องคชาตของมนุษย์เป็นอวัยวะสอดใส่ระหว่างการสืบพันธุ์ภายนอก และทำหน้าที่เป็นท่อปัสสาวะในมนุษย์เพศชาย ส่วนหลัก ประกอบด้วย ราก (Root หรือ Radix) ลำตัว (Corpus) และ เนื้อเยื่อบุผิวองคชาต ประกอบด้วย หนังบริเวณลำ (shaft) และหนังหุ้มปลายซึ่งห่อหุ้มหัวองคชาต (Glans) ลำตัวขององคชาตเกิดจากเนื้อเยื่อในลักษณะเป็นแท่งสามแท่ง ได้แก่ กล้ามเนื้อคอร์ปุส คาเวอร์โนซุม (Corpus cavernosum) สองมัดที่ด้านบน และกล้ามเนื้อคอร์ปุส สปอนจิโอซุม (Corpus spongiosum) ซึ่งอยู่ระหว่างกลางของกล้ามเนื้อส่วนแรกประกอบกัน ท่อปัสสาวะของมนุษย์เพศชายจะผ่านกลางต่อมลูกหมาก ที่ซึ่งท่อฉีดอสุจิเชื่อมเข้ากับท่อปัสสาวะ และจากนั้นจะผ่านไปที่องคชาต โดยท่อปัสสาวะจะทอดตัวไปในกล้ามเนื้อคอร์ปุส สปอนจิโอซุม และเปิดออกบริเวณรูปัสสาวะ (Meatus) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณปลายของหัวองคชาต โดยทำหน้าที่เป็นทางผ่านของทั้งปัสสาวะและการหลั่งของน้ำอสุจิ (ดูเพิ่มเติมที่ ระบบสืบพันธุ์เพศชาย)
องคชาตของมนุษย์ | |
---|---|
องคชาตขณะอ่อนตัว โดยส่วนของขนหัวหน่าวถูกนำออกไปเพื่อแสดงรายละเอียดทางกายวิภาคศาสตร์ | |
รายละเอียด | |
คัพภกรรม | ปุ่มอวัยวะสืบพันธุ์, ส่วนทบอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ |
หลอดเลือดแดง | หลอดเลือดแดงด้านบนขององคชาต, หลอดเลือดแดงลึกขององคชาต, หลอดเลือดแดงของกระเปาะองคชาต |
หลอดเลือดดำ | หลอดเลือดดำด้านบนขององคชาต |
ประสาท | เส้นประสาทด้านบนขององคชาต |
น้ำเหลือง | ต่อมน้ำเหลืองผิวขาหนีบ |
ตัวระบุ | |
ภาษาละติน | penis, พหุพจน์ penes |
MeSH | D010413 |
TA98 | A09.4.01.001 |
TA2 | 3662 |
FMA | 9707 |
อภิธานศัพท์กายวิภาคศาสตร์ |
การพัฒนาขององคชาตโดยส่วนใหญ่จะมาจากเนื้อเยื่อตัวอ่อนส่วนเดียวกับที่เจริญไปเป็นคริตอริสในเพศหญิง ขณะที่ผิวหนังโดยรอบขององคชาตและท่อปัสสาวะ เจริญมาจากเนื้อเยื่อตัวอ่อนเดียวกันกับที่เจริญไปเป็นแคมเล็กในเพศหญิง การแข็งตัว คือ การขยายตัวอย่างแข็งทื่อและการปรับทิศทางในแนวตั้งฉากขององคชาต ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะมีอารมณ์ทางเพศ แต่ก็ยังสามารถเกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศได้เช่นกัน และยังมีการแข็งตัวขณะที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศตามธรรมชาติ ซึ่งมักเกิดขึ้นช่วงวัยรุ่นและในขณะนอนหลับด้วย ในสถานะอ่อนตัว (flaccid) องคชาตจะมีขนาดเล็กกว่า ไร้ซึ่งแรงดัน และ หัวจะถูกปกคลุมด้วยหนังหุ้มปลายองคชาต ในสถานะแข็งตัวเต็มที่ ลำจะแข็งทื่อและหัวจะมีลักษณะคั่งคัดแต่ไม่ถึงกับแข็งทื่อ องคชาตที่แข็งตัวอาจตั้งในแนวตรงไปด้านหน้าหรือโค้งก็ได้ และอาจมีการตั้งไปมุมด้านบน มุมด้านล่าง หรือ ตรงไปด้านหน้าก็ได้ จากข้อมูลปี พ.ศ. 2558 ขนาดองคชาตของมนุษย์โดยเฉลี่ยขณะแข็งตัวมีความยาว 13.12 เซนติเมตร (5.17 นิ้ว) และมีความยาวเส้นรอบวง 11.66 เซนติเมตร (4.59 นิ้ว) ซึ่งทั้งอายุและขนาดขณะอ่อนตัวขององคชาตไม่สามารถใช้คาดการณ์ความยาวของอวัยวะเพศได้อย่างแม่นยำ
รูปแบบการเปลี่ยนแปลงหัวองคชาตที่พบได้บ่อยที่สุดคือ การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ และการเจาะ สำหรับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เป็นการนำส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของหนังหุ้มปลายออกไปด้วยเหตุผลทางวัฒนธรรม ศาสนา และทางการแพทย์ ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก ขณะที่ยังคงมีการถกเถียงกันในเรื่องของการขลิบหนังหุ้มปลายอยู่ในปัจจุบัน
ความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ในการการซ่อมโครงสร้างบางส่วนหรือทั้งหมดขององคชาตมนุษย์ยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการ ผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากวิทยาศาสตร์สาขานี้ ได้แก่ ผู้ป่วยบกพร่องแต่กำเนิด ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยซึ่งบาดเจ็บอันต้องมีการตัดองคชาตออกบางส่วนหรือทั้งหมด และ ผู้ชายที่ต้องการแปลงลักษณะองคชาตโดยสมัครใจ
องคชาตของมนุษย์เกิดเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเป็นแท่งจำนวนสามแท่งประกอบเข้าด้วยกัน ได้แก่ คอร์ปุส คาเวอร์โนซุมจำนวนสองแท่งวางตัวอยู่ติดกันในด้านบน และ คอร์ปุส สปอนจิโอซุมจำนวนหนึ่งแท่งวางตัวอยู่ระหว่างคอร์ปุส คาเวอร์โนซุมทั้งสองแท่งในด้านท้อง คอร์ปุส คาเวอร์โนซุมนั้นเป็นส่วนหลักที่ก่อตัวเป็นองคชาต และมีหลอดเลือดซึ่งจะถูกเติมด้วยเลือดเพื่อช่วยสร้างการแข็งตัว โดยมีขาองคชาตเป็นส่วนปลายของคอร์ปุส คาเวอร์โนซุมทั้งสอง ส่วนคอร์ปุส สปอนจิโอซุมเป็นเนื้อเยื่อพองยุบได้ที่ห่อหุ้มท่อปัสสาวะ บริเวณปลายส่วนต้นเป็นกระเปาะองคชาตและปลายส่วนปลายเป็นหัวองคชาต
การขยายใหญ่ขึ้นและมีลักษณะคล้ายกระเปาะของปลายด้านนอกของคอร์ปุส สปอนจิโอซุมนั้น ทำให้เกิดเป็นหัวองคชาตขึ้นพร้อมกับโพรงเล็กสองประเภทเฉพาะขึ้น ซึ่งทำหน้าที่รองรับหนังหุ้มปลายองคชาต อันเป็นผิวหนังที่มีลักษณะหลวม ในวัยผู้ใหญ่สามารถร่นกลับไปเพื่อแสดงหัวองคชาตได้ พื้นที่ด้านใต้ขององคชาตบริเวณที่หนังหุ้มปลายองคชาตยึดเกาะอยู่ เรียกว่า เส้นสองสลึง ฐานรูปกลมของหัวองคชาต เรียกว่า โคโรนา และ แนวประสานฝีเย็บ คือ เส้นที่เห็นได้อย่างชัดเจนไปตามด้านล่างขององคชาต
ท่อปัสสาวะ เป็นส่วนสุดท้ายของระบบขับถ่ายปัสสาวะ จะผ่านเข้าไปในคอร์ปุส สปอนจิโอซุม และเปิดออกในบริเวณส่วนที่เรียกว่า ช่องปัสสาวะ ซึ่งวางตัวอยู่ปลายสุดของหัวองคชาต ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของทั้งปัสสาวะและน้ำอสุจิ ตัวอสุจิถูกสร้างขึ้นในอัณฑะและถูกเก็บไว้ในเอพิดิไดมิสที่อยู่ติดกัน ในระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ ตัวอสุจิจะถูกขับออกไปสู่หลอดนำอสุจิ ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดสองหลอดที่ผ่านบริเวณด้านบนและด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะ ถุงน้ำอสุจิจะเพิ่มของเหลวเข้าสู่น้ำอสุจิ และหลอดนำอสุจิจะรวมเข้ากับถุงน้ำอสุจิเป็นท่อฉีดอสุจิ ซึ่งจะเชื่อมเข้ากับท่อปัสสาวะที่อยู่ภายในต่อมลูกหมาก โดยต่อมลูกหมากและต่อมบัลโบยูรีทรัลจะเติมสิ่งคัดหลั่งเพิ่มเติมเข้าสู่น้ำอสุจิ และน้ำอสุจิจะถูกขับออกผ่านทางองคชาต
แนวประสานเป็นส่วนที่มองเห็นได้เป็นแนวกลางขององคชาตซึ่งแบ่งองคชาตออกเป็นข้างซ้ายขวา โดยพบได้ทางด้านล่างหรือด้านท้องขององคชาต แนวนี้จะทอดตัวจากช่องปัสสาวะผ่านถุงอัณฑะไปยังฝีเย็บ (พื้นที่ระหว่างถุงอัณฑะและทวารหนัก)
องคชาตของมนุษย์ต่างจากองคชาตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นส่วนมาก ตรงที่ไม่มี Baculum หรือกระดูกอวัยวะเพศ โดยมีการทดแทนด้วยการกักเลือดให้คั่งอยู่เพื่อให้เกิดภาวะแข็งตัว เอ็นส่วนปลายที่ค้ำยันหัวองคชาตนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างของกระดูกองคชาต โครงสร้างดังกล่าวเรียกว่า "os analog" ซึ่งคำนี้ชื่อเกิงหรงได้บัญญัติไว้ในสารานุกรมการสืบพันธุ์ โดยเป็นส่วนที่เหลือมาจาก baculum อันเกิดจากการวิวัฒนาการด้านการเปลี่ยนแปลงการสืบพันธุ์
องคชาตมนุษย์ไม่สามารถหดกลับลงไปในบริเวณขาหนีบได้ และใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยในอาณาจักรสัตว์ตามสัดส่วนมวลกาย องคชาตของมนุษย์สามารถเปลี่ยนลักษณะได้ ตั้งแต่อ่อนนุ่มเหมือนผ้าฝ้ายไปจนถึงแข็งเหมือนกระดูกที่แข็งทื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการไหลของเลือดแดงที่ต่างกันไประหว่าง 2–3 ถึง 60–80 มล./นาที ซึ่งแสดงถึงสภาวะที่เหมาะสมที่สุดตามกฎของปาสกาลในร่างกายมนุษย์ทั้งหมด ทำให้เป็นโครงสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การวัดขนาดองคชาตนั้นแปรปรวน ทั้งนี้การศึกษาที่อาศัยการวัดด้วยตนเอง จะมีการรายงานขนาดองคชาตโดยเฉลี่ยยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการวัดที่ถูกกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ในปี พ.ศ. 2558 การปริทัศน์เป็นระบบของผู้ชาย 15,521 คน (และเป็นงานวิจัยที่ดีที่สุดในหัวข้อ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างได้รับการวัดโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ) ได้ข้อสรุปว่า ความยาวโดยเฉลี่ยขององคชาตมนุษย์ขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.12 เซนติเมตร (5.17 นิ้ว) ขณะที่ความยาวเส้นรอบวงโดยเฉลี่ยขององคชาตมนุษย์ขณะแข็งตัวอยู่ที่ 11.66 เซนติเมตร (4.59 นิ้ว)
ท่ามกลางบรรดาไพรเมต องคชาตของมนุษย์นั้นใหญ่ที่สุดในด้านเส้นรอบวง แต่สามารถเทียบกันได้กับองคชาตของชิมแปนซีและองคชาตของไพรเมตชนิดอื่นในด้านความยาว ขนาดขององคชาตได้รับผลกระทบจากพันธุกรรม แต่ยังอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยแวดล้อมด้วย เช่น การใช้ยาด้านภาวะเจริญพันธุ์ และการสัมผัสกับสารเคมีหรือมลพิษ ขณะที่เอกสารทางการระบุว่า องคชาตของมนุษย์ที่ยาวที่สุดนั้นถูกพบโดยนายแพทย์โรเบิร์ต แลทู ดิกคินสัน มีความยาว 34.3 เซนติเมตร (13.5 นิ้ว) และมีความยาวเส้นรอบวง 15.9 เซนติเมตร (6.26 นิ้ว)
ในการพัฒนาของทารกในครรภ์ ปุ่มอวัยวะสืบพันธุ์จะเจริญขึ้นไปเป็นส่วนหัวขององคชาตในเพศชาย และเป็นคริตอริสในเพศหญิง ซึ่งถือว่าเป็นอวัยวะที่มีมีต้นกำเนิดเดียวกัน ส่วนทบอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ (urogenital fold) จะเจริญขึ้นไปเป็นผิวหนังโดยรอบลำองคชาตและท่อปัสสาวะในเพศชาย และเจริญไปเป็นแคมเล็กในเพศหญิง โดยคอร์ปุส คาเวอร์โนซุมทั้งสองแท่งเป็นส่วนที่มีต้นกำเนิดเดียวกันของตัวคริตอริส ส่วนคอร์ปุส สปอนจิโอซุมเป็นส่วนที่มีต้นกำเนิดเดียวกันกับกระเปาะเวสทิบูลาร์ (vestibular bulbs) ซึ่งอยู่ใต้แคมเล็ก ส่วนถุงอัณฑะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับแคมใหญ่ และหนังหุ้มปลายองคชาตนั้นมีต้นกำเนิดเดียวกันกับปลอกหุ้มคริตอริส ส่วนแนวประสานนั้นไม่พบในเพศหญิงเพราะทั้งสองด้านไม่ได้เชื่อมกัน
เมื่อเข้าสู่วัยเริ่มเจริญพันธุ์ องคชาต ถุงอัณฑะ และอัณฑะจะมีขนาดใหญ่ขึ้นต่อจนครบอายุ ในกระบวนการนั้น ขนหัวหน่าวจะขึ้นบริเวณเหนือและรอบ ๆ องคชาต จากการศึกษาขนาดอวัยวะเพศชายจำนวนมากในผู้ชายอายุ 17 ถึง 19 ปี กว่าพันคน ไม่พบความแตกต่างระหว่างขนาดเฉลี่ยขององคชาตระหว่างอายุ 17 ถึง 19 ปี จึงทำให้สามารถสรุปได้ว่าการเจริญของอวัยวะเพศชายจะสมบูรณ์ไม่เกินอายุ 17 ปี หรือก่อนหน้านั้น
ในเพศชาย การขับปัสสาวะออกจากร่างกายจะเสร็จสิ้นผ่านทางองคชาต โดยท่อปัสสาวะระบายน้ำออกจากกระเพาะปัสสาวะ ผ่านต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับท่อฉีดอสุจิ และต่อลงไปยังองคชาตต่อไป ที่รากขององคชาต (ใกล้กับจุดสิ้นสุดของคอร์ปุส สปอนจิโอซุม) ที่อยู่ตรงกล้ามเนื้อหูรูดภายนอก โดยเป็นหูรูดขนาดเล็กของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลายและในผู้ชายสุขภาพดีสามารถควบคุมได้โดยสมัครใจ การผ่อนคลายหูรูดท่อปัสสาวะช่วยให้ปัสสาวะในท่อปัสสาวะตอนบน ไหลเข้าสู่องคชาตอย่างถูกต้องและทำให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ทางสรีรวิทยา การถ่ายปัสสาวะเกี่ยวพันกับการประสานงานกันระหว่างระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทอัตโนวัติ และ ระบบประสาทโซมาติก ในทารกหรือผู้สูงอายุบางคนที่มีอาการบาดเจ็บของระบบประสาท การถ่ายปัสสาวะอาจเกิดขึ้นในฐานะรีเฟล็กซ์โดยไม่สมัครใจ ศูนย์สมองที่ควบคุมการปัสสาวะ ได้แก่ ศูนย์ถ่ายปัสสาวะพอนทีน (Pontine micturition center), เนื้อเทาพีเรียคืวดักทัล (Periaqueductal gray) และ เปลือกสมอง ในระหว่างการแข็งตัว ศูนย์เหล่านี้จะยับยั้งการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อหูรูด เพื่อทำหน้าที่แยกทางสรีรวิทยาระหว่างการขับถ่ายและการสืบพันธุ์ขององคชาต และป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลเข้าไปอยู่ในท่อปัสสาวะระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ
ส่วนปลายของท่อปัสสาวะช่วยให้มนุษย์เพศชายปัสสาวะได้โดยตรงโดยผ่านองคชาต ความยืดหยุ่นช่วยให้เพศชายสามารถจัดท่าทางในการปัสสาวะได้ ในวัฒนธรรมที่มีการสวมใส่เสื้อผ้าเป็นอย่างน้อย องคชาตจะช่วยให้เพศชายสามารถปัสสาวะในขณะยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า บางธรรมเนียมสำหรับเด็กผู้ชายและผู้ชายบางคนอาจปัสสาวะในท่านั่งหรือหมอบ ซึ่งท่าทางดังกล่าวอาจได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อทางศาสนาหรือวัฒนธรรม งานวิจัยทางการแพทย์ยังพบท่าทางอื่นนอกเหนือจากท่าทางที่มีอยู่ แต่ข้อมูลนั้นเป็นแบบวิวิธพันธุ์ การวิเคราะห์อภิมาน สรุปหลักฐานที่พบว่าไม่มีท่าทางที่นอกเหนือจากนั้นในวัยหนุ่มและผู้ชายที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม สำหรับชายสูงอายุที่มีกลุ่มอาการระบบทางเดินปัสสาวะต่ำ (Lower urinary tract symptoms) ท่านั่งเมื่อเทียบกับท่ายื่นแล้วจะแตกต่างกันดังนี้:
ข้อมูลปัสสาวะพลวัตนี้สัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
การแข็งตัวขององคชาต คือ การแข็งทื่อและยกตัวสูงขึ้นขององคชาต ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะมีอารมณ์ทางเพศ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศได้เช่นกัน การแข็งตัวขององคชาตอาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในช่วงวัยรุ่นเนื่องจากการเสียดสีกับเสื้อผ้า การเต็มของกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่ ความแปรปรวนของฮอร์โมน ความตื่นกลัว และการถอดเสื้อผ้าแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ข้อเกี่ยวกับทางเพศ นอกจากนี้การแข็งตัวยังอาจเกิดขึ้นระหว่างนอนหลับและในตอนตื่นนอนได้เช่นกัน (ดูที่องคชาตแข็งตัวขณะหลับ) กลไกทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวขององคชาตคือการกว้างขึ้นอัตโนมัติของหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปหล่อเลี้ยงยังองคชาต ซึ่งจะช่วยให้เลือดไหลเข้าไปได้มากขึ้นเพื่อเติมเต็มเนื้อเยื่อฟองน้ำภายในองคชาต ทำให้องคชาตยาวและแข็งทื่อขึ้น เนื้อเยื่อของอวัยวะเพศในขณะนี้ได้ขยายมากขี้นจนไปกดหลอดเลือดดำที่นำเลือดออกจากองคชาต ทำให้เลือดที่ไหลเข้าสู่องคชาตมีปริมาณมากกว่าเลือดที่ไหลออกจากองคชาต จนกระทั่งถึงสภาวะสมดุลที่ปริมาตรการไหลของเลือดที่ไหลเข้ามายังหลอดเลือดแดงที่ขยายออกและเลือดที่ไหลออกจากหลอดเลือดดำที่ถูกกดนั้นเท่ากัน ขนาดการแข็งตัวที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเป็นความสำเร็จของดุลยภาพนี้ และถุงอัณฑะอาจจะกระชับมากขึ้นด้วยในระหว่างการแข็งตัว
การแข็งตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการร่วมเพศ แม้ว่าจะไม่จำเป็นสำหรับกิจกรรมทางเพศบางประเภทก็ตาม
แม้ว่าองคชาตโดยมากจะแข็งตัวขึ้นไปด้านบน (ดังภาพตัวอย่างประกอบ) แต่เป็นเรื่องธรรมดาและปกติที่เมื่อองคชาตแข็งตัวจะขี้ไปในลักษณะแนวเกือบตั้งขึ้นหรือเกือบตั้งลงในแนวนอนหรือแม้แต่ในแนวตรง ทั้งหมดนั้นจะขึ้นอยู่กับความตึงของเอ็นแขวนองคชาตที่ยึดองคชาตให้อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว
ตารางต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงมุมต่าง ๆ ในท่ายืนของเพศชาย โดยเป็นตัวอย่างจากผู้ชาย 81 คน อายุระหว่าง 21 ถึง 67 ปี โดยในตารางนี้ ค่าศูนย์องศาจะชี้ตรงกับช่องท้อง, 90 องศาจะเป็นแนวนอนและชี้ตรงไปด้านหน้า ขณะที่ 180 องศาจะชี้ตรงลงไปที่เท้า ซึ่งส่วนมากแล้วมักเป็นมุมชี้ขึ้น
มุม (°) จากแนวตั้งขึ้น | เปอร์เซ็นต์ ของเพศชาย |
---|---|
0-30 | 4.9 |
30-60 | 29.6 |
60-85 | 30.9 |
85-95 | 9.9 |
95-120 | 19.8 |
120-180 | 4.9 |
การหลั่งน้ำอสุจิคือการขับดันของน้ำอสุจิจากองคชาต ซึ่งมักเกิดขึ้นพร้อมกับความเสียวสุดยอดทางเพศ การหดตัวเป็นชุดของกล้ามเนื้อช่วยส่งน้ำอสุจิ ซึ่งบรรทุกเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย ที่รู้จักกันว่า เซลล์อสุจิ หรือสเปิร์มาโตซูน (Spermatozoon) จากองคชาต มักเป็นผลมาจากการการกระตุ้นทางเพศ ซึ่งอาจรวมถึงการกระตุ้นต่อมลูกหมาก และจากอาการโรคต่อมลูกหมากโตซึ่งพบได้ยาก การหลั่งน้ำอสุจิอาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติในระหว่างการนอน (รู้จักกันว่าฝันเปียก) ส่วน Anejaculation เป็นภาวะของการที่ไม่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้
การหลั่งน้ำอสุจิมีสองขั้นตอน คือ การปล่อยออกมา และ การหลั่งน้ำอสุจิอย่างสมบูรณ์ ขั้นตอนการปล่อยออกมาของรีเฟล็กซ์การหลั่งน้ำอสุจิอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ขณะที่ขั้นตอนการหลั่งน้ำอสุจิอยู่ภายใต้การควบคุมของรีเฟล็กซ์เอ็นลึกที่ระดับของประสาทไขสันหลัง S2–4 ผ่านประสาทอวัยวะเพศ ระยะดื้อจากความสำเร็จในการหลั่งน้ำอสุจิและการกระตุ้นทางเพศที่มีมาก่อน
องคชาตของมนุษย์ได้รับการถกเถียงกันว่ามีการปรับตัวในหลายการวิวัฒนาการ ซึ่งวัตถุประสงค์ในการะปรับตัวเหล่านี้คือเพื่อเพิ่มความสำเร็จในการสืบพันธุ์และลดการแข่งขันของอสุจิ การแข่งขันของอสุจิคือ เมื่อตัวอสุจิของผู้ชายสองคนพร้อมกันที่อยู่ภายในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และพวกมันจะแข่งกันเพื่อไปปฏิสนธิกับไข่ ถ้าผลการแข่งขันของอสุจิคือ อสุจิของเพศชายคู่แข่งได้เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ อาจจะเกิดการมีชู้ของภรรยาขึ้น นี่เป็นกระบวนการที่เพศชายลงทุนทรัพยากรของตนให้กับลูกหลานของชายอื่นโดยไม่รู้ และทำให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นเพื่อเลี่ยงกรณีดังกล่าว
งานวิจัยส่วนใหญ่พบการปรับตัวขององคชาตมนุษย์และขนาดอัณฑะ การปรับเปลี่ยนการหลั่งน้ำอสุจิ และการเคลื่อนของน้ำอสุจิ
การวิวัฒนาการได้ก่อให้เกิดการคัดเลือกทางเพศ โดยเกิดการปรับตัวขึ้นในขนาดองคชาตและขนาดอัณฑะเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการสืบพันธุ์สูงสุดและให้เกิดการแข่งขันของอสุจิน้อยที่สุด
การแข่งขันของอสุจิเป็นสาเหตุให้เกิดการวิวัฒน์ในความยาวและขนาดขององคชาตมนุษย์เพื่อการเก็บรักษาตัวอสุจิและการเคลื่อนย้าย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ องคชาตจะต้องมีความยาวเพียงพอที่จะเข้าถึงตัวอสุจิคู่แข่งใด ๆ และเติมเต็มช่องคลอดให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าเพศหญิงนั้นจะยังคงมีตัวอสุจิของเพศชายเหลืออยู่ การปรับตัวในด้านความยาวขององคชาตมนุษย์จึงเกิดขึ้นเพื่อให้การหลั่งน้ำอสุจิเกิดขึ้นใกล้กับคอมดลูก โดยจะสำเร็จได้เมื่อเกิดการล่วงล้ำขึ้นอย่างสมบูรณ์ และองคชาตจะถูกผลักให้ชนกับคอมดลูก การปรับตัวนี้ได้เกิดขึ้นเพื่อให้การปล่อยและคงไว้ซึ่งอสุจิไปยังจุดสูงสุดของระบบทางเดินช่องคลอด เป็นผลให้การปรับตัวนี้ยังทำให้ตัวอสุจิไม่เสี่ยงต่อการเคลื่อนย้ายและการสูญเสียน้ำอสุจิ เหตุผลอีกประการในการปรับตัวนี้มาจากลักษณะของท่าทางตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งแรงโน้มถ่วงได้สร้างความเสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำอสุจิ ดังนั้นองคชาตที่ยาวจะเข้าไปเกิดการหลั่งน้ำอสุจิภายในระบบทางเดินช่องคลอดที่ลึก และสามารถลดการสูญเสียน้ำอสุจิได้
อีกทฤษฎีการวิวัฒนาการของขนาดองคชาต คือ การเลือกคู่ของเพศหญิงและความคิดเชื่อมโยงกับการตัดสินทางสังคมในสังคมปัจจุบัน การศึกษาภาพแสดงการเลือกคู่ของเพศหญิงซึ่งมีอิทธิพลต่อการนำเสนอขนาดองคชาตต่อเพศหญิงด้วยขนาด การหมุน การสร้างเพศชายขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในระดับความสูง รูปร่าง และขนาดองคชาตขณะอ่อนตัว ด้วยที่ว่ามุมมองเหล่านี้เป็นตัวอย่างของความเป็นชาย การจัดอันดับความน่าดึงดูดใจโดยเพศหญิงสำหรับเพศชายแต่ละคนเผยให้เห็นว่าขนาดองคชาตที่ใหญ่เกี่ยวข้องกับอันดับที่สูงขึ้นในความน่าดึงดูดใจ ความสัมพันธ์ระหว่างองคชาตและความน่าสนใจจึงได้นำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดองคชาตและความเป็นชายพบได้บ่อยในสื่อที่เป็นที่นิยม สิ่งนี้ได้นำไปสู่อคติทางสังคมที่ว่าขนาดองคชาตที่ใหญ่จะเป็นที่ต้องการและมีสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น อันเป็นภาพสะท้อนในเรื่องการเชื่อมโยงกันระหว่างความกล้าหาญและขนาดองคชาตของเพศชาย และการตัดสินทางสังคมว่าขนาดองคชาตมีความสัมพันธ์กับ 'ความเป็นลูกผู้ชาย'
เช่นเดียวกับองคชาต การแข่งขันของอสุจินั้นทำให้อัณฑะเกิดการวิวัฒนาการด้านขนาดด้วยวิธีการคัดเลือกทางเพศเช่นกัน ลักษณะนี้หมายความว่าการที่อัณฑะมีขนาดใหญ่เป็นตัวอย่างของการปรับตัวในการคัดเลือกทางเพศ อัณฑะของมนุษย์มีขนาดปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่น เช่น กอริลลาและชิมแปนซี ซึ่งอยู่ตรงสักที่หนึ่งในตรงกลาง อัณฑะที่มีขนาดใหญ่นั้นเป็นประโยชน์ในการแข่งขันของอสุจิ เนื่องจากความสามารถในการผลิตการหลั่งอสุจิที่มากกว่า การวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์กันเชิงบวกอยู่ ระหว่างจำนวนของตัวอสุจิที่ถูกหลั่งและขนาดของอัณฑะ อัณฑะที่มีขนาดใหญ่กว่ายังแสดงให้เห็นถึงมีการพยากรณ์คุณภาพอสุจิที่ดีขึ้น รวมถึงจำนวนของตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ที่มากกว่า
การวิจัยยังอธิบายให้เห็นอีกว่าการปรับตัวของขนาดอัณฑะนั้นจะขึ้นอยู่กับระบบการผสมพันธุ์ (Breeding system) ในแต่ละถิ่นที่อยู่ของสปีชีส์ ระบบการผสมพันธุ์ตัวผู้ตัวเดียว (Single-male breeding systems) หรือ สังคมการมีคู่สมรสคนเดียว มีแนวโน้มที่จะมีขนาดอัณฑะเล็กกว่าในระบบการผสมพันธุ์แบบตัวผู้หลายตัว (Multi-male breeding systems) มนุษย์นั้นอยู่ในสังคมการมีคู่สมรสคนเดียวเหมือนกับกอริลลา ดังนั้น ขนาดของอัณฑะจึงมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอันดับวานรที่มีระบบการผสมพันธุ์แบบตัวผู้หลายตัว อย่างเช่น ชิมแปนซี สาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างในขนาดอัณฑะนั้น จึงเพื่อการประสบความสำเร็จในการสืบพันธุ์ในระบบการผสมพันธุ์แบบตัวผู้หลายตัว ตัวผู้จึงต้องมีความสามารถในการสร้างการหลั่งอสุจิอย่างเต็มอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีของสังคมการมีคู่สมรสคนเดียว ซึ่งการลดลงในการหลั่งเพื่อผสมพันธุ์นั้นไม่มีมีผลกระทบกับความสำเร็จในการสืบพันธุ์ สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นในมนุษย์ ที่จำนวนการหลั่งของอสุจิจะลดลงถ้าหากเกิดการหลั่งขึ้นมากกว่า 3 ถึง 5 ครั้งต่อสัปดาห์
หนึ่งในวิธีหลักที่การหลั่งน้ำอสุจิในเพศชายมีการวิวัฒน์นั้นก็เพื่อเอาชนะในการแข่งขันของอสุจิ โดยผ่านความเร็วที่ตัวอสุจิใช้ในการเดินทาง การหลั่งน้ำอสุจิสามารถเดินทางได้ไกลถึง 30–60 เซนติเมตรในแต่ละครั้ง เมื่อรวมกับการวางตำแหน่งในตำแหน่งสูงสุดของทางช่องคลอดแล้ว จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้เพศชายที่ไข่จะได้รับการปฏิสนธิโดยตัวอสุจิของเขา (เมื่อเทียบกับตัวอสุจิของคู่แข่งที่มีประสิทธิภาพ) ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจสูงสุดในการเป็นพ่ออย่างแน่นอน (paternal certainty)
นอกจากนี้ เพศชายยังสามารถและทำการปรับการหลั่งของตนเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันของอสุจิได้ ตามความได้เปรียบอย่างสูงสุดในการจับคู่กับเพศหญิงคนหนึ่งด้วย การวิจัยได้มุ่งเน้นไปที่วิธีพื้นฐานสองวิธีที่เพศชายจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ นั่นคือ การปรับทางด้านขนาดของการหลั่งน้ำอสุจิ และการปรับในด้านคุณภาพของการหลั่งน้ำอสุจิ
จำนวนของตัวอสุจิที่ออกมาในแต่ละการหลั่งน้ำอสุจิจะแตกต่างกันไป การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกตั้งสมมติฐานว่าเป็นความพยายามของเพศชายเพื่อกำจัด หากไม่มีการลดลงของการแข่งขันของอสุจิ โดยเพศชายจะเปลี่ยนแปลงจำนวนของตัวอสุจิที่ส่งเข้าไปผสมในเพศหญิง ตามระดับการรับรู้ของการแข่งขันของอสุจิ โดยจะมีการผสมเชื้อ (inseminating) ตัวอสุจิเป็นจำนวนที่มาก หากเพศชายนั้นสงสัยว่าจะมีระดับการแข่งขันของอสุจิที่สูงจากชายอื่น
เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนในการหลั่งน้ำอสุจิ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เพศชายมักจะเพิ่มจำนวนตัวอสุจิเข้าสู่คู่ของเขา หลังจากที่ถูกแยกกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ลักษณะนี้พบได้เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความจริงที่ว่าคู่ที่มีเวลาให้กันน้อยกว่าจะมีโอกาสที่เพศหญิงจะได้รับการผสมโดยเพศชายคนอื่นเพิ่มขึ้น การแข่งขันของอสุจิจึงมีมากกว่า การเพิ่มจำนวนของตัวอสุจิที่เพศชายส่งเข้าไปผสมในเพศหญิง จะทำหน้าที่กำจัดตัวอสุจิในเพศหญิงใด ๆ ที่อาจถูกเก็บไว้ภายในเพศหญิงที่เป็นผลมาจากการมีคู้ซ้อน (Extra-pair copulation; EPC) ในระหว่างการแยกกัน ด้วยการเพิ่มจำนวนของตัวอสุจิหลังจากการแยก จะทำให้เพศชายนั้นเพิ่มความมั่นใจสูงสุดในการเป็นพ่ออย่างแน่นอน (paternal certainty) ได้ ส่วนการเพิ่มจำนวนของตัวอสุจิที่เพศชายสร้างเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันของอสุจินั้น ไม่ได้ถูกสังเกตในส่วนการหลั่งน้ำอสุจิจากการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
เพศชายยังมีการปรับการหลั่งน้ำอสุจิเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันของอสุจิในแง่ของคุณภาพด้วย โดยมีงานวิจัยที่ได้แสดงให้เห็นในเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น การดูภาพทางเพศอย่างชัดเจนที่มีเพศหญิงจำนวนหนึ่งคนและเพศชายจำนวนสองคน (กล่าวคือ มีการแข่งขันของอสุจิสูง) สามารถที่จะทำให้เพศชายสร้างจำนวนตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวได้มากกว่าการดูภาพทางเพศอย่างชัดเจนที่มีเพศหญิงจำนวนสามคน (กล่าวคือ มีการแข่งขันของตัวอสุจิต่ำ) เช่นเดียวกับการเพิ่มจำนวน การเพิ่มคุณภาพของตัวอสุจิที่เพศชายส่งไปผสมในเพศหญิงนั้นจะช่วยเพิ่มความมั่นใจสูงสุดในการเป็นพ่ออย่างแน่นอน (paternal certainty) ได้ เมื่อการแข่งขันของอสุจินั้นสูง
คุณภาพรูปแบบปรากฏของเพศหญิง คือ ปัจจัยสำคัญในการลงทุนหลั่งน้ำอสุจิ (ejaculate investment) ของเพศชาย การวิจัยพบว่า เพศชายจะผลิตการหลั่งน้ำอสุจิในปริมาณมากขึ้น ซึ่งมีตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวได้ดีกว่าและเร็วกว่า เมื่อผสมพันธุ์กับเพศหญิงที่มีคุณภาพสูงกว่า ทั้งนี้เพื่อลดการแข่งขันของอสุจิลง เนื่องจากเพศหญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่ามักจะถูกเข้าหาและเกิดการผสมโดยเพศชายมากกว่าเพศหญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดน้อยกว่า ดังนั้น การเพิ่มปริมาณและคุณภาพในการหลั่งน้ำอสุจิของเพศชายจึงเป็นประโยชน์เมื่อจับคู่กับเพศหญิงที่มีเสน่ห์มาก เนื่องจากทำให้มีแนวโน้มในความสำเร็จในการสืบพันธุ์สูงสุดด้วย โดยการประเมินรูปแบบปรากฏของเพศหญิง เพศชายจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะลงทุน (หรือลงทุนมากยิ่งขึ้น) กับเพศหญิงคนใดคนหนึ่งหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนในการหลั่งน้ำอสุจิในภายหลัง
คาดกันว่ารูปร่างองคชาตของมนุษย์วิวัฒนาการขึ้นโดยเป็นผลมาจากการแข่งขันของอสุจิ การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิเป็นการปรับรูปร่างขององคชาต เพื่อดึงน้ำอสุจิของชายอื่นให้ออกห่างจากคอมดลูก ซึ่งหมายถึงว่า ในกรณีที่มีตัวอสุจิของเพศชายคู่แข่งอยู่ในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง องคชาตของมนุษย์มีความสามารถในการแทนที่ตัวอสุจิของคู่แข่งด้วยตัวอสุจิของตัวเอง
การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิมีประโยชน์หลักสองประการ ได้แก่ ประการแรก การเคลื่อนย้ายตัวอสุจิของคู่แข่ง ทำให้ความเสี่ยงของการที่ตัวอสุจิของคู่แข่งจะปฏิสนธิกับไข่ลดลง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการแข่งขันของอสุจิลง ประการที่สอง เพศชายจะแทนที่ตัวอสุจิของคู่แข่งด้วยอสุจิของตัวเอง ดังนั้นจึงเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิกับไข่และสืบพันธุ์กับเพศหญิงสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เพศชายต้องมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่เคลื่อนย้ายตัวอสุจิของเขาเอง ซึ่งเชื่อกันว่าการที่องคชาตสูญเสียการแข็งตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากหลั่งน้ำอสุจิ ภาวะองคชาตไวสัมผัสเกินหลังการหลั่งน้ำอสุจิ และการดันเข้าไปอย่างตื้น ๆ และช้าของเพศชายหลังการหลั่งน้ำอสุจินั้นจะช่วยป้องกันสิ่งดังกล่าว
แนวโคโรนาเป็นส่วนขององคชาตมนุษย์ที่คาดว่ามีวิวัฒนาการขึ้นเพื่อช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ การวิจัยได้ศึกษาถึงจำนวนน้ำอสุจิที่ถูกแทนที่ด้วยองคชาตจำลองรูปทรงต่าง ๆ นั้นต่างกันอย่างไร การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อรวมกับการดันเข้าไปแล้ว แนวโคโรนาขององคชาตสามารถขจัดน้ำอสุจิของคู่แข่งออกจากระบบสืบพันธ์ุเพศหญิงได้ โดยการบังคับให้น้ำอสุจิให้อยู่ใต้เส้นสองสลึงของแนวโคโรนา ทำให้เกิดการสะสมขึ้นบริเวณลำด้านหลังแนวโคโรนา และเมื่อใช้องคชาตจำลองที่ไม่มีแนวโคโรนา พบว่าน้ำอสุจิจำลองจำนวนน้อยลงกว่าครึ่งถูกแทนที่ เมื่อเทียบกับองคชาตที่มีแนวโคโรนา
อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของแนวโคโรนาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ต้องมีการผลักเข้าอย่างเหมาะสมด้วยจึงจะประสบความสำเร็จ แสดงให้เห็นว่า ยิ่งมีการดันเข้าไปลึกเท่าใด จำนวนน้ำอสุจิที่จะถูกเคลื่อนย้ายก็มีมากเท่านั้น และไม่มีการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิเกิดขึ้นในการดันเข้าไปอย่างตื้น ๆ บางส่วนจึงเรียกการคันเข้าไป (thrusting) ว่าเป็นพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ ได้แก่ การดันเข้าไป (จำนวนครั้งของการดันและความลึกของการดัน) และ ระยะเวลาของการมีเพศสัมพันธ์ แสดงให้เห็นแตกต่างกันไปตามการรับรู้ถึงความเสี่ยงในการนอกใจของคู่ครองของเพศชายว่ามีมากหรือไม่มี ทั้งเพศชายและเพศหญิงมีรายงานพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิมากขึ้นภายหลังการกล่าวหาว่านอกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากการกล่าวหาว่านอกใจ ทั้งเพศชายและเพศหญิงรายงานว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้น มีการดันเข้าไปลึกและเร็วขึ้นในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
มีการแนะนำว่าการขริบหนังหุ้มปลายองคชาตส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายตัวอสุจิ โดยการขริบจะทำให้แนวโคโรนาเด่นชัดขึ้น และมีการตั้งสมมติฐานว่าการขริบจะทำให้การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจินั้นดีขึ้น ข้อสังเกตนี้ได้รับการสนับสนุนโดยรายงานของเพศหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายที่ขริบแล้ว โดยเพศหญิงรายงานว่า น้ำหล่อลื่นช่องคลอดนั้นลดน้อยลงเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับชายที่ขริบแล้ว และชายที่ขริบแล้วจะดันเข้าไปลึกมากกว่า ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะว่า แนวโคโรนาที่เด่นชัดกว่ารวมกับการดันเข้าไปที่ลึกกว่านั้น จะทำให้สารคัดหลั่งในช่องคลอดของเพศหญิงเกิดการเคลื่อนย้ายไปในทางลักษณะเดียวกับตัวอสุจิของคู่แข่ง
บางครั้งองคชาตอาจถูกเจาะหรือตกแต่งด้วยศิลปะบนเรือนร่าง นอกเหนือจากการขริบแล้ว การดัดแปลงองคชาตเกือบจะเป็นตัวเลือกในระดับสากล และมักมีจุดประสงค์เพื่อความงามหรือเพิ่มความอ่อนไหว การเจาะองคชาต ประกอบด้วย แบบเจ้าชายอัลเบิร์ต อะพัดราวยา อัมปาลลัง ดีโด การเจาะเส้นสองสลึง ขณะที่การฟื้นฟูหนังหุ้มปลายองคชาตหรือการยืดหนังหุ้มปลาย เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการดัดแปลงร่างกาย เช่นเดียวกับการปลูกถ่ายบริเวณใต้ลำขององคชาต
หญิงข้ามเพศที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศจะได้รับการดัดแปลงองคชาตให้เป็นช่องคลอดผ่านการศัลยกรรมตกแต่งช่องคลอด ขณะที่ชายข้ามเพศจะมีการแปลงผ่านศัลยกรรมตกแต่งองคชาต
ในแนวทางปฏิบัติอื่น ๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงองคชาตก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน แม้ว่าจะพบได้ยากในสังคมตะวันตกโดยไม่มีอาการป่วยใด ๆ ที่วินิจฉัยได้ นอกเหนือจากการตัดองคชาตแล้ว สิ่งที่รุนแรงที่สุดคือการผ่าใต้องคชาตซึ่งจะแยกท่อปัสสาวะออกตามแนวด้านล่างขององคชาต การผ่าใต้องคชาตเกิดขึ้นในหมู่ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย แม้ว่าจะพบได้ในบางคนในสหรัฐและยุโรป
รูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดของการดัดแปลงอวัยวะเพศคือการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต ซึ่งเป็นการนำหนังหุ้มปลายองคชาตออกบางส่วนหรือทั้งหมดด้วยเหตุผลด้านวัฒนธรรม ศาสนา และ เหตุผลทางการแพทย์ซึ่งพบได้น้อย สำหรับการขริบในทารกจะมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น คีมหนีบกอมโก พลาสติเบลล์ และ คีมหนีบมอเกน เป็นเครื่องมือช่วย
อุปกรณ์ที่ทันสมัยทั้งหมดจะมีการปฏิบัติตามขั้นตอนพื้นฐานที่เหมือนกัน ขั้นแรก ประเมินปริมาณหนังหุ้มปลายองคชาตที่จะนำออก จากนั้นเปิดหนังหุ้มปลายออกทางรูเปิดเพื่อเผยให้เห็นหัวที่อยู่ด้านล่าง และเพื่อให้มั่นใจว่าทุกสิ่งปกติ เยื่อบุด้านในของหนังหุ้มปลายองคชาตจะถูกแยกออกจากการยึดเกาะกับหัวองคชาต จากนั้นวางอุปกรณ์ (ซึ่งบางครั้งต้องมีการกรีดทางด้านหลังขององคชาต) และค้างไว้เช่นนั้นจนกว่าเลือดจะหยุดไหล ในที่สุด ส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของหนังหุ้มปลายจะถูกนำออกไป
การขริบในวัยผู้ใหญ่มักทำได้โดยไม่ต้องใช้คีมหนีบ และต้องงดการสำเร็จความใคร่ด้วยต้นเองหรือการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 4 ถึง 6 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัดเพื่อให้แผลหายดี ในประเทศแอฟริกาบางประเทศ การขริบมักดำเนินการโดยบุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์ และมักอยู่ในภาวะที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หลังจากการขริบในโรงพยาบาลแล้ว อาจมีการใช้หนังหุ้มปลายองคชาตในการวิจัยทางการแพทย์ มีการจ่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การปลูกถ่ายผิวหนัง หรือ การให้ยากลุ่มอินเตอร์เฟียรอน บางส่วนของทวีปแอฟริกา จะมีการจุ่มหนังหุ้มปลายของผู้เข้ารับการขริบลงในบรั่นดี และให้ผู้เข้ารับการขริบ ผู้ป่วยรับประทาน หรือให้สัตว์กิน ตามกฎหมายยิว หลังจากพิธีบริทมีลาแล้ว จะต้องนำหนังหุ้มปลายองคชาตไปฝังไว้
การขริบนั้นถูกโต้เถียงกันอยู่โดยทั่วไป โดยมีข้อสนับสนุนเกี่ยวกับการขริบหนังหุ้มปลาย เช่น ประโยชน์ในด้านสุขภาพที่สำคัญซึ่งมีมากกว่าความเสี่ยง ไม่มีผลกระทบมากเกินไปต่อการเจริญพันธุ์ อัตราการเกิดอาการแทรกซ้อนต่ำเมื่อได้รับการดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และช่วงที่ดำเนินการได้ดีที่สุดคือตอนเป็นทารกแรกเกิด และข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต เช่น การปฏิบัติยังคงถูกปกป้องผ่านตำนานต่าง ๆ การขริบรบกวนการเจริญพันธุ์ตามปกติ ความเจ็บปวดอย่างมาก และในกรณีที่ทำกับเด็กทารกย่อมถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเด็กผู้นั้น
สมาคมการแพทย์อเมริกันระบุไว้ในปี พ.ศ. 2542 ว่า "ถ้อยแถลงนโยบายปัจจุบันเกือบทั้งหมดจากสมาคมและองค์การทางการแพทย์นั้น ไม่แนะนำให้ทำการขริบแก่ทารกแรกเกิดซึ่งทำกันอย่างเป็นประจำ และสนับสนุนการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นกลางแก่ผู้ปกครองเพื่อเป็นทางเลือก"
ปี พ.ศ. 2550 องค์การอนามัยโลก โดยโครงการร่วมสหประชาชาติเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์และศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐ ระบุว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่าการขริบในเพศชายช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีในเพศชายลงได้อย่างมากในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด แต่ยังระบุด้วยว่าการขริบหนังหุ้มปลายนั้นช่วยป้องกันเพียงบางส่วนเท่านั้น และไม่ควรนำมาใช้เป็นวิธีการป้องกันการแพร่เชื้่อเอชไอวี นอกจากนี้ แพทย์บางคนยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายและข้อมูลสนับสนุนเหล่านั้นด้วย
ความพยายามโดยนักวิทยาศาสตร์ในการการซ่อมโครงสร้างบางส่วนหรือทั้งหมดขององคชาตมนุษย์ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากวิทยาศาสตร์สาขานี้ ได้แก่ ผู้ป่วยแต่กำเนิด ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยที่ถูกตัดส่วนของอวัยวะเพศออก และผู้ชายที่ต้องการย้อนการดัดแปลงที่เกิดขึ้น เช่น การขริบ บางองค์กรที่ดำเนินงานวิจัยหรือการซ่อมนี้ ได้แก่ สถาบันเวกฟอเรสต์เพื่อเวชศาสตร์ฟื้นฟู และ กระทรวงกลาโหมสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีบริษัทฟอเรเจน ซึ่งเป็นบริษัทชีวเวชสัญชาติอิตาลีที่พยายามซ่อมแถบย่น เส้นสองสลึง และ เยื่อเมือกหนังหุ้มปลายองคชาตด้วย
การผ่าตัดด้วยการอัลโลทรานสแพลนท์องคชาตที่สำเร็จเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ในโรงพยาบาลทหารในกว่างโจว ประเทศจีน ผู้ป่วยเป็นชายอายุ 44 ปีซึ่งได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและองคชาตได้ถูกตัดขาดไป การปัสสาวะเป็นไปได้ยากลำบากเนื่องจากท่อปัสสาวะบางส่วนของผู้ป่วยถูกปิดกั้น จึงได้มีการเลือกการปลูกถ่ายขึ้นจากชายอายุ 23 ปีที่เสียชีวิตจากสมองตายเมื่อไม่นานนัก แม้จะมีการฝ่อของหลอดเลือดและเส้นประสาท แต่หลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ เส้นประสาท และคอร์ปัส สปอนจิโอซุมนั้นเข้ากันได้อย่างดี แต่ในวันที่ 19 กันยายน (สองสัปดาห์ให้หลัง) การผ่าตัดก็ถูกย้อนกลับ เนื่องจากปัญหาทางจิตใจอย่างรุนแรง (ปฏิกิริยาปฏิเสธสิ่งปลูกถ่าย) จากตัวผู้รับและภรรยา
ในปี พ.ศ. 2552 เฉิน, เอเบอร์ลี, ยู และ อาตาลา คณะนักวิจัยได้ทำการวิศวชีวกรรมองคชาตและได้ปลูกถ่ายลงในกระต่าย โดยสัตว์นั้นยังคงมีการแข็งตัวขององคชาตและผสมพันธุ์ได้อยู่ และมีกระต่าย 10 จาก 12 ตัวที่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าในอนาคตอาจสามารถสร้างองคชาตเทียมขึ้นเพื่อการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะหรือการศัลยกรรมตกแต่งองคชาต ในปี 2558 การผ่าตัดปลูกถ่ายองคชาตสำเร็จได้เป็นครั้งแรกที่เคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ หลังจากการผ่าตัดเป็นเวลาเก้าชั่วโมงโดยศัลยแพทย์จากมหาวิทยาลัยสเทลเลนโบสช์และโรงพยาบาลไทเกอร์เบิร์ก ผู้ป่วยวัย 21 ปีซึ่งได้รับการปลูกถ่ายองคชาตนั้นเคยมีกิจกรรมทางเพศได้ปกติ จนกระทั้งสูญเสียองคชาตไปจากการขริบที่ไม่เรียบร้อยเมื่ออายุ 18 ปี
This article uses material from the Wikipedia ไทย article องคชาตมนุษย์, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.