สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หลวงสรศักดิ์ มีพระนามเดิมว่า เดื่อ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชวินิจฉัยพระนามว่าเป็นสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 29 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สองแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ทรงครองราชย์ พ.ศ.

2246 — พ.ศ. 2251

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
พระเจ้าเสือ
สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
ครองราชย์6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2246 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2251 (5 ปี 3 วัน)
ก่อนหน้าสมเด็จพระเพทราชา
ถัดไปสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
พระมหาอุปราช
สมุหนายกเจ้าพระยาจักรี (ครุฑ)
พระราชสมภพพ.ศ. 2204
ตำบลโพธิ์ประทับช้าง เมืองพิจิตร อาณาจักรอยุธยา
สวรรคต9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2251 (47 พรรษา)
กรุงศรีอยุธยา อาณาจักรอยุธยา
พระอัครมเหสีสมเด็จพระพันวษา
สนม
พระราชบุตรสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เจ้าฟ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม
เจ้าฟ้าหญิงแก้ว
พระองค์เจ้าทับทิม
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
พระราชบิดาสมเด็จพระเพทราชา
พระราชมารดานางกุสาวดี

ประชาชนในสมัยพระองค์มักเรียกขานพระองค์ว่า พระเจ้าเสือ เพื่อเปรียบว่าพระองค์มีพระอุปนิสัยโหดร้ายดังเสือ พระองค์ทรงมีพระปรีชาด้านมวยไทย โดยทรงเป็นผู้คิดท่าแม่ไม้มวยไทย ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏชัดเจน และได้มีการถ่ายทอดเป็นตำราให้ชาวไทยรุ่นหลังได้เรียนรู้ฝึกฝนจนถึงปัจจุบันได้

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ระบุในหนังสือ ศิลปะมวยไทย ถึงพระองค์ในการปลอมพระองค์เป็นชาวบ้านมาชกมวยกับนักมวยฝีมือดีจากเมืองวิเศษชัยชาญ และสามารถชนะนักมวยเอกได้ถึง 3 คน ซึ่งได้แก่ นายกลาง หมัดตาย, นายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ปัจจุบัน กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดให้วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์เป็นวันมวยไทย

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงฝึกเจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพรผู้เป็นพระราชโอรส ให้มีความสามารถในด้านมวยไทย, กระบี่กระบอง และมวยปล้ำ

พระราชประวัติ

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าพระเจ้าเสือเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในสมเด็จพระเพทราชา

ส่วนพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าเป็นพระราชโอรสลับในสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับพระสนมซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระยาแสนหลวง เจ้าเมืองเชียงใหม่ โดยคำให้การขุนหลวงหาวัดออกพระนามว่า พระราชชายาเทวี หรือ เจ้าจอมสมบุญ ส่วนในคำให้การชาวกรุงเก่าเรียกว่า นางกุสาวดี ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานพระสนมดังกล่าวให้แก่พระเพทราชา เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง (เจ้ากรมช้าง) โดยในคำให้การขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า มีเนื้อหาสอดคล้องกัน กล่าวคือนางเป็นสนมลับของพระนารายณ์แต่แตกต่างกันเพียงชื่อของนาง และเหตุผลในการพระราชทานพระโอรสแก่พระเพทราชา แต่พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ กลับให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระชาติกำเนิดแตกต่างไปจากคำให้การของขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงทำศึกสงครามกับเมืองเชียงใหม่แล้วได้ราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นสนม แต่นางสนมเกิดตั้งครรภ์ พระองค์ได้ละอายพระทัยด้วยเธอเป็นนางลาว พระองค์จึงได้พระราชทานแก่พระเพทราชา ดังความในพระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระพนรัตน์ ความว่า

"แล้วเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาจากเมืองเชียงใหม่นั้น พระองค์เสด็จทรงสังวาสด้วยพระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ และนางนั้นก็ทรงครรภ์ขึ้นมา ทรงพระกรุณาละอายพระทัย จึงพระราชทานนางนั้นให้แก่พระเพทราชา แล้วดำรัสว่านางลาวนี้มีครรภ์ขึ้นมา เราจะเอาไปเลี้ยงไว้ในพระราชวังก็คิดละอายแก่พระสนมทั้งปวง และท่านจงรับเอาไปเลี้ยงไว้ ณ บ้านเถิด และพระเพทราชาก็รับพระราชทานเอานางนั้นไปเลี้ยงไว้ ณ บ้าน"

โดยเหตุผลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่าว่า พระองค์ทรงเกรงว่าพระราชโอรสองค์นี้จะคิดกบฏชิงราชสมบัติอย่างเมื่อคราวพระศรีศิลป์ ส่วนคำให้การของขุนหลวงหาวัดว่า พระองค์ทรงต้องรักษาราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสีเท่านั้น

พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ระบุว่าพระนามเดิมของพระองค์คือ มะเดื่อ ส่วนในหนังสือปฐมวงศ์ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ เรียกว่า ดอกเดื่อ เนื่องจากประสูติใต้ต้นมะเดื่อในแขวงเมืองพิจิตร ขณะพระมารดาเสด็จติดตามออกพระเพทราชาโดยเสด็จสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์) เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ที่เมืองพิษณุโลก

จดหมายเหตุเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ชาวเยอรมันประจำคณะทูตของบริษัทอีสต์อินเดียของฮอลันดาที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรีราชสำนักสยามในปี พ.ศ. 2233 ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปีประสูติของออกหลวงสรศักดิ์ว่า เมื่อ พ.ศ. 2233 พระสรศักดิ์ (Peja Surusak) พระมหาอุปราชมีพระชนม์ 20 พรรษา แสดงว่าพระองค์ประสูติในปี พ.ศ. 2213

ทัศนะ

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี 
วัดโพธิ์ประทับช้างจังหวัดพิจิตร สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี คาดว่าเป็นบ้านเกิด

อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มิทรงเชื่อว่าหลวงสรศักดิ์จะเป็นพระราชโอรสลับในสมเด็จพระนารายณ์ ทรงวินิจฉัยว่าในเมื่อหลวงสรศักดิ์รู้อยู่เต็มอกว่าสมเด็จพระนารายณ์คือพระราชบิดา เหตุไฉนจึงร่วมมือกับพระเพทราชาบิดาบุญธรรมปราบดาภิเษกชนกแท้ ๆ ของตน แทนที่จะประจบเอาใจขอราชสมบัติกับพระราชบิดาเมื่อครั้งยังประชวร ส่วนเพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ ว่า "พระยาแสนหลวง" เจ้าผู้ครองเชียงใหม่ที่ตกเป็นเชลยมายังกรุงศรีอยุธยานั้นก็มิได้มีฐานะต่ำต้อยอันใด ซ้ำยังจะดูมีหน้ามีตาเพราะสามารถต่อโคลงกับศรีปราชญ์ กวีในรัชกาลได้ ถ้าหากพระยาแสนหลวงเป็นพระสัสสุระของสมเด็จพระนารายณ์จริง ก็น่าจะเป็นที่ความภาคภูมิมากกว่าอับอาย และยังสามารถใช้การเสกสมรสดังกล่าวเป็นเหตุผลทางการเมืองเข้าครอบครองล้านนาผ่านพระชายาได้

ครองราชย์

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ สมเด็จพระเจ้าเสือได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการเป็นที่ โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าเสือ (นายเดื่อมหาดเล็ก) สามารถบังคับช้างพลายซ่อมตัวหนึ่งกำลังตกมันได้สำเร็จ ช้างพลายซ่อม (หรือพลายส่อม) เป็นช้างเพชฌฆาตสำหรับฆ่าคนโทษถึงตายร้ายกาจยิ่งนัก แม้ครูช้างผู้ใดขับขี่ช้างเข้มแข็งก็มิอาจขี่ช้างตัวนี้ลงน้ำได้ มีเพียงนายเดื่อมหาดเล็กสามารถนำช้างพลายซ่อมไปลงน้ำแล้วพากลับขึ้นมาผูกไว้ ณ โรงที่เดิม กรมช้างก็เอาเหตุมากราบทูลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้ทรงทราบ ทรงปรีดีโสมนัสเห็นว่ามีความสามารถในการบังคับบัญชาช้างถือเป็นวิชาที่สำคัญต่อความเป็นทหารและความเป็นผู้นำ จึงมีดำรัสให้นายเดื่อมหาดเล็กเข้าเฝ้า มีพระราชโองการตรัสว่า "ตัวเอ็งขี่ช้างแกล้วกล้าเข้มแข็งนัก, เอ็งจงเป็นหลวงสรสักดิ์, ไปช่วยราชการบิดาแห่งเอ็งในกรมช้างเถิด" จึงโปรดให้เป็นหลวงสรศักดิ์ รับราชการในกรมพระคชบาล

ในสมัยสมเด็จพระเพทราชาได้รับสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งหวังจะได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระเพทราชา แต่สมเด็จพระเพทราชากลับทรงโปรดปรานเจ้าพระขวัญ พระราชโอรสของพระองค์และกรมหลวงโยธาทิพ (บางหลักฐานว่ากรมหลวงโยธาเทพ) แถมมีผู้คนมากมายต่างพากันนับถือ ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ เกิดความหวาดระแวงว่าราชสมบัติจะตกไปอยู่กับเจ้าพระขวัญ จึงเกิดเหตุการณ์นำเจ้าพระขวัญมาสำเร็จโทษด้วยไม้ท่อนจันทร์

เมื่อสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงประชวรทรงทราบทรงพระพิโรธกรมพระราชวังบวรฯ เป็นอันมากแลตรัสว่าจะไม่ยกราชสมบัติให้แก่กรมพระราชวังบวรฯ แล้วทรงพระกรุณาตรัสเวนราชสมบัติให้ "เจ้าพระพิไชยสุรินทร" พระราชนัดดา หลังจากนั้นสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต เจ้าพระพิไชยสุรินทรทรงเกรงกลัวกรมพระราชวังบวรฯ จึงไม่กล้ารับ และน้อมถวายราชสมบัติแด่กรมพระราชวังบวรฯ

เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ ได้ขึ้นครองราชสมบัติในปี พ.ศ. 2246 มีพระราชโอรส 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าเพชร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) และเจ้าฟ้าพร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มีพระสมัญญานามว่า “เสือ” ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็น หลวงสรศักดิ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแล้ว

ทรงมีความเด็ดขาดในการมีรับสั่งให้ผู้ที่ปฏิบัติงานใดต้องสำเร็จผลเป็นอย่างดี หากบกพร่องพระองค์จะมีรับสั่งให้ลงโทษ ไม่เฉพาะข้าราชบริพารเท่านั้น แม้พระราชโอรสทั้งสองก็เช่นกัน อย่างเช่น ในการเสด็จไปคล้องช้างที่เมืองนครสวรรค์ มีรับสั่งให้เจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพรตัดถนนข้าม"บึงหูกวาง" โดยถมบึงส่วนหนึ่งให้เสร็จภายในหนึ่งคืน พระราชโอรสดำเนินงานเสร็จตามกำหนด แต่เมื่อเสด็จพระราชดำเนิน ช้างทรงตกหลุม ทรงลงพระราชอาญาเจ้าฟ้าเพชร แต่ภายหลังก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

พระอุปนิสัย

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า

"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ 11-12 ปี ถ้าสตรีใดเสือกดิ้นโครงไป ให้ขัดเคือง จะลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใด ไม่ดิ้นเสือกโครงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล

"ประการหนึ่ง ถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุขแลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็ก ชาวที่ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร

"ประการหนึ่ง ปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฏเรียกว่า พระเจ้าเสือ"

ขณะที่พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียมบันทึกไว้ทำนองเดียวกันว่า

"ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชหฤทัยกักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ร้ายกาจ ปราศจากกุศลสุจริต ทรงพระประพฤติผิดพระราชประเพณี มิได้มีหิริโอตัปปะ และพระทัยหนาไปด้วยอกุศลลามก มีวิตกในโทสโมหมูลเจือไปในพระสันดานเป็นนิรันดร์มิได้ขาด แลพระองค์เสวยน้ำจัณฑ์ขาวอยู่เป็นนิจ แล้วมักยินดีในการอันสังวาสด้วยนางกุมารีอันยังมิได้มีระดู ถ้าและนางใดอุตส่าห์อดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงินทองผ้าแพรพรรณต่าง ๆ แก่นางนั้นเป็นอันมาก ถ้านางใดอดทนมิได้ไซร้ ทรงพระพิโรธ และทรงประหารลงที่ประฉิมุราประเทศ [ผ่าอก] ให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงเข้ามาใส่ศพนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังข้างท้ายสนมนั้นเนือง ๆ และประตูนั้นก็เรียกว่า ประตูผีออก มีมาตราบเท่าทุกวันนี้

"อยู่มาครั้งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จด้วยพระชลพาหนะออกไปประพาส ณ เมืองเพชรบุรี และเสด็จไปประทับแรมอยู่ ณ พระราชนิเวศน์ตำบลโตนดหลวง ใกล้ฝั่งพระมหาสมุทร และที่พระตำหนักนี้เป็นที่พระตำหนักเคยประพาสมหาสมุทรมาแต่ก่อนครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรบรมราชาธิราชบพิตรเป็นเจ้านั้น และสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จด้วยพระที่นั่งมหานาวาท้ายรถ แล่นไปประพาสในท้องพระมหาสมุทรตราบเท่าถึงตำบลเขาสามร้อยยอด และทรงเบ็ดตกปลาฉลามและปลาอื่นเป็นอันมาก แล้วเสด็จกลับมา ณ ตำหนักโตนดหลวง และเสด็จเที่ยวประพาสอยู่ดังนั้นประมาณ 15 เวร จึ่งเสด็จกลับยังกรุงเทพมหานคร"

พระราชกรณียกิจ

ด้านศาสนา

  1. ทรงปฏิสังขรณ์มณฑปสวมรอยพระพุทธบาทสระบุรี สร้างมาแต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งทำเป็นยอดเดียวชำรุด โปรดฯ ให้สร้างใหม่เป็น 5 ยอด รวมทั้งปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งอาราม
  2. ปี พ.ศ. 2249 เกิดอัสนีบาตต้องยอดมณฑปพระมงคลบพิตร เครื่องบนมณฑป ทรุดโทรมพังลงมาต้องพระศอพระมงคลบพิตรหัก โปรดฯ ให้รื้อเครื่องบนออก ก่อสร้างใหม่แปลงเป็นมหาวิหาร
  3. เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธฉายและสันนิษฐานว่าค้นพบในสมัยพระองค์
  4. พระราชกรณียกิจที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องเมืองพิจิตร เพื่อเป็นการรำลึกถึงชาติภูมิของพระองค์สมเด็จพระเจ้าเสือได้โปรดให้สร้างวัดโพธิ์ประทับช้างขึ้นที่เมืองพิจิตร โดยสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร พระมหาเจดีย์ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ มีอาณาบริเวณวัดกว้างขวางใหญ่โต ใช้เวลาสร้าง 2 ปี จึงสำเร็จ เสด็จพระราชดำเนินมาทำการฉลองด้วยพระองค์เอง มีการฉลอง สามวันสามคืน มีมหรสพครึกครื้น และมีผู้คนมากมายมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและ ดูมหรสพ ฉลองเสร็จแล้วทรงพระราชอุทิศถวายเลขข้าพระไว้สำหรับอุปฐากพระอารามถึง 200 ครัวเรือน นับว่าครั้งนั้นวัดโพธิ์ประทับช้างเป็นวัดที่เด่นที่สุดในเมืองพิจิตร

สมเด็จพระเจ้าเสือทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าแตงโมเป็นพระอาจารย์สอนวิชาความรู้แก่พระราชโอรสและพระราชนัดดา

พระองค์มีพระราชโอรสด้วยพระมเหษีใหญ่ ๓ องค์ องค์ที่ ๑ พระนาม สุรินทกุมาร องค์ที่ ๒ พระนามวรราชกุมาร ​องค์ที่ ๓ พระนามว่า อนุชากุมาร ๆ นี้กล้าหาญดุร้ายมาก วัน ๑ รับสั่งให้พวกมหาดเล็กเด็ก ๆ ด้วยกันว่ายข้ามแม่น้ำ พวกมหาดเล็กเกรงอาญาก็พากันว่ายไป ที่มีกำลังน้อยจมตายบ้างก็มี กิติศัพท์ทราบถึงพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ๆ ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้เอาอนุชากุมารไปสำเร็จโทษเสียดังเด็กที่จมน้ำตายนั้นซึ่งคดเคี้ยวให้ตรงและขุดลัดคลองอ้อมเกร็ด

  1. ทรงให้มีการปรับปรุงเส้นทางทางไปพระพุทธบาทสระบุรี ให้เดินทางมาสะดวกยิ่งขึ้น

วรรณกรรมในรัชกาล

  • โคลงกำสรวล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานตรัสอธิบายว่าแต่งในสมัยพระเจ้าเสือ โดยกวีผู้มีราชทินนามว่าศรีปราชญ์เป็นผู้แต่ง แต่มิใช่ศรีปราชญ์บุคคลที่เป็นบุตรของพระโหราธิบดี
  • เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชี้ว่าสมเด็จพระเจ้าเสือทรงนิพนธ์ครั้งยังเป็นออกหลวงสรศักดิ์ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้ว่าร่องรอยในเพลงยาวเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาไม่มีทางที่พระมหากษัตริย์พระองด์ใดของอยุธยาจะทรงทำนายความวิบัติของแผ่นดินพระองค์เอง เชื่อว่าเพลงยาวนี้อาจใช้เพื่อปลุกระดมไพร่พลของอยุธยา ส่วนคำให้การของขุนหลวงหาวัด และคำให้การของชาวกรุงเก่า กล่าวว่า เพลงยาวพยากรณ์เป็นคำพยากรณ์ของพระเจ้าเสือ แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปรากฏความท้ายบทเพลงยาวว่า "พระนารายณ์เป็นเจ้าลพบุรีทำนายกรุง" เนื้อหาเพลงยาวเป็นคำทำนายชะตาบ้านเมือง ถูกเปิดเผยไว้ตามกำแพงวัดและหมู่บ้านในกรุงศรีอยุธยาคล้ายกับใบปลิว คำทำนายถูกแปลไว้ว่า

"ลุแผ่นดินที่ ๓๖ แห่งกรุงศรีอยุทธยา จักเกิดกลียุคครั้งใหญ่ คนชั่วจักนั่งเมือง คนดีจักหายน่าเข้ากล้าจักล้มตาย ทั่วปถพีจักประสพความยากแค้นแสนเขญ โจรผู้ร้ายออกเข่นฆ่าปล้นชิงอาณาประชาราษฎร์ ที่สุดจักเกินมหาสงครามล้างบ้านผลาญเมืองจนพินาศวอดวาย โดยมีเหตุมาแต่หนอนบ่อนไส้ผู้เหนแก่อามิสชักนำศึกเข้าบ้าน แผ่นดินอยุทธยาจักเสียแก่อังวะ จนฉิบหายล่มจมอย่างมิอาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก"

สวรรคต

ทรงพระประชวร

สาเหตุที่ทรงพระประชวรแม้ในพงศาวดารไม่ได้มีกล่าวไว้ แต่พอสันนิษฐานได้ดังนี้

    มูลเหตุที่ 1

พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิพงษ์ (จาด) กล่าวว่า :-

ศักราช ๑๐๗๗ ปีมะแม สัปตศก เสด็จขึ้นไปฉลองพระพุทธบาท ๗ เวนทรงพระประชวร เสด็จทรงพระที่นั่งสุวรรณราเชนทร์เสด็จลงมาถึงกรุง ขึ้นพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ได้ ๗ เวนประชวรหนักลง แปลงสถานลงมาพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์เพลาเช้า...: 226 

พื้นที่พระพุทธบาทเมืองลพบุรีในสมัยอยุธยาเป็นพื้นที่ป่ารกชัฏขนาดใหญ่ เดิมเรียกว่า ดงพญาไฟ (เปลี่ยนชื่อเป็น ดงพญาเย็น ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เนื่องจากทรงพระราชดำริว่าชื่อไม่เป็นมงคล) เต็มไปด้วยอันตรายจากสิงสาราสัตว์ และไข้ป่ามาลาเรีย: 122, 137:เชิงอรรถ ๑๔  การเสด็จประพาสของพระเจ้าเสือครั้งนั้นอาจติดเชื้อไข้ป่าเป็นเหตุให้ทรงพระประชวรลง

    มูลเหตุที่ 2

เกิดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าเสือนั้นทรงโปรดการเสด็จประพาสล้อมช้างเถื่อนในป่า: 221  การประพาสล้อมช้างเถื่อนครั้งล่าสุด พระเจ้าเสือเสด็จประพาสล้อมช้างในป่าเมืองนครสวรรค์: 221  เป็นฤดูฝนตกชุกมีอันตรายด้วยไข้ป่ามาก ทรงตั้งพลับพลาประทับแรมอยู่นานจนล้อมจับช้างเถื่อนได้ 100 เชือกเศษแล้วเสด็จกลับพระนคร พระองค์อาจได้รับเชื้อมา เมื่อพระสังขารและพระวรกายอ่อนแอเพราะทรงพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์เป็นนิจ เปิดโอกาสให้เชื้อกำเริบ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงพระประชวรลง แพทย์หลวงจึงได้วินิจฉัยพระโรคของพระเจ้าเสือว่า เนื่องจากพระองค์ได้ทรงตรากตรำทรงช้างทรงม้าพระที่นั่งประพาสป่าล้อมช้างเถื่อนอยู่เนือง ๆ อาจจะติดเชื้อไข้ป่า พระสังขารและพระพลังมีต้านทานไม่พอ ก็ต้องทรงพระประชวรลง: 221 

พระเจ้าเสืออยู่ในราชสมบัติเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2246 – 2251 เป็นเวลา 5 ปี สวรรคตเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2251 พระชนมายุ 47 พรรษา

การพระบรมศพ

เมื่อ พ.ศ. 2251 (นับปีแบบปัจจุบัน) สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ภายหลังได้สำเร็จโทษพระองค์เจ้าดำแล้ว พระองค์มีพระราชดำริจัดการพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี เมื่อวันพฤหัสบดี ศักราช 1069 ปีกุนนพศก (พ.ศ. 2250): 293:เชิงอรรถที่ ๕  มีรับสั่งให้ช่างพนักงานจัดการพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อ 7 วอ 2 ศอก สูง 2 เส้น 11 วาศอกคืบ (สูง 102.75 เมตร หรือเท่าอาคารสูง 27 ชั้น): 155:เชิงอรรถที่ ๘, ๙  ใช้เวลา 11 เดือนจึงเสร็จ แล้วให้เชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระมหาพิไชยราชรถจึงแห่ขบวนเสด็จโดยรัถยาราชวัติเข้าสู่พระเมรุมาศตามราชประเพณี ให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ มีงานมหรสพและดอกไม้เพลิงต่างๆ โปรดให้มีพระสงฆ์สดัปกรณ์ 10,000 รูป คำรพ 7 วันแล้วจึงถวายพระเพลิง เมื่อดับพระเพลิงแล้วโปรดให้พระสงฆ์สดัปกรณ์ 400 รูป แล้วนำพระอัฐิใส่พระโกศน้อยขึ้นพระราชยานแห่ขบวนมายังพระราชวังแล้วอัญเชิญพระโกศบรรจุท้ายจระนำพระมหาวิหาร ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์

พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน กล่าวว่า :-

ลุศักราช ๑๐๖๙ ปีกุน นพศก สมเดจ์พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชดำหรัสสั่งให้ช่างพนักงานจับการทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อเจ็ดวาสองศอก สูงสองเส้นสิบเบจ์วาศอกคืบ แลการพระเมรุทังปวงนั้น ๑๑ เดือนจึ่งสำเหรจ์ ครั้นถึงผคุณมาศ ศุกรปักขดิฐี ณ วันอันได้มหาพิไชยฤกษ จึ่งพระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทังสองพระองค์ ก็ให้อัฐเชีญพระบรมโกฎิขึ้นประดิษฐาน เหนือพระมหาพิไชยราชรถแล้วแห่เปนขบวนไปโดยรัฐ์ยาราชวัถ เข้าสู่พระเมรุมาสตามหย่างแต่ก่อน แล้วให้ทิ้งทานต้นกามพฤกษ แลมีงานมหรรศภแลดอกไม้เพลีงต่างๆ แลทรงสดัลพระกรณพระสงฆ ๑๐๐๐๐ คำรพเจ็ดวัน แล้วถวายพระเพลีง ครั้นดับพระเพลีงแล้วแจงพระรูป ทรงสลดับพระกรณพระสงฆอีก ๔๐๐ รูป แล้วเก็บพระอัษฐิใส่พระโกฎิน้อยอัญเชีญขึ้นพระราชยาน แห่เป็นขบวนเข้ามายังพระราชวัง จึ่งให้อัญเชีญพระบรมโกฎพระอัษฐิเข้าบันจุะไว้ ณะ ท้ายจรนำพระมหาวิหาร วัดพระศรีสรรเพชญดาราม ๚ะ๛: 293 

พระบรมราชานุสรณ์

สถานที่อันเนื่องด้วยพระนาม

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

มีการนำพระราชประวัติของพระเจ้าเสือมาสร้างเป็นสื่อเพื่อความบันเทิงหลายครั้ง อาทิ

ภาพยนตร์

ละครโทรทัศน์

พงศาวลี

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

    เชิงอรรถ
    บรรณานุกรม
ก่อนหน้า สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ถัดไป
สมเด็จพระเพทราชา
(พ.ศ. 2231-2246)
สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี  สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี 
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
(พ.ศ. 2246-2251)
สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี  สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9
(พ.ศ. 2251-2275)
สมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี  สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี 
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลแห่งกรุงศรีอยุธยา
(ราชวงศ์บ้านพลูหลวง)

(พ.ศ. 2231-2246)
สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี  เจ้าฟ้าเพชร

Tags:

สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ครองราชย์สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี พระอุปนิสัยสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี พระราชกรณียกิจสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี สวรรคตสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ในวัฒนธรรมสมัยนิยมสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี พงศาวลีสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ดูเพิ่มสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี อ้างอิงสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีคำให้การชาวกรุงเก่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ไทยราชวงศ์บ้านพลูหลวงสมเด็จพระสรรเพชญ์อาณาจักรอยุธยา

🔥 Trending searches on Wiki ไทย:

ทวีปเอเชียชาวมอญโปเตโต้ช่องแคบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตเดอะพาวเวอร์พัฟฟ์เกิลส์ธนินท์ เจียรวนนท์อินนาลิลลาฮิวะอินนาอิลัยฮิรอญิอูนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยราชวงศ์จักรีเร็ว..แรงทะลุนรก 10ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิรายชื่อตอนในนารูโตะ ตำนานวายุสลาตันจีรนันท์ มะโนแจ่มอแมนด้า ออบดัมณัฐธิชา นามวงษ์ดวงจันทร์เผ่าเพชร เจริญสุขจังหวัดนครสวรรค์สีประจำวันในประเทศไทยหมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทยระบบต่าย อรทัยมอรมอนสมศักดิ์ เทพสุทินโลตัส (ห้างสรรพสินค้า)อัมรินทร์ นิติพนไป๋ ลู่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีรายชื่อตอนในเป็นต่อ (ช่องวัน)FBสกีบีดีทอยเล็ตกฎประตูทีมเยือนแคพิบาราสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566น้ำอสุจิรายชื่อมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทยเรียงตามการสถาปนาไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซินรายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวราศีพฤษภโชกุน (ละครโทรทัศน์ปี 2024)ศาสนาอิสลามสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกกองทัพเรือไทยพิมพ์ภัทรา วิชัยกุลพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยปภาดา กลิ่นสุมาลย์สุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)ธงประจำพระองค์นนท์ อัลภาชน์ยศทหารและตำรวจไทยบรรดาศักดิ์อังกฤษประเทศสวิตเซอร์แลนด์พ.ศ. 2565ก็อดซิลล่า ปะทะ คองวังจักรพงษ์วัดไร่ขิงรายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรนเจอส์ท้องที่ตำรวจ69 (ท่วงท่าเพศสัมพันธ์)คิม ซู-ฮย็อนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสหภาพโซเวียตรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิทสมณศักดิ์ศุภวุฒิ เถื่อนกลางพระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเด่นคุณ งามเนตรรามาวดี นาคฉัตรีย์ณัฐพล นาคพาณิชย์สันติอโศกสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวียูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2023–24ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ🡆 More