จักรวรรดิโรมัน (ละติน: Imperium Rōmānum ; กรีก: Βασιλεία τῶν Ῥωμαίων, ทับศัพท์ Basileía tôn Rhōmaíōn; อังกฤษ: Roman Empire) เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล – ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมืองระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์ มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
1453)">Βασιλεία τῶν Ῥωμαίων, ทับศัพท์ Basileía tôn Rhōmaíōn; อังกฤษ: Roman Empire) เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล – ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมืองระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์ มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่
จักรวรรดิโรมัน | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 476 (วันที่ดั้งเดิม) ค.ศ. 395 – 476/480 (ตะวันตก) ค.ศ. 395–1453 (ตะวันออก) | |||||||||||
จักรวรรดิโรมันในช่วงสูงสุดเมื่อ ค.ศ. 117 ในช่วงที่จักรพรรดิตรายานุสสวรรคต (รัฐบริวารเป็นสีชมพู) | |||||||||||
เมืองหลวง |
| ||||||||||
ภาษาทั่วไป | |||||||||||
ศาสนา |
| ||||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตยกึ่งโดยเลือกตั้ง, ตามระบบเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ | ||||||||||
จักรพรรดิ | |||||||||||
• 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 14 | เอากุสตุส (องค์แรก) | ||||||||||
• ค.ศ. 98–117 | ตรายานุส | ||||||||||
• ค.ศ. 270–275 | ออเรเลียน | ||||||||||
• ค.ศ. 284–305 | ดิออเกลติอานุส | ||||||||||
• ค.ศ. 306–337 | คอนสแตนตินมหาราช | ||||||||||
• ค.ศ. 379–395 | เทออดอซิอุสที่ 1 | ||||||||||
• ค.ศ. 474–480 | ยูลิอุส แนโปส | ||||||||||
• ค.ศ. 475–476 | โรมุลุส เอากุสตุส | ||||||||||
• ค.ศ. 527–565 | ยุสตินิอานุสที่ 1 | ||||||||||
• ค.ศ. 610–641 | เฮราคลิอัส | ||||||||||
• ค.ศ. 780–797 | คอนสแตนตินที่ 6 | ||||||||||
• ค.ศ. 976–1025 | เบซิลที่ 2 | ||||||||||
• ค.ศ. 1449–1453 | คอนสแตนตินที่ 11 | ||||||||||
สภานิติบัญญัติ | วุฒิสภา | ||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยคลาสสิกถึงสมัยกลางตอนปลาย | ||||||||||
32–30 ปีก่อนคริสต์ศักราช | |||||||||||
• ก่อตั้งจักรวรรดิ | 30–2 ปีก่อนคริสต์ศักราช | ||||||||||
• คอนสแตนติโนเปิล กลายเป็นเมืองหลวง | 11 พฤษภาคม ค.ศ. 330 | ||||||||||
• การแบ่งตะวันออก-ตะวันตกครั้งสุดท้าย | 17 มกราคม ค.ศ. 395 | ||||||||||
• การปลดจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุส | 4 กันยายน ค.ศ. 476 | ||||||||||
• การสังหารจักรพรรดิยูลิอุส แนโปส | 25 เมษายน ค.ศ. 480 | ||||||||||
12 เมษายน ค.ศ. 1204 | |||||||||||
• การพิชิตคอนสแตนติโนเปิลอีกครั้ง | 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1261 | ||||||||||
29 พฤษภาคม 1453 | |||||||||||
• เตรบีซอนด์ล่มสลาย | 15 สิงหาคม ค.ศ. 1461 | ||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||
25 ปีก่อนคริสต์ศักราช | 2,750,000 ตารางกิโลเมตร (1,060,000 ตารางไมล์) | ||||||||||
ค.ศ. 117 | 5,000,000 ตารางกิโลเมตร (1,900,000 ตารางไมล์) | ||||||||||
ค.ศ. 390 | 4,400,000 ตารางกิโลเมตร (1,700,000 ตารางไมล์) | ||||||||||
ประชากร | |||||||||||
• 25 ปีก่อนคริสต์ศักราช | 56,800,000 | ||||||||||
สกุลเงิน | เซ็ซเตรีอุส, เอาเรอุส, โซลีดุส, โนมิสตา | ||||||||||
|
จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลิแวนต์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้จักรวรรดิโรมันได้รวบรวมตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณชายฝั่งทะเลซี่งในปัจจุบันคือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของยิบรอลตาร์ ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันเรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ. 106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาดริอานุส) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตารางกิโลเมตร (2,300,000 ตารางไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum ("ทะเลของเรา") อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สถาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453
นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งแยกช่วงการปกครองของจักรวรรดิโรมันเป็นสมัยผู้นำ (Principate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิเอากุสตุสจนถึงวิกฤตการณ์คริสต์ศตวรรษที่ 3 และสมัยครอบงำ (Dominate) ซึ่งเริ่มตั้งแต่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งในสมัยผู้นำ ในจักรพรรดิจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลังการปกครองแบบสาธารณรัฐ แต่ในสมัยครอบงำ อำนาจของจักรพรรดิได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยมงกุฎทองและพิธีกรรมที่หรูหรา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ นักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่ารูปแบบการปกครองนี้ได้ใช้ต่อจนถึงช่วงเวลาของจักรวรรดิไบแซนไทน์
จูเลียส ซีซาร์ได้ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการตลอดอายุขัย ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ผู้เผด็จการจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งเกิน 6 เดือน ตำแหน่งของซีซาร์จึงขัดกับกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เหล่าสมาชิกวุฒิสภาบางคนเกิดความหวาดระแวงว่าเขาจะตั้งตนเป็นกษัตริย์และสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้นจึงเกิดการวางแผนการลอบสังหารขึ้น และในวันที่ 15 มีนาคม 44 ปีก่อนคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์เสียชีวิตลงโดยฝีมือของพวกลอบสังหาร
ออคเตเวียน บุตรบุญธรรมและทายาททางการเมืองของจูเลียส ซีซาร์ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และไม่อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งผู้เผด็จการ แต่ได้ขยายอำนาจภายใต้รูปแบบสาธารณรัฐอย่างระมัดระวัง โดยเป็นการตั้งใจที่จะสนับสนุนภาพลวงแห่งการฟื้นฟูของสาธารณรัฐ เขาได้รับตำแหน่งทางการเมืองหลายตำแหน่ง เช่น เอากุสตุส ซึ่งแปลว่า "ผู้สูงส่ง" และพรินเซปส์ ซึ่งแปลว่า"พลเมืองชั้นหนึ่งแห่งสาธารณรัฐโรมัน" หรือ "ผู้นำสูงสุดของวุฒิสภาโรมัน" ตำแหน่งนี้เป็นรางวัลสำหรับบุคคลผู้ทำงานรับใช้รัฐอย่างหนัก แม่ทัพปอมปีย์เคยได้รับตำแหน่งนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ เอากุสตุสยังได้สิทธิ์ในการสวมมงกุฎพลเมือง ที่ทำจากไม้ลอเรลและไม้โอ๊คอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งตำแหน่งต่าง ๆ และมงกุฎก็ไม่ได้มอบอำนาจพิเศษใด ๆ ให้เขา เขาเป็นเพียงกงสุลเท่านั้น และใน 13 ปีก่อนคริสตกาล เอากุสตุสได้เป็นพอนติเฟกซ์ แมกซิมุส ภายหลังการเสียชีวิตของมาร์กุส ไอมิลิอุส แลปิดุส เอากุสตุสสะสมพลังอำนาจไว้มากโดยที่ไม่ได้อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งต่าง ๆ มากเกินไป
ในปี 31 ปีก่อนคริสตกาล มาร์ค แอนโทนีและคลีโอพัตราพ่ายแพ้ในยุทธนาวีที่อักติอูงและได้กระทำอัตวินิบาตฆาตกรรมทั้งคู่ ออคเตเวียนได้สำเร็จโทษซีซาเรียน ลูกชายของคลีโอพัตราและจูเลียส ซีซาร์ด้วย การสังหารซีซาเรียนทำให้ออคเตเวียนไม่มีคู่แข่งทางการเมืองที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับจูเลียส ซีซาร์แล้ว เขาจึงกลายเป็นผู้ปกครองคนเดียวของโรม ออคเตเวียนเริ่มการปฏิรูปทางทหาร เศรษฐกิจและการเมืองครั้งใหญ่ โดยมีเจตนาเพื่อทำให้อาณาจักรโรมันมั่นคงและสงบสุข และยังทำให้เกิดการยอมรับในรูปแบบการปกครองใหม่นี้ด้วย
ในช่วงเวลาที่ออคเตเวียนปกครองโรมัน วุฒิสภาได้มอบชื่อเอากุสตุสให้เขา พร้อมกับตำแหน่ง อิมเพอเรเตอร์ ("จอมทัพ") ด้วย ซึ่งได้พัฒนาเป็น เอ็มเพอเรอร์' ("จักรพรรดิ") ในภายหลัง
เอากุสตุสมักจะถูกเรียกว่า ซีซาร์ ซึ่งเป็นนามสกุลของเขา คำว่าซีซาร์นี้ถูกใช้เรียกจักรพรรดิในราชวงศ์ยูลิอุส-เกลาดิอุส และราชวงศ์ฟลาวิอุส (จักรพรรดิแว็สปาซิอานุส จักรพรรดิติตุส และจักรพรรดิดอมิติอานุส) ด้วย และยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า ซาร์ (รัสเซีย: tsar) และ ไกเซอร์ (เยอรมัน: kaiser)
ในสมัยห้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรมก็ได้มาพร้อมกับความเสถียรภาพทางสังคมและความเจริญทางเศษฐกิจที่จักรวรรดิโรมไม่เคยมีมาก่อน ควบคู่กับการขยายและการรวบรวมจักรวรรดิอย่างมหาศาล ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้จะมีประโยชน์แต่ได้มากับภาวะรวบรวมศูนย์อำนาจบริหารล้นเหลือ และการครองราชย์ของจักรพรรดิก็อมมอดุสใน ค.ศ. 180 ได้ฉายานามว่า "จากอาณาจักรแห่งทองได้กลายเป็นเหล็กและสนิม" ต่อมาในราชวงค์ของจักรพรรดิแซ็ปติมิอุส แซเวรุส จักรวรรดิโรมันไปประสบวิกฤตการณ์คริสต์ศตวรรษที่ 3ซึ่งแทบจะนำความสิ้นสุดมาสู่จักรวรรดิจากปัญหาหลายอย่างรวมกันที่รวมทั้งการรุกรานของพวกอนารยชนเผ่ากอท ความวุ่นวายไม่สงบ โรคระบาด และความตกต่ำทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างแม่ทัพ ซึ่งส่งผลไปทางชีวิตประจำวันของสามัญชนและทางธนารักษ์ จึงจำเป็นที่จะต้องหยุดชะงักทางการค้า เพิ่มอัตราภาษี เกิดภาวะเงินเฟ้อ และบีบบังคับจากการประจำการทางทหาร ทั้งหมดทำให้เกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจเป็นเวลาหลายทศวรรษ วิกฤตครั้งนี่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสมัยคลาสสิก เป็น ปลายสมัยโบราณ
จักรพรรดิออเรเลียนก็ได้ฟื้นฟูและทำให้จักวรรดิมีความเสถียรภาพ และได้ต่อยอดโดยจักรพรรดิดิออเกลติอานุส นอกนี้ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิดิออเกลติอานุสก็ได้นำพาความร่วมกันต่อต้านภัยจากศาสนาคริสต์จึงได้เริ่มการเบียดเบียนครั้งใหญ่ ในช่วงราชสมัยครั้งนี้ก็ได้แบ่งจักรวรรดิโรมันเป็น 4 เขตในรูปแบบการปกครองที่เรียกว่า "จตุราธิปไตย" ต่อมาในราชสมัยของจักรพรรดิกาเลริอุส ก็ได้ยินยอมให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้โดยสันติในปี ค.ศ. 311
ในปีต่อมา ในราชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินทรงกลับใจนับถือศาสนาคริสต์ และยอมรับให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำจักวรรดิ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้ขยายอิทธิพลทั่วยุโรป ทรงสถาปนากรุงคอนแสนติโนเปิลในทางตะวันตกออกของจักรวรรดิโรมันเพื่อเป็นเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่ง เพื่อแบ่งภาระของกรุงโรมในการปกครองและปราบปรามพวกอนารยชน จักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 1 ได้เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ครองราชย์รอบเต็มขนาด เนื่องด้วยหลังจากนี้จักรวรรดิโรมันจะเสื่อมลงและเริ่มสุญเสียดินแดนและอำนาจ
ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกต้องเผชิญกับปัญหาภายใน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความอ่อนแอของจักพรรดิ ระบบทหารและเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การย้ายถิ่นฐานของพวกบาร์เบเรียน การเสื่อมศีลธรรมจรรยาของชาวโรมัน และอื่นๆ
ในปี ค.ศ. 410 จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็โดนชาววิซิกอท ได้รุกร่านตีกรุงโรมแตก ซึ่งต่อมาใน ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ได้ถูกพวกกลุ่มชนเจอร์แมนิกเข้าปล้นสะดมได้สำเร็จ นำโดยพระเจ้าโอเดเซอร์ ขับไล่จักรพรรดิโรมุลุส เอากุสตุสออกจากบัลลังก์ ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน (ตะวันตก) ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งเรียกโดยนักประวัติศาสตร์ว่า "จักรวรรดิไบแซนไทน์" ได้เจริญพัฒนาราบรื่น มั่นคั่งและร่ำรวยกว่ายังดำรงต่อไปและยังคงมีจักรพรรดิปกครองไปไปในช่วงยุคกลางจนถูกพวกเติร์กเข้ายึดครองและถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน ใน ค.ศ. 1453
This article uses material from the Wikipedia ไทย article จักรวรรดิโรมัน, which is released under the Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 license ("CC BY-SA 3.0"); additional terms may apply (view authors). เนื้อหาอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้ CC BY-SA 4.0 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอื่น Images, videos and audio are available under their respective licenses.
®Wikipedia is a registered trademark of the Wiki Foundation, Inc. Wiki ไทย (DUHOCTRUNGQUOC.VN) is an independent company and has no affiliation with Wiki Foundation.