การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ (Party-list proportional representation) หรือ ปาร์ตีลิสต์ เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบหนึ่งของไทยตามที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นอกจากระบบแบ่งเขต โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยเลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว โดยถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง
เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ |
ในการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองต้องจัดทำบัญชีพรรคการเมืองละ 1 บัญชี ไม่เกินบัญชีละ 100 คน โดยมีหลักเกณฑ์ตามลำดับ ดังนี้
ประชาชนผู้เลือกตั้งจะพิจารณาเลือกพรรคที่ชื่นชอบจากบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค และเลือกได้คนละ 1 พรรคการเมือง การคำนวณหาผู้ได้รับเลือกตั้งในกรณีของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จะคำนวณจากสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้รับเลือกในแต่ละพรรคการเมือง โดยมีวิธีดังนี้คือ
มีพรรคการเมืองลงสมัคร 7 พรรค ได้แก่พรรค ก., ข., ค., ง., จ., ช., ซ. ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบอบบัญชีรายชื่อผลออกมาเป็นดังนี้
รวมคะแนนของทุกพรรค ได้ 60 ล้านคะแนน จำนวนร้อยละ 5 ของคะแนนทั้งหมดจะเป็น 3 ล้านคะแนน
เพราะฉะนั้นคะแนนของ พรรค จ., ช., ซ. จะไม่ถูกนำมาคิดสัดส่วนสส.เพราะคะแนนไม่ถึงร้อยละ 5
3 พรรคที่ถูกตัดไป มีคะแนนรวมกัน 3 ล้านคะแนน หักลบออกจาก 60 ล้านคะแนน เหลือ 57 ล้านคะแนน หารด้วยจำนวนผู้แทน คือ 100 คน จะได้ 570,000
เราจะต้องเอา 570,000 มาหารกับคะแนนทั้งหมดของแต่ละพรรค โดยเศษจากผลหารให้ปัดทิ้งทั้งหมดก่อน แต่ให้เก็บข้อมูลจำนวนเศษไว้
เมื่อรวมจำนวนผู้แทนจากทั้ง 4 พรรคในรอบแรกจะได้ 99 คน ซึ่งจะขาดอีก 1 คน ฉะนั้นจะต้องพิจารณาเศษคะแนนว่าพรรคใดจะมีเศษคะแนนมากที่สุด ผลปรากฏว่า
พรรค ง. เศษมีมากที่สุดจึงได้ สส. เพิ่มอีก 1 คน จาก 17 เป็น 18 คน ซึ่งเมื่อรวมจำนวนจากพรรคอื่น ๆ จะเท่ากับ 100 คนครบพอดี สรุปได้ว่า
ที่ | พรรคการเมือง | ได้คะแนน | จำนวน ส.ส. จากการคำนวณครั้งแรก | เหลือเศษ | จำนวน ส.ส. ที่ได้เพิ่มจากการคำนวณ | ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อทั้งสิ้น |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | พรรค ก. | 20,000,000 | 35 | 50,000 | 0 | 35 |
2 | พรรค ข. | 15,000,000 | 26 | 180,000 | 0 | 26 |
3 | พรรค ค. | 12,000,000 | 21 | 30,000 | 0 | 21 |
4 | พรรค ง. | 10,000,000 | 17 | 310,000 | 1 | 18 |
5 | พรรค จ. | 2,000,000 | 0 | - | - | 0 |
6 | พรรค ช. | 700,000 | 0 | - | - | 0 |
7 | พรรค ซ. | 300,000 | 0 | - | - | 0 |
รวม | 99 | 1 | 100 |
ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ไม่มีการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ แต่มีการเลือกตั้งในอีกรูปแบบที่คล้ายกัน คือ แบบสัดส่วน โดยให้มีผู้แทนในระบบสัดส่วน 80 คน คณะกรรมการการเลือกตั้งจะแบ่งประเทศไทยออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยแต่ละกลุ่มจังหวัดจะมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกัน และแต่ละเขตมีอาณาเขตติดต่อกันเป็นผืนเดียว แต่ละพรรคการเมืองจะต้องส่งรายชื่อผู้สมัคร 8 บัญชี ลงสมัครใน 8 กลุ่มจังหวัด บัญชีละไม่เกิน 10 คน เรียงตามลำดับหมายเลข
ในแต่ละกลุ่มจังหวัด จะมีการการคำนวณจำนวนผู้แทนในแต่ละพรรคหลังการนับคะแนนแล้วในเงื่อนไขเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่ได้ยกเลิกเกณฑ์ขั้นต่ำร้อยละ 5 ของคะแนนรวมทิ้งไป ซึ่งจะได้จำนวนผู้แทนกลุ่มจังหวัดละ 10 คน เมื่อรวมผู้แทนทั้ง 8 กลุ่มจังหวัดเข้าด้วยกันก็จะได้จำนวนผู้แทนทั้งสิ้น 80 คน
ในกลุ่มจังหวัดหนึ่ง มีพรรคการเมืองลงสมัคร 7 พรรค ได้แก่พรรค ก., ข., ค., ง., จ., ช., ซ. ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบอบบัญชีรายชื่อผลออกมาเป็นดังนี้
คะแนนรวมในกลุ่มจังหวัดเท่ากับ 6 ล้านคะแนน แต่ไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำร้อยละ 5 แล้ว ทุกพรรคจึงมีสิทธิ์ได้ร่วมในการคำนวณ
6 ล้านคะแนน หารจำนวนผู้แทน 10 คน ได้คะแนนเฉลี่ย 600,000 คะแนนต่อผู้แทน 1 คน นำตัวเลข 600,000 หารจำนวนคะแนนของแต่ละพรรค ได้ดังนี้
รวมจำนวนผู้แทนในรอบแรก 3+2+2+1 = 8 คน แต่ต้องการ 10 คน จึงพิจารณาข้อมูลเศษของแต่ละพรรคการเมือง และเพิ่มจำนวนผู้แทนให้พรรคที่มีเศษสูงสุด 2 พรรคแรกพบว่า
พรรคที่มีเศษมากที่สุด คือ พรรค ง. มีเศษ 0.67 คน จึงเพิ่มจำนวนผู้แทนพรรค ง. ขึ้นอีก 1 คน เป็น 2 คน
พรรคที่มีเศษเป็นอันดับที่สอง คือ พรรค ข. มีเศษ 0.50 คน จึงเพิ่มจำนวนผู้แทนพรรค ข. อีก 1 คน รวมเป็น 3 คน สรุปได้ว่า
ที่ | พรรคการเมือง | ได้คะแนน | จำนวน ส.ส. จากการคำนวณครั้งแรก | จำนวน ส.ส. ที่ได้เพิ่มจากการคำนวณ | ส.ส.แบบสัดส่วนทั้งสิ้น |
---|---|---|---|---|---|
1 | พรรค ก. | 2,000,000 | 3 | 0 | 3 |
2 | พรรค ข. | 1,500,000 | 2 | 1 | 3 |
3 | พรรค ค. | 1,200,000 | 2 | 0 | 2 |
4 | พรรค ง. | 1,000,000 | 1 | 1 | 2 |
5 | พรรค จ. | 200,000 | 0 | 0 | 0 |
6 | พรรค ช. | 70,000 | 0 | 0 | 0 |
7 | พรรค ซ. | 30,000 | 0 | 0 | 0 |
รวม | 8 | 2 | 10 |
นี่คือตัวอย่างการคำนวณจำนวนผู้แทนในหนึ่งกลุ่มจังหวัด ทั้ง 8 กลุ่มจะมีการคำนวณในวิธีดังกล่าวนี้ แล้วจึงนำจำนวนผู้แทนมารวมกัน ในครั้งนี้จะเห็นได้ว่า ไม่มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำร้อยละ 5 แล้ว คะแนนที่คำนวณมาจากคะแนนรวมทั้งหมดทุกพรรค ในตัวอย่างนี้แม้พรรค จ. ช. และ ซ. จะไม่ได้มีผู้แทน แต่เป็นเพราะคะแนนไม่พอที่จะปัดเศษได้ มิใช่เพราะไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของรัฐธรรมนูญ
การเลือกตั้งแบบสัดส่วนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ เพราะการปัดเศษถึง 8 ครั้ง ใน 8 กลุ่มจังหวัด ทำให้มีความได้เปรียบเสียเปรียบเป็นช่องว่างที่กว้างขึ้น และอีกหลายประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นก่อนการเลือกตั้งปี 2554 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกเลิกระบบสัดส่วนทิ้งไป กลับมาใช้ระบบบัญชีรายชื่อ บัญชีเดียวทั่วประเทศ แต่ได้เพิ่มจำนวนจาก 80 เป็น 125 คน และไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน
การสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคการเมืองหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรคการเมือง ต้องยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามวันเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งหนังสือยินยอมของผู้สมัคร และเงินค่าธรรมเนียมการสมัครคนละ 10,000 บาท และมีหลักฐานการสมัครครบถ้วนตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 125 คน โดยไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำที่แต่ละพรรคจำเป็นจะต้องได้เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้เคยถูกกำหนดไว้ให้พรรคที่นำมาคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีคะแนนขั้นต่ำร้อยละ 5 ของคะแนนรวมทั้งหมดจึงนำมาคำนวณ
จำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้กำหนดสมมุติว่าเท่ากับ 61 ล้านคน (61 ล้านคะแนน)
พรรค ก., ข., ค., ง., จ., ช., ซ. ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบอบบัญชีรายชื่อผลออกมาเป็นดังนี้
ฉะนั้นคะแนนของ 7 พรรคจะรวมกันได้ 60 ล้านคะแนน จะต้องนำคะแนนมาหาร 125 จะได้เท่ากับ 4 แสน 8 หมื่นคะแนน
เราจะต้องเอา 480,000 มาหารกับคะแนนทั้งหมดของแต่ละพรรค ซึ่งถ้าคะแนนถึง 480,000 ก็จะได้สส.อย่างน้อย 1 คน (จำนวนที่คิดได้นี้จะปัดเศษทั้งหมด เพื่อดูก่อนว่าจะได้สส.ครบ 125 คนหรือไม่)
รวมแล้วจะได้สส. 122 คน ซึ่งจะขาดอีกเพียง 3 คน ฉะนั้นจะต้องพิจารณาเศษคะแนนว่าพรรคใดจะใกล้เคียงมากที่สุด ผลปรากฏว่า
ที่ | พรรคการเมือง | ได้คะแนน | จำนวน ส.ส. จากการคำนวณครั้งแรก | เหลือเศษ | จำนวน ส.ส. ที่ได้เพิ่มจากการคำนวณ | ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อทั้งสิ้น |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | พรรค ก. | 20,000,000 | 41 | 320,000 | 1 | 42 |
2 | พรรค ข. | 15,000,000 | 31 | 120,000 | 0 | 31 |
3 | พรรค ค. | 12,000,000 | 25 | 0 | 0 | 25 |
4 | พรรค ง. | 10,000,000 | 20 | 400,000 | 1 | 21 |
5 | พรรค จ. | 2,000,000 | 4 | 80,000 | 0 | 4 |
6 | พรรค ช. | 700,000 | 1 | 220,000 | 0 | 1 |
7 | พรรค ซ. | 300,000 | 0 | 300,000 | 1 | 1 |
รวม | 122 | 3 | 125 |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
This article uses material from the Wikipedia ไทย article การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อในประเทศไทย, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.