แฟรนไชส์)ยศทหารและตำรวจไทยชลน่าน ศรีแก้วสโมสรฟุตบอลบาเลนเซียคัง แดเนียลเมียวดีโทกูงาวะ อิเอยาซุบยอน อู-ซ็อกหม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพรลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยโป๊กเกอร์รายชื่อละครโทรทัศน์ทางช่องวัน 31สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถนนพระรามที่ 2ลิขิตกามเทพไวยาวัจกรโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์อิงฟ้า วราหะเนย์มาร์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024อินสตาแกรมชาวมอญหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคลยูช็อนจังหวัดปทุมธานีนิชคุณ ขจรบริรักษ์เมลดา สุศรีจังหวัดสระแก้วสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีอีเอฟแอลแชมเปียนชิปเงินตราทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีรายชื่อละครโทรทัศน์ทางช่อง 7HDพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอินนาลิลลาฮิวะอินนาอิลัยฮิรอญิอูนอินทิรา โมราเลสรายชื่อนายกรัฐมนตรีไทยพิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตรจารุณี สุขสวัสดิ์อัจฉริยะหมอ 2 แผ่นดินถนนสีลมวชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์พาทิศ พิสิฐกุลลิโอเนล เมสซิวรนุช ภิรมย์ภักดีเดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรสกีบีดีทอยเล็ตบุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2567พีระกฤตย์ พชรบุณยเกียรติ🡆 More