พรรคเพื่อไทย (ย่อ: พท.) เป็นพรรคการเมืองไทยที่ก่อตั้งโดยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยมีบทบาททางการเมืองแทนที่พรรคพลังประชาชนซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.
2551 หลังพบว่ากรรมการบริหารพรรคมีความผิดฐานทุจริตการเลือกตั้ง โดยที่พรรคพลังประชาชนก็ได้เข้ามีบทบาททางการเมืองแทนที่พรรคเดิมของทักษิณ คือพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เนื่องจากละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยถูกจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 มี บัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ และ โอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนแรก โดยพรรคเพื่อไทยในช่วงแรกเป็นพรรคที่ได้รับการจดทะเบียนไว้เผื่อจะมีอุบัติเหตุทางการเมือง เช่น การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นต้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยในช่วงแรกถูกจัดว่าเป็น "พรรคสำรอง" ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้ประชุมคณะกรรมการบริหารเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 มีมติให้ สุชาติ ธาดาธำรงเวช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลัง คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551 สมาชิกพรรคพลังประชาชนส่วนมากได้ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยจึงจัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2551 ขึ้น โดยมีวาระสำคัญในการลงมติเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีการเสนอชื่อ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่เพียงชื่อเดียว
ต่อมา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกจับตามองในช่วงแรกว่าจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ถัดจากยงยุทธนั้น ทว่าเธอดำรงตำแหน่งกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแทน ซึ่งไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค โดยมีการวิเคราะห์จากนักวิชาการและสื่อมวลชนว่า เพื่อป้องกันการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ภายหลังจากที่ยงยุทธลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ได้มีการคัดเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ โดยมีการเสนอชื่อ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งผู้เสนอชื่อคือ พันเอก อภิวันท์ วิริยะชัย โดยจารุพงศ์ได้รับการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในที่สุด
ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2551 พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แข่งกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ ผลปรากฏว่าอภิสิทธิ์ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 198 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง
พรรคเพื่อไทยมีมติยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ยังมีมติเสนอชื่อ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน โดยรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีและถอดถอน 5 คนคือ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะพบประเด็นการบริหารที่ผิดพลาดและทุจริตประพฤติมิชอบ
และในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พ.ศ. 2553 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สส.สัดส่วนของพรรคได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ ขณะเดียวกันที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตัดสินใจไม่ร่วมอภิปราย อ้างว่าอยากให้มิ่งขวัญได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่ และในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 158 กำหนดไว้ว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ต้องเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วย จึงเท่ากับว่าเขามีโอกาสที่จะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แม้จะเป็นเพียงในขั้นตอนของกฎหมายก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ถูกเสนอชื่อในการเลือกตั้งครั้งที่เกิดขึ้นในปีถัดมา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเปิดตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
และผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงทั้งหมด 15,744,190 เสียง ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 265 คน เกินกึ่งหนึ่งของสภา จึงได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล รวมจำนวน 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน, พรรคพลังชล, พรรคมหาชน , และ พรรคประชาธิปไตยใหม่ และชัยชนะครั้งนี้ ส่งผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งประเทศไทยคนแรกในประวัติศาสตร์
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 พรรคเพื่อไทยได้ส่งยิ่งลักษณ์เป็นผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรค ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 อีกครั้ง แทนที่ข่าวลือว่าจะส่ง พงศ์เทพ เทพกาญจนา พร้อมกับนำสมาชิกอดีตพรรคไทยรักไทย และ พรรคพลังประชาชน ซึ่งพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย เช่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ภูมิธรรม เวชยชัย, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกจากกลุ่มมัชฌิมาที่ย้ายจากพรรคภูมิใจไทยกลับมาอยู่พรรค และพร้อมจะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย เช่น สมศักดิ์ เทพสุทิน
แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะจากการชุมนุมของ กปปส. และนำมาซึ่งรัฐประหารในปีเดียวกัน
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 พรรคเพื่อไทยประกาศรายชื่อผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคทั้งหมด 3 คน ได้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, และ ชัยเกษม นิติสิริ
หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศการเลือกตั้ง โดยใช้รูปแบบบัตรใบเดียว และเปลี่ยนสูตรคำนวณจากแบบเดิมที่เคยใช้กันมา ซึ่งจะมีผลให้พรรคใหญ่ได้จำนวน สส.น้อยลง พรรคเพื่อไทยจึงตัดสินใจใช้ยุทธการแตกแบงค์พัน กล่าวคือ สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนย้ายไปจัดตั้งพรรคไทยรักษาชาติ โดยมี ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีต สส.ขอนแก่น ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และนักการเมืองที่ย้ายมา ล้วนเป็นระดับแกนนำของพรรคเพื่อไทย ด้วยกติกาการเลือกตั้งที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้พรรคขนาดใหญ่อย่างเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติจึงมีหน้าที่เก็บคะแนนเขตที่เพื่อไทยแพ้เลือกตั้ง เพื่อนำคะแนนดิบไปแลกจำนวน สส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่จากการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ให้เป็นผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ จึงทำให้พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบลง
และผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครไปเพียง 250 เขต จากทั้งหมด 350 เขต ได้คะแนนเสียงทั้งหมด 7,881,006 เสียง ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 136 คน ซึ่งล้วนเป็น สส. แบบแบ่งเขต และไม่มี สส.แบบบัญชีรายชื่อแม้แต่รายเดียว แต่ถึงอย่างนั้น พรรคเพื่อไทยก็ยังคงรักษาตำแหน่งพรรคอันดับหนึ่งไว้ได้ และได้รวมเสียงสมาชิกสภากับ พรรคอนาคตใหม่, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเศรษฐกิจใหม่, พรรคเพื่อชาติ และ พรรคพลังปวงชนไทย
และเนื่องจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และพรรคร่วมได้เคยประกาศจุดยืนไว้ว่า จะส่งผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่ง สส. เท่านั้น เพื่อรักษาจุดยืนในวิถีประชาธิปไตย และตอบโต้วิธีการของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งส่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ถูกเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลงสมัคร สส. ในนามของพรรค แต่เพราะผู้ได้รับเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยจาก 2 ใน 3 คนที่ได้ลงสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อนั้น ไม่มีคะแนนบัญชีรายชื่อในพรรค ทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อตามที่คาดหวังไว้ได้ จึงทำให้พรรคร่วมทั้ง 7 พรรคมีมติเสนอชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคและผู้ถูกเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคอนาคตใหม่แทน แต่ทว่าคนแนนเสียงของพรรคร่วมฝั่งประชาธิปไตย แพ้คะแนนเสียงของประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพ่วงคะแนนจากสมาชิกวุฒิสภาอย่างขาดลอย ด้วยคะแนน 244 ต่อ 500 คะแนน
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามอิสระ โดยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยตัดสินใจจะไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไปตัดคะแนนกัน อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคในขณะนั้น พยายามผลักดันให้ส่งผู้สมัคร
วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563 มีรายงานว่า มีสมาชิกคนสำคัญของพรรคประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคหลายคน เช่น สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563 มีนักวิชาการวิเคราะห์ว่าสะท้อนภาพลักษณ์ไม่มีเอกภาพในพรรคเพื่อไทย อาจเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมรับการเลือกตั้งท้องถิ่นในช่วงปลายปีเดียวกัน
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 สุดารัตน์ลาออกจากพรรคเพื่อไทย โดยระบุเหตุผล 3 ประการ ได้แก่ 1. ความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 2. มีการตั้งกรรมการและอนุกรรมการโดยกีดกันทีมของเธอ และ 3. การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ที่ไม่อนุญาตให้เธอลงพื้นที่ช่วยหาเสียง ต่อมาเธอแยกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทย
ต่อมาในวันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งในงานมีการแสดงวิสัยทัศน์ของแกนนำพรรค ตลอดจนมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการเดินแฟชั่นผ้าไหมพื้นบ้านโดยตัวแทนสมาชิกพรรค และงานในวันนั้นมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์ สมพงษ์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกลางที่ประชุมทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ พร้อมกับได้มีการเปิดตัวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของทักษิณ เป็นประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรค และเปิดตัวสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นผู้อำนวยการพรรค ก่อนจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือก ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคยังเป็นของประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยในปีเดียวกันนั้นพรรคยังประกาศจุดยืนแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยเปิดตัวโครงการ ครอบครัวเพื่อไทย โดยแต่งตั้งแพทองธาร ชินวัตร เป็น หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยนิยามว่า "ครอบครัวเพื่อไทย" เป็นแนวคิดที่พรรคต้องการแก้ปัญหาการปิดกั้นโอกาสการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน นอกจากนี้ยังกระตุ้นผู้สนับสนุนพรรคให้เลือกพรรคเพื่อไทยจนชนะขาดลอย (landslide) ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ทั้งนี้แพทองธารยังไม่รับว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ยอมรับว่าทักษิณเป็นที่ปรึกษามาโดยตลอด ในปีเดียวกัน ยังมีข่าวผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลโต้คารมกันในเรื่องของอุดมการณ์รวมถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้านชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุว่า "สรุปตรงไปตรงมา พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย มีขีดจำกัดเพราะสู้ไปกราบไป พรรคอนาคตใหม่จึงต้องอุบัติขึ้นมา" ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและบิดาของแพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า แนวทางของพรรคเพื่อไทยเป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสม ส่วนถ้าใครชอบแบบ "เอ็กซ์ตรีม" ให้เลือกพรรคก้าวไกล
นอกจากนี้มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ หลังร่วมมือกันไม่เข้าร่วมประชุมจนส่งผลให้สูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อแบบ "สูตรหาร 500" ต้องตกไป และกลับไปใช้สูตรหาร 100 โดยปริยาย ในเรื่องนี้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยบางคนกล่าวหาพรรคก้าวไกลที่ไม่ใช่วิธีการไม่เข้าร่วมประชุมเช่นกันว่าต้องการสูตรหาร 500 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 หัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ปิดช่องจับมือกับพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาล หากยอมรับเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ 1. มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน 2. ไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนเผด็จการ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี และ 3. การทำงานร่วมกัน โดยการเอานโยบายมาสอดประสานเป็นนโยบายรัฐบาล
ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรค พร้อมกับรับทราบการลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคของ ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เหรัญญิกพรรค และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566
ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงทั้งหมด 10,962,522 เสียง ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 141 คน แบบแบ่งเขต 112 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 29 คน อยู่ในอันดับ 2 ของการเลือกตั้ง รองจากพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนเสียง 14,438,851 เสียง มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 151 คน และเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ที่พรรคไม่สามารถชนะคะแนนมาเป็นลำดับที่หนึ่งของการเลือกตั้งได้ ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้ง แกนนำพรรคได้ประกาศจุดยืนสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคอับดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยได้เข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจของพรรคก้าวไกล พร้อมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมที่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้ 3 พรรค และพรรคที่ได้รับเลือกตั้งใหม่อีก 3 พรรค
21 กรกฎาคม พรรคก้าวไกลประกาศมอบสิทธิ์ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน หลังจากที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว และรัฐสภามีมติห้ามเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำในสมัยประชุมเดียวกัน โดยเลขาธิการพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน กล่าวว่ามีองคาพยพของกลุ่มการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และยกเลิกบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคก้าวไกลทำขึ้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยประกาศจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย จากนั้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม มีพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยเพิ่มอีก 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคประชาชาติ, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคเพื่อไทรวมพลัง, พรรคพลังสังคมใหม่, และ พรรคท้องที่ไทย จากนั้นมีพรรคที่ประกาศร่วมรัฐบาลเพื่อไทยเพิ่มคือ พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนพรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ 314 คน
ในวันที่ 22 สิงหาคม เศรษฐาได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้ 482 คะแนน จากจำนวนสมาชิกที่มาลงคะแนนทั้งหมด 728 คน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แทนที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการในช่วงเย็นของวันถัดมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยมีสมาชิกจากพรรคเพื่อไทยมากที่สุด คือ 17 คน 20 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึงเศรษฐาที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พรรคเพื่อไทยได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่แทนที่ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อคำพูดที่ตนหาเสียงไว้ โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า แพทองธาร ชินวัตร จะเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนเลขาธิการพรรคจะเป็นของสรวงศ์ เทียนทอง บุตรชายของเสนาะ เทียนทอง และโฆษกพรรคเป็นของ ดนุพร ปุณณกันต์ และที่ประชุมมีมติเลือก แพทองธาร, สรวงศ์ และดนุพร ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามกระแสข่าว
ลำดับ | รูป | ชื่อ | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
1 | บัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ | 20 กันยายน พ.ศ. 2550 | 20 กันยายน พ.ศ. 2551 | |
2 | สุชาติ ธาดาธำรงเวช | 21 กันยายน พ.ศ. 2551 | 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 | |
3 | ยงยุทธ วิชัยดิษฐ | 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551 | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | |
- | วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการ) | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | |
4 | จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557 | |
- | วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการ) | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557 | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561 | |
5 | วิโรจน์ เปาอินทร์ | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561 | 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | |
- | ปลอดประสพ สุรัสวดี (รักษาการ) | 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | |
6 | สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564 | |
7 | ชลน่าน ศรีแก้ว | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564 | 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566 | |
- | ชูศักดิ์ ศิรินิล (รักษาการ) | 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566 | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | |
8 | แพทองธาร ชินวัตร | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน |
ลำดับ | รูป | รายนาม | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
1 | โอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ | 20 กันยายน พ.ศ. 2550 | 20 กันยายน พ.ศ. 2551 | |
2 | สุณีย์ เหลืองวิจิตร | 21 กันยายน พ.ศ. 2551 | 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 | |
7 ธันวาคม พ.ศ. 2551 | 14 กันยายน พ.ศ. 2553 | |||
3 | สุพล ฟองงาม | 15 กันยายน พ.ศ. 2553 | 20 เมษายน พ.ศ. 2554 | |
4 | จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ | 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | |
5 | ภูมิธรรม เวชยชัย | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | |
6 | อนุดิษฐ์ นาครทรรพ | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | 26 กันยายน พ.ศ. 2563 | |
7 | ประเสริฐ จันทรรวงทอง | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | |
8 | สรวงศ์ เทียนทอง | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน |
| ||
หัวหน้าพรรค | ||
แพทองธาร ชินวัตร | ||
รองหัวหน้าพรรค | ||
ชูศักดิ์ ศิรินิล | จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ | โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย |
จิราพร สินธุไพร | พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ | เผ่าภูมิ โรจนสกุล |
เลขาธิการพรรค | ||
สรวงศ์ เทียนทอง | ||
รองเลขาธิการพรรค | ||
ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ | ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ | ศรัณย์ ทิมสุวรรณ |
เหรัญญิกพรรค | นายทะเบียนสมาชิกพรรค | โฆษกพรรค |
ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ | ณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช | ดนุพร ปุณณกันต์ |
กรรมการบริหารพรรค | ||
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ | วรวงศ์ วรปัญญา | พชร จันทรรวงทอง |
นิกร โสมกลาง | จเด็ศ จันทรา | พลนชชา จักรเพ็ชร |
นิกร โสมกลาง | ธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล | จเด็ศ จันทรา |
พลนชชา จักรเพ็ชร | ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ | สรัสนันท์ อรรณนพพร |
ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง สามารถกวาดที่นั่ง สส. 265 คน ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปกว่า 100 คน พร้อมกับคว้าคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งและสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 พรรคได้รับเลือกตั้งจำนวน 136 ที่นั่ง มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร แต่มิได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยได้เสนอแพทองธาร ชินวัตร บุตรคนสุดท้องของทักษิณ ชินวัตร, เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการของ บมจ.แสนสิริ และชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยของพรรค โดยก่อนหน้านี้พรรคมีการทาบทาม สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ซึ่งก่อตั้งโดยทักษิณ ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคด้วย แต่สมชัยให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ว่ายังไม่สนใจงานการเมือง กระทั่งวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2566 ทางพรรคเพื่อไทยได้เปิดตัวบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยของพรรคทั้ง 3 คนดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้มีเพียงชัยเกษมเท่านั้นที่ลงสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | สถานภาพพรรค | ผู้นำเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|---|
2554 | 265 / 500 | 15,752,470 | 48.41% | 265 | แกนนำจัดตั้งรัฐบาล | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร |
2557 | การเลือกตั้งเป็นโมฆะ | |||||
2562 | 136 / 500 | 7,881,006 | 22.16% | 129 | ฝ่ายค้าน | สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ |
2566 | 141 / 500 | 10,962,522 | 27.74% | 5 | แกนนำจัดตั้งรัฐบาล | แพทองธาร ชินวัตร |
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2552 พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง ยุรนันท์ ภมรมนตรี ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยยุรนันท์ได้รับหมายเลข 10 สำหรับผลการเลือกตั้ง ยุรนันท์ได้รับ 611,669 คะแนน เป็นอันดับที่ 2
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2556 พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง พงศพัศ พงษ์เจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่ง โดยในการเลือกตั้ง พงศพัศได้รับหมายเลข 9 สำหรับผลการเลือกตั้ง พงศพัศได้รับ 1,077,899 คะแนน เป็นอันดับที่ 2
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยมีมติไม่ส่งผู้สมัครในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้เสมือนมีตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตยที่อาสาสมัครลงแข่งขันผู้ว่าฯ กทม. อยู่แล้ว (สื่อถึง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 ซึ่งลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะนักการเมืองอิสระ) หากพรรคส่งผู้สมัครในนามพรรคจะทำให้เป็นการตัดคะแนนกันเอง จึงตัดสินใจไม่ส่งตัวแทน แต่ยังคงส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ในนามพรรคทั้ง 50 เขตเช่นเดิม เพื่อทำงานร่วมกับชัชชาติ
การเลือกตั้ง | ผู้สมัคร | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|
2552 | ยุรนันท์ ภมรมนตรี | 611,669 | 29.72% | พ่ายแพ้ |
2556 | พงศพัศ พงษ์เจริญ | 1,077,899 | 40.97% | พ่ายแพ้ |
2565 | ไม่ส่งผู้สมัคร (สนับสนุน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ลงสมัครในฐานะนักการเมืองอิสระแทน) |
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|
2553 | 14 / 61 | 14 | เสียงข้างน้อย | ||
2565 | 21 / 50 | 620,009 | 26.77% | 7 | เสียงข้างมากร่วมกับพรรคก้าวไกล |
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|
2553 | 65 / 361 | 65 | เสียงข้างน้อย |
ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในประเทศไทย พ.ศ. 2563 พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัครในนามของพรรคอย่างเป็นทางการ 25 จังหวัด ได้รับเลือกตั้งทั้งหมด 9 จังหวัด
ภายหลังมีการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ทำให้ตอนนี้มีนายกฯ อบจ.สังกัดพรรคเพื่อไทยรวมทั้งสิ้น 11 คน ดังนี้
จังหวัด | นาม | หมายเหตุ |
---|---|---|
กาฬสินธุ์ | เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล | เลือกตั้งซ่อม 14 ส.ค. 65 |
เชียงใหม่ | พิชัย เลิศพงศ์อดิศร | |
น่าน | นพรัตน์ ถาวงศ์ | |
แพร่ | อนุวัธ วงศ์วรรณ | |
มุกดาหาร | จิตต์ ศรีโยหะมุกดาธนพงศ์ | |
ยโสธร | วิเชียร สมวงศ์ | |
ร้อยเอ็ด | เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ | เลือกตั้งซ่อม 25 ก.ย. 65 |
ลำปาง | ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร | |
ลำพูน | อนุสรณ์ วงศ์วรรณ | |
อุดรธานี | วิเชียร ขาวขำ | |
อุบลราชธานี | กานต์ กัลป์ตินันท์ |
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 พรรคได้เปิด "สถาบันเยาวชนเพื่อไทย" โดยแต่งตั้งให้ ณหทัย ทิวไผ่งาม เป็นผู้อำนวยการสถาบัน ต่อมาได้มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อไทยพลัส (เพื่อไทยPLUS+) โดยถูกวางกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างพื้นที่การเมืองของคนรุ่นใหม่ สู้กับอดีตพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นพรรคก้าวไกลในภายหลัง โดยจัดกิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะ อาทิ จัดเสวนาเพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม โครงการเพื่อไทยยุคใหม่แข็งแกร่งเข้าถึงประชาชน โครงการอีสปอร์ตที่จะนำเสนอทิศทางในประเทศไทย และรายการเพื่อไทยพลัสออนไลน์ เสนอบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
กระทั่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 มีการยุติกลุ่มเพื่อไทยพลัส และมีกลุ่มใหม่เข้ามาแทนที่ คือ “คณะทำงานเยาวชนและคนรุ่นใหม่” เพื่อเป็นที่รวมตัวของคนรุ่นใหม่ในพรรค และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ โดยมี จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน โครงสร้างการทำงานจะขึ้นตรง และรับคำสั่งจากคณะกรรมการบริหารพรรค
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563 มีการจัดตั้งกลุ่มการเมือง "CARE คิดเคลื่อนไทย" ที่วางแผนที่จะแยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยมี 7 สมาชิกเริ่มต้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนักการเมืองที่เคยทำงานร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในยุคของทักษิณ ชินวัตร มาแล้วทั้งสิ้น ประกอบด้วย
โดยสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ให้สัมภาษณ์ถึงการขับเคลื่อนกลุ่มแคร์ หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่า การทำงานของกลุ่มไม่ใช่ลักษณะแบบพรรคการเมือง โดยจะเน้นเรื่องประชาสังคมที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม แต่การขับเคลื่อนสังคมที่ผ่านมาจะเน้นประเด็นเฉพาะเรื่อง มองว่าจุดอ่อนการทำงานแบบเดิมคือ ไม่สามารถเห็นภาพรวม ทำให้ข้อเสนอต่างๆ ไม่รอบด้าน แต่การทำงานของกลุ่มแคร์ จะคิดในองค์รวม โดยไม่จำกัดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่คิดทุกเรื่องที่เป็นองค์ประกอบของสังคม ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การกระจายอำนาจ การลดความเหลื่อมล้ำ จะไม่ใช่แค่คิดแล้วเสนอ แต่ต้องขับเคลื่อน ใช้เครือข่ายมาเชื่อมโยงการขับเคลื่อนเกื้อหนุนการทำงานกัน ไม่มีลำดับชั้น ทุกคนต้องมาฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และต้องครอบคลุมเครือข่ายทั้งประเทศ
การดำเนินการของกลุ่มแคร์นั้น นอกจากจะใช้โซเชียลมีเดียแล้ว ยังมีการใช้ระบบถ่ายทอดสดผ่านยูทูปและคลับเฮาส์ โดยมีแขกรับเชิญคนสำคัญอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มาร่วมรายการอยู่บ่อยครั้ง
ภายหลังการเปิดตัวได้มีการวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย ซึ่งดำเนินโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลักษณะว่าไม่ใช่พรรคที่เป็นความหวังของประชาชนอีกแล้ว ทั้งยังจะเป็นพรรคต่ำร้อย
แต่ภายหลังจากที่มีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 กลุ่ม CARE ได้รับเชิญให้กลับมาร่วมทำงานกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยเปิดตัวโครงการ “ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่หัวใจเดิม” ซึ่งเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยออกแบบมาเพื่อลดข้อกำหนดทางกฎหมาย ให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้อย่างแท้จริง มีการเปิดรับให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทยได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และต้องการให้สมาชิกครอบครัวเพื่อไทยที่ได้กระจัดกระจายไปก่อนหน้านี้ได้กลับมารวมตัวกัน โดยมอบหมายให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565 มีการจัดงาน “ครอบครัวเพื่อไทย ต้อนรับ ‘เขา’ กลับบ้าน” เพื่อต้อนรับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับมาเป็นร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย โดยณัฐวุฒิเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เพื่อเป็นบุคลากรหลักในการทำกิจกรรมที่จัดขึ้นในนามครอบครัวเพื่อไทย จากนั้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยแต่งตั้งเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยให้มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาแก่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คณะทำงานของพรรคที่รับผิดชอบโครงการดังกล่าว และดำเนินการอื่นใดตามที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยมอบหมาย
หลังจากพรรคเพื่อไทยนำพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาล ณัฐวุฒิได้ประกาศยุติบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับ |
ชนวนเหตุ |
พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง |
องค์กร กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้อง |
การเมืองไทย • ประวัติศาสตร์ไทย |
วรชัย เหมะ และ นิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับ นปช. เป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... (ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ) ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติวาระแรกในเดือนสิงหาคม 2556 ต่อมาในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ได้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งมีบุคคลสำคัญ เช่น ถาวร เสนเนียม, สนธิ บุญยรัตนกลิน, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น
ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการพิจารณา 35 คน ซึ่งจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวกลับมายังสภาฯ เพื่อพิจารณาในวาระสองและสาม คณะกรรมาธิการส่งร่างกฎหมายที่ได้รับการทบทวนแล้วเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ร่างกฎหมายดังกล่าวเปลี่ยนจากเดิมที่จะนิรโทษกรรมให้เฉพาะแก่ผู้ชุมนุม ไม่รวมถึงแกนนำการชุมนุม และผู้สั่งการ ซึ่งรวมถึงผู้นำรัฐบาลและทหาร เป็น "นิรโทษกรรมเหมาเข่ง" ซึ่งรวมการนิรโทษกรรมให้ทั้งแกนนำการชุมนุม และผู้สั่งการด้วย ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2556 ความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรมนี้รวมข้อกล่าวหาฉ้อราษฎร์บังหลวงของทักษิณ ตลอดจนข้อกล่าวหาฆ่าคนของอภิสิทธิ์และสุเทพด้วย ต่อมา เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 นาย นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภาได้มีมติไม่รับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อย่างเป็นเอกฉันท์ 141 เสียง ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ถูกยับยั้งไว้ 180 วัน
พรรคเพื่อไทยมีมติขับ สส.ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค 2 ราย ได้แก่
6 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต นวัธ เตาะเจริญสุข สส.ขอนแก่นในขณะนั้น ข้อหาจ้างวานฆ่านายสุชาติ โคตรทุม อดีตปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ. 2556 ก่อนจะลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตในเวลาต่อมา ส่งผลให้สมาชิกภาพ สส. ของนวัธสิ้นสุดทันที และมีการจัดเลือกตั้งซ่อมในเวลาต่อมา
4 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 มีผู้ใช้เฟซบุ๊คคนหนึ่งได้แสดงตนออกมาว่า ตนเคยถูกมนัสนันท์ หลีนวรัตน์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง สส.ปทุมธานี ทำร้ายร่างกายเมื่อปี พ.ศ. 2549 จนเป็นผู้ป่วยติดเตียงเป็นเวลา 2 ปี และมีแผลเป็นบริเวณกะโหลกที่ยุบตัวจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2565 มนัสนันท์ก็มีคดีทำร้ายร่างกายภรรยาพนักงานขับรถเทศบาลตำบลธัญบุรี จนกระดูกแขนแตก โดยผู้เสียหายแจ้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแค่โทรศัพท์มาขอโทษเท่านั้น ในเวลาต่อมา มนัสนันท์ได้ออกมาชี้แจง และยอมรับว่าตนได้กระทำจริง โดยคดีแรกได้รับโทษจากสถานพินิจจนครบกำหนดแล้ว ส่วนคดีที่สองชี้แจงว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งตนเองไม่มีเจตนาทำร้ายหญิงผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุได้ยอมรับผิดและชดใช้ค่าเสียหาย รวมไปถึงศาลได้มีคำพิพากษาให้รอการลงโทษ และคดีถึงที่สุดแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้กล่าวอีกว่า ประเด็นของตนได้มีการเผยแพร่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องของการหวังผลทางการเมือง เพื่อต้องการทำลายคะแนนนิยมของตนหรือไม่ ซึ่งข่าวที่กล่าวมาข้างต้นทำให้พรรคเพื่อไทยถูกตั้งคำถามว่า มีมาตรฐานคัดผู้สมัครอย่างไร ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคในขณะนั้น ออกมาแถลงว่า เข้าใจในความรู้สึกของคู่กรณี แต่เรื่องผู้สมัครของพรรคได้โพสต์แสดงความรับผิดชอบ ความรู้สึก ขอโทษในเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรื่องนี้ตนคิดว่าประชาชนให้อภัย ขณะที่เป็น สจ.ก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนพรรคได้คัดเลือกให้เป็นผู้สมัคร ฉะนั้นพรรคมั่นใจว่าเรื่องดังกล่าวไม่กระทบการเลือกตั้ง
15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 มีเอกสารที่นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครั้งที่ 1 ปรากฏว่ามี ว่าที่ สส.ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขต ที่มีเรื่องร้องคัดค้าน มีรายงานว่า เอกสารดังกล่าวอาจเป็นเอกสารสรุปของฝ่ายปฏิบัติการ แจ้งเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ที่ยังไม่ได้นำเสนอต่อที่ประชุม กกต. โดยพรรคเพื่อไทยถูกร้องคัดค้านทั้งสิ้น 20 คน ซึ่งถือเป็นอันดับสองรองลงมาจากพรรคภูมิใจไทย โดยมีดังนี้
ลำดับ | รายชื่อ สส. | เขตที่ลงเลือกตั้ง | ข้อกล่าวหา | สถานะปัจจุบัน |
---|---|---|---|---|
1 | อัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ | กาญจนบุรี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ | กาญจนบุรี เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | ศักดิ์ชาย ตันเจริญ | ฉะเชิงเทรา เขต 3 | ใช้อาชีพพิธีกรของ คชาภา ตันเจริญ พี่ชายของตน ปราศรัยหาเสียงเอื้อประโยชน์ จูงใจคนลงคะแนนเลือกตั้ง | ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง) |
4 | ศิวะ พงศ์ธีระดุลย์ | ชัยภูมิ เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
5 | ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ | นครพนม เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
6 | มนพร เจริญศรี | นครพนม เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
7 | สมเกียรติ ตันดิลกตระกูล | นครราชสีมา เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
8 | อภิชา เลิศพชรกมล | นครราชสีมา เขต 10 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
9 | นรเสฎฐ์ ศิริโรจนกุล | นครราชสีมา เขต 12 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
10 | ไชยวัฒนา ติณรัตน์ | มหาสารคาม เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
11 | เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล | เลย เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
12 | ศรัณย์ ทิมสุวรรณ | เลย เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
13 | สมเจตน์ แสงเจริญรัตน์ | เลย เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
14 | ธเนศ เครือรัตน์ | ศรีสะเกษ เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
15 | สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ | ศรีสะเกษ เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
16 | วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ | อุบลราชธานี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
17 | กิตติ์ธัญญา วาจาดี | อุบลราชธานี เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
18 | สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ | อุบลราชธานี เขต 7 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
19 | พัฒนา สัพโส | สกลนคร เขต 4 | โพสต์หาเสียงเกินเวลาในเฟซบุ๊ก | ยังดำรงตำแหน่ง |
20 | สรวงศ์ เทียนทอง | สระแก้ว เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง |
แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ประกาศรับรอง สส. ทั้ง 500 คนก่อน โดยได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยพร้อมกับพรรคการเมืองอีก 10 พรรคจำนวน 314 เสียงได้แถลงข่าวร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่รัฐสภา พร้อมเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคต่อรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 ในวันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งในพรรคการเมืองที่ร่วมจัดตั้งนี้ นอกจากจะมีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ถูกวิจารณ์การเรื่องควบคุมสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในระดับที่ไม่เป็นที่พอใจ และเคยถูกพรรคเพื่อไทยโจมตีด้วยการจัดแคมเปญ "ไล่หนูตีงูเห่า" ในภาคอีสานตอนล่าง โดยเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 แล้ว ยังมีพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กระทำการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นอีกด้วย
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยติดเทรนด์ในเอ็กซ์ เช่น #เพื่อไทยตระบัดสัตย์ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว และ #ชลน่านลาออกกี่โมง เพื่อเรียกร้องให้นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกจากหัวหน้าพรรคหลังจากเคยประกาศเมื่อตอนหาเสียงว่าจะลาออกหากจับมือกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่นิยมชมชอบพรรคเพื่อไทยและสมาชิก นปช. จำนวนหนึ่ง ออกมาเทของ และทำลายของสะสมที่เกี่ยวข้องกับ นปช. และมีการประท้วงจากกลุ่มผู้ชุมนุมทะลุวังที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยการสาดเลือดหมู จุดไฟเผาหุ่น
นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคเพื่อไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจจัดตั้งรัฐบาลที่ทำร่วมกับพรรคก้าวไกล แล้วนำพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลแทน ได้ทยอยยุติการร่วมงานทางการเมืองกับพรรค ดังนี้
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.00 น. นายแพทย์ชลน่าน ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบตามที่เคยประกาศไว้ ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคที่เหลือพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังรักษาการคณะกรรมการบริหารพรรคต่อไป ยกเว้นหัวหน้าพรรค ที่คณะกรรมการบริหารพรรคได้มีมติแต่งตั้งให้ รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค ขึ้นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน และกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการพ้นจากตำแหน่งหลังจากการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566
พรรคเพื่อไทยเคยมีสมาชิกพรรคที่ลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือย้ายไปเป็นกรรมการบริหารพรรค โดยมีดังนี้
พรรคการเมืองที่แยกจากเพื่อไทย เพื่อแก้ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 มีดังนี้
This article uses material from the Wikipedia ไทย article พรรคเพื่อไทย, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.